ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 429 :ข่าวร้ายอีกเรื่อง
ตอนที่ 429 :ข่าวร้ายอีกเรื่อง
ฉงไห่เยี่ยน นายอำเภอประจำชิงซาน เธอเป็นหญิงวัยสามสิบปีต้น ๆ ไว้ผมสั้น ทำให้เธอดูเป็นมืออาชีพ
“คุณเจียงและคุณหลิน ฉันไม่คิดว่าคุณสองคนจะเลือกลงทุนในชิงซาน ฉันยินดีต้อนรับพวกคุณมาก ! ”
ฉงไห่เยี่ยนพูดอย่างกระตือรือร้น เมื่อได้พบเจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอิน
เธอรู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋เป็นคนโปรดของนายกเทศมนตรีจาง และเขามีโรงงานหลายแห่งที่ตั้งอยู่ในเมืองชิงโจว
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างสุภาพว่า “นายกเทศมนตรีฉง ผมก็อาศัยอยู่ในชิงซานเช่นกัน ภายใต้เขตอำนาจของคุณ ผมหวังว่าคุณจะดูแลพวกเราอย่างดีนะครับ”
ฉงไห่เยี่ยนได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะ “คุณเจียง เนื่องจากคุณลงทุนในบ้านเกิดของคุณ คุณจะได้รับนโยบายที่ดีที่สุดอย่างแน่นอนค่ะ”
“งั้นต้องขอบคุณคุณมาก ๆ ครับ ! ”
หลังจากพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองก็พูดเข้าประเด็น เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมเพิ่งไปดูที่ดินผืนหนึ่งริมแม่น้ำทางตะวันออกของเมือง ผมวางแผนที่จะสร้างโรงงานที่นั่นครับ”
ฉงไห่เยี่ยนพยักหน้าและตอบว่า “สถานที่ที่คุณพูดถึงเรียกว่าภูเขาหว่าอู มีพื้นที่มากกว่า 200 หมู่ริมฝั่งแม่น้ำ หากคุณต้องการมัน ฉันก็ยินดีจะให้คุณ”
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก ฉงไห่เยี่ยนคอยช่วยเหลือเรื่องเอกสารเป็นการส่วนตัว ทำให้โรงงานผักดองชุ่ยฮวาที่จะก่อตั้งขึ้นในอำเภอชิงซานเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว
ตอนที่พวกเขาออกจากที่ว่าการอำเภอ เวลายังไม่ถึงบ่าย 3 โมงด้วยซ้ำ
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีแผนที่จะกลับเข้าไปในเมือง เขาจึงตรงกลับบ้านที่เจียงวาน
ระหว่างทาง หลินเจียอินถามว่า “วันนี้ประกาศรับสมัครงานครูของคุณออกมาหรือยัง ไม่รู้ว่าเราจะหาครูที่เราต้องการได้ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มรับ “อย่ากังวลเลยเมียจ๋า ผมให้สวัสดิการมากมายขนาดนี้ เราจะหาครูที่เราต้องการได้แน่นอน”
หลินเจียอินถามอีกว่า “แล้วเงินเดือนสูงที่คุณเสนอล่ะ ครูของโรงเรียนอื่น ๆ จะคิดอย่างไร หากพวกเขารู้เรื่องนี้ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “พวกเขาจะต้องกระตือรือร้นที่จะมาสมัครเข้าทำงานในโรงเรียนของเราแน่นอน ! ”
หลินเจียอินกลอกตามองค้อนเขา “ฉันกำลังพยายามจะคุยกับคุณอย่างจริงจังนะ แต่คุณก็เอาแต่พูดจากวนประสาทอยู่ได้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้จริงจังกับมัน เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมไม่จริงจังตรงไหน ผมจริงจังมาก ๆ เลยนะ”
เจียงชานที่อยู่เบาะหลังระเบิดชอบใจและพูดว่า “ทุกครั้งป่าป๊ามักจะชอบพูดเหลวไหลอย่างจริงจังอยู่เสมอเลยค่ะ”
ประโยคนี้ทำให้หลินเจียอินหลุดหัวเราะออกมา
เธอมองเจียงเสี่ยวไป่และพูดว่า “ดูสิ ว่าคุณเป็นตัวอย่างแบบไหนให้กับลูกสาวของเรา ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ผมเป็นตัวอย่างที่เยี่ยมมาก ! ”
“ใช่ หนูก็คิดว่ายอดเยี่ยมเหมือนกัน ! ” หนูน้อยพยักหน้าเห็นด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขกับบรรยากาศของครอบครัวสามคนที่อยู่ด้วยกัน และรถจี๊ปก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋วิ่งออกกำลังกายตอนเช้ากับลูกสาวเสร็จ ครอบครัวก็มารวมตัวกันเพื่อกินอาหารเช้า ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงดังจากข้างนอก
“พี่ไห่หยาง อยู่บ้านหรือเปล่า ? ”
เจียงไห่หยางเดินออกจากห้องกินอาหาร แต่ไม่เห็นใครอยู่ที่ลานบ้าน เขาตะโกนออกมาว่า “นั่นไห่โจวใช่ไหม ? เข้ามาเลย ! ”
เจียงไห่โจวพูดดังมาจากนอกบ้าน “พี่ไห่หยาง ผมไม่สะดวกที่จะเข้าไป พี่ออกมาได้ไหม”
ในขณะนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็เดินตามพ่อของเขาออกไปข้างนอกด้วย เมื่อได้ยินว่าเจียงไห่โจวไม่สามารถเข้ามาในบ้านได้ เขาก็รู้สึกว่ามันแปลก จึงออกไปข้างนอกกับพ่อของเขา
พ่อและลูกชายมาถึงที่ด้านนอกประตู และเห็นเจียงไห่โจวดูเหนื่อยล้า พวกเขาจึงมองหน้ากัน
“ไห่โจว เกิดอะไรขึ้น ? ”
เจียงไห่หยางถามด้วยความกังวล
ทันทีที่พูดไป เจียงไห่โจวก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง เขาพูดเสียงสั่นเครือว่า “พี่ไห่หยาง ฉันมีข่าวเศร้ามาแจ้ง ป้าสามของพี่ไม่ตื่นเมื่อเช้านี้ เธอจากพวกเราไปแล้ว ! ”
หัวใจของเจียงไห่หยางหล่นวูบ เขารีบช่วยพยุงเจียงไห่โจวให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยถามด้วยความตกใจว่า “ป้าสามร่างกายแข็งแรงมาตลอด ทำไมถึงจากไปกะทันหันขนาดนี้ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ผงะเช่นกัน เจียงไห่หยางและเจียงไห่โจวเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ซึ่งป้าสามของเจียงไห่หยาง ที่จริงแล้วก็คือแม่ของเจียงไห่โจว และตามลำดับญาติ เจียงเสี่ยวไป๋ควรเรียกเธอว่าย่าสาม
ตอนนั้นเองที่เขาเข้าใจว่าทำไมเจียงไห่โจวถึงพูดในตอนแรกว่าไม่สะดวกที่จะเข้าไปในบ้าน
นั่นเป็นเพราะมีประเพณีในชนบทที่ลูกกตัญญูไม่เข้าไปในบ้านของคนอื่น พวกเขาจะแจ้งข่าวสำคัญเช่นนี้ที่หน้าประตูบ้านเท่านั้น
เจียงไห่โจวกล่าวว่า “ถึงอย่างไรแม่ของฉันก็อายุ 90 กว่าปีแล้ว เธอไม่มีอาการป่วยหรือความเจ็บปวดใด ๆ เลย เธอจากไปอย่างสงบ ช่วงนี้ฉันอาจต้องรบกวนพี่ไปช่วยงานหน่อย”
เจียงไห่หยางกล่าวว่า “ฉันเข้าใจ ฉันจะไปกับนายตอนนี้เลย”
เจียงไห่หยางออกจากบ้านพร้อมตะเกียบอยู่ในมือ และตอนนี้เขาไม่คิดจะกลับไปกินอาหารเช้าให้อิ่มด้วยซ้ำ เขายื่นตะเกียบให้เจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “พ่อจะไปช่วยงานศพก่อน สองสามวันนี้ลูกไม่ควรไปทำงาน ในเมื่อย่าสามของลูกจากไปแล้ว ลูกก็ต้องอยู่ช่วยงานเช่นกัน”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมจะรีบตามไปครับ”
เจียงไห่หยางพยักหน้าและตามเจียงไห่โจวไปยังบ้านหลังเก่าในเจียงวาน
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋กลับมาที่ห้องอาหาร หวังซิ่วจวี๋ก็ถามว่า “พ่อของลูกอยู่ที่ไหน ไห่โจวมีธุระอะไรกับเขาหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “อาไห่โจวมาส่งข่าวเรื่องย่าสามเสียชีวิตเมื่อเช้านี้ ! ”
หวังซิ่วจวี๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “นี่มันกะทันหันมาก เมื่อไม่กี่วันก่อนแม่กลับไปเยี่ยมบ้านเก่า และได้พูดคุยกับย่าสาม ร่างกายของย่าเขาก็ยังดูแข็งแรงดีอยู่เลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจและพูดว่า “ย่าสามก็อายุเกินเก้าสิบแล้ว”
หวังซิ่วจวี๋คิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “อืม ย่าสามของลูกอายุ 93 ปีแล้ว พอถึงช่วงเดือนฤดูหนาว ย่าสามก็จะอายุ 94 ปี”
ในชนบท เมื่อผู้สูงอายุมีอายุครบ 70 ปี ลูกหลานของพวกเขาจะมาร่วมอวยพรวันเกิดให้พวกเขา โดยมักจะนำชามบะหมี่หรือถุงขนมมาด้วย จำนวนของขวัญไม่สำคัญ เป้าหมายคือการสร้างบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา
การอวยพรวันเกิดย่าสามมีมานานกว่า 20 ปีแล้ว และหวังซิ่วจวี๋ก็จำได้ชัดเจน
เจียงเสี่ยวไป๋พูดกับหลินเจียอินว่า “เมียจ๋า ย่าสามเสียชีวิตแล้ว เราจะไม่ไปทำงานในสองสามวันนี้ ผมจะไปช่วยงานศพก่อน คุณและชานชานอยู่บ้านนะ”
“อืม ! ” หลินเจียอินพยักหน้าเห็นด้วย และกล่าวว่า “ฉันจะไปคำนับย่าสามในภายหลัง”
ด้วยเพราะเหตุการณ์กะทันหันแบบนี้ ทุกคนจึงรีบกินอาหารเช้าให้เสร็จ หลินเจียอินอยู่บ้านกับเจียงชานและเจียงถิง ในขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋ล้างจานเสร็จแล้วก็ไปบ้านหลังเก่ากับหวังซิ่วจวี๋
เมื่อทั้งสองมาถึงทางเข้าบ้านของเจียงไห่โจว เจียงไห่โจวก็ออกมาต้อนรับพวกเขาทันที โดยคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อคำนับขอบคุณต่อหวังซิ่วจวี๋และเจียงเซียวไป๋ ทั้งสองจึงรีบเข้าไปช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้น
ในชนบทมีประเพณีที่ให้ความสำคัญกับสามวันแรกหลังจากคนในครอบครัวเสียชีวิต แม้ว่าเจียงไห่โจวจะอายุมากกว่าเจียงเสี่ยวไป๋ แต่เขาก็ยังแสดงความเคารพด้วยการคำนับตามพิธีกรรมแบบดั้งเดิม เมื่อเจียวเสี่ยวไป๋มาแสดงความเสียใจและช่วยเหลือ
หลังจากช่วยพยุงเจียงไห่โจวให้ลุกขึ้นแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “อาไห่โจว มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ ? ”
ในขณะที่เจียงไห่โจวเชิญหวังซิ่วจวี๋และเจียงเสี่ยวไป๋เข้ามาในบ้าน เจียงไห่โจวก็พูดว่า “เราเพิ่งเตรียมงานศพเสร็จ ยังไม่มีอะไรให้ทำมากนักในตอนนี้ ไว้คอยดูว่าลุงใหญ่ของหลานจัดการเรื่องต่าง ๆ อย่างไร หลานมีรถ อาอาจรบกวนให้หลานไปช่วยซื้อของให้”
“ได้ครับ ให้ผมช่วยอะไรก็บอกได้เลย”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวเสริมโดยไม่ลังเลว่า “อามีเงินพอสำหรับเตรียมงานไหม ถ้าไม่มี ผมสามารถจัดการเรื่องนี้ให้ได้”
เจียงไห่โจวโบกมือปัดแล้วพูดว่า “ปีนี้หลานทำให้ทุกคนในหมู่บ้านร่ำรวยมั่งคั่ง อายังมีเงินอยู่ที่บ้านอีกหลายพันหยวน ซึ่งมันก็พอแล้ว ! ”
เขาน้ำตาคลอและกล่าวเสริมด้วยความรู้สึกผิดว่า “เดิมทีเรากำลังมีชีวิตที่ดี และคิดว่าแม่ของอาจะมีความสุขไปได้อีกหลายปี แต่ใครจะรู้ล่ะ…”
เจียงเสี่ยวไป๋ปลอบใจเขาและพูดว่า “อาไห่โจวทำได้ดีมากแล้วครับ ย่าสามมีอายุยืนยาว ดังนั้นเรามาเตรียมการสำหรับการจากไปของเธอให้ดีที่สุด จะได้ทำให้เธอมีความสุข”
เจียงไห่โจวพยักหน้า
ขณะที่พวกเขาพูด พวกเขาก็เข้าไปในห้องพิธี โลงศพสีเข้มถูกวางไว้บนเก้าอี้สูงและด้านหน้ามีโต๊ะสี่เหลี่ยม มีธูปเทียนที่ถูกจุดไว้ และกระดาษเงินที่กำลังถูกเผาอยู่ใต้โต๊ะ
เจียงเสี่ยวไป๋และหวังซิ่วจวี๋ก้าวไปข้างหน้า และแต่ละคนก็คุกเข่าลงคำนับสามครั้ง