ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 43 :ความสุขมาโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่ 43 :ความสุขมาโดยไม่รู้ตัว
“มันไม่ใช่ทั้งหมูตุ๋นและไม่ใช่หมูสามชั้น”
“แต่มันทำมาจากฟักเขียว”
หลินเจียอินอธิบายขณะตักผัดมันฝรั่งให้ลูกค้า
“แต่นี่มันหมูตุ๋นชัด ๆ ”
“ใช่ หม้อนี้ดูเหมือนหมูสามชั้นผัดน้ำแดงเลย”
“นี่ทำมาจากฟักเขียวจริง ๆ หรือ ? ”
“เธอไม่ได้ยินที่เถ้าแก่เนี้ยพูดหรือ มันทำจากฟักเขียว เถ้าแก่เนี้ยสวยขนาดนี้ เธอไม่โกหกหรอก”
“เถ้าแก่เนี้ย พ่อครัวที่ร้านของคุณนี่เก่งเกินไปแล้ว สามารถทำฟักเขียวได้เหมือนหมูตุ๋นเลย”
“……”
ทุกคนตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ พวกเขาไม่คิดว่าหมูตุ๋นและหมูสามชั้นในสายตาของพวกเขาจะทำมาจากฟักเขียว
เพราะพ่อครัวของร้านทำออกมาได้ทั้งดูดีน่ากิน ทั้งส่งกลิ่นหอมเข้มข้น ดูท่าว่ารสชาติจะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
“เถ้าแก่เนี้ย ขายยังไงหรือ เอาให้ฉัน 1 ชามสิ”
ลูกค้าที่กำลังซื้อผัดมันฝรั่งกล่าว
“ราคา 4 เหมาเท่ากันหมด แต่ถ้าซื้ออีก 1 ชาม คิดราคาแค่ 1 หยวนพอ” หลินเจียอินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ย ขอให้คุณสวยขึ้นทุกวัน ๆ ”
ลูกค้าจ่ายเงิน 1 หยวนให้แก่หลินเจียอิน แล้วถือชามของอร่อยเข้าไปนั่งกินในโรงน้ำชาอย่างมีความสุข
“ฉันขอด้วย 1 ชาม”
“ฉันด้วย”
“ฉันเอาผัดมันฝรั่ง 1 ชาม ฟักเขียวตุ๋นน้ำแดง 1 ชาม”
“ฉันเอาผัดมันฝรั่งชามนึงกับตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้นชามนึง”
“ผมเอาฟักเขียวตุ๋น……”
“……”
หลินเจียอินขายผัดมันฝรั่งและเมนูใหม่ของทางร้านไปพร้อม ๆ กัน เธอตักจนมือเป็นประวิง รับเงินจนมือไม้อ่อน
“ฟักเขียวตุ๋นน้ำแดง” และ “ตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้น” ได้รับความนิยมอย่างมาก เมนูทั้งสองหม้อขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว
ลูกค้าที่ยังไม่ทันซื้อเริ่มเป็นกังวลขึ้นมา
ทำไมหมดเร็วอย่างนี้ ฉันจะได้ซื้อสักชามไหมน่ะ ?
“ทุกคนไม่ต้องกังวล ยังมีอีก”
หลินเจียอินคอยอธิบายให้ลูกค้าฟัง แต่ลูกค้าบางคนยังคงอดใจรอแทบไม่ไหว
พวกเขาถึงขั้นมาถามว่าเมนูใหม่สองเมนูนี้อร่อยมาก ทั้งยังให้รสชาติคล้ายกับมีกลิ่นเนื้อหมูอยู่ในนี้ด้วย
ไม่รู้ว่าพ่อครัวร้านนี้ทำได้อย่างไร ?
ต่อมา เมนูฟักเขียวที่เขาทำเสร็จหม้อใหม่ได้ถูกยกออกมาขาย แต่แล้วก็หมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าลูกค้าแทบจะแย่งกันซื้อเลย
ทั้งที่เวลาเพิ่งเคลื่อนคล้อยมาถึงช่วงบ่ายสอง แต่ฟักเขียวสามกระสอบที่เขานำมาด้วยถูกขายหมดแล้ว
หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงอยากชิมก็ยังไม่ได้ชิม
“เถ้าแก่เนี้ย พรุ่งนี้เตรียมฟักเขียวมาเยอะ ๆ นะ”
“เถ้าแก่เนี้ย ตุ๋นฟักเขียวของคุณอร่อยมาก พรุ่งนี้ฉันจะมาซื้ออีก”
“เถ้าแก่เนี้ย……”
“……”
ลูกค้าถามกันมาไม่หยุด ดังนั้นหลินเจียอินจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้ความมั่นใจกับพวกเขาว่าพรุ่งนี้เธอจะเตรียมฟักเขียวมาเพิ่ม
“ฟักเขียวตุ๋นน้ำแดง” และ “ตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้น” ขายหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแต่ผัดมันฝรั่งเท่านั้น เจียงเสี่ยวไป๋ออกจากครัวหลังมาช่วยขาย หลินเจียอินถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
กิจการดีเกินไปก็เหนื่อยเหมือนกันนะ
“เมียจ๋า ทำไมเราไม่หาจ้างคนมาช่วยงานสักสองคนล่ะ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋พูด
“พี่เสี่ยวไป๋พูดถูก กิจการดีขนาดนี้ เราจ้างคนมาช่วยปอกมันฝรั่ง ส่วนพรุ่งนี้ฉันกับเธอมาช่วยกันขาย จะได้เบาแรงหน่อย” เฝิงเยี่ยนหงเสนอ
หลินเจียอินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “อืม งั้นตอนเย็นกลับไปถึงหมู่บ้านแล้ว ลองไปถามคนในหมู่บ้านดูว่าใครอยากมาช่วยขาย”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พวกเราจ้างพวกเขาวันละ 2 หยวน มีอาหารกลางวันให้กิน ผมเชื่อว่าจะต้องมีคนอยากมาช่วยขายแน่นอน”
ให้ค่าจ้าง 2 หยวนต่อวันเท่ากับเงินเดือน 60 หยวนต่อเดือน
สูงกว่าค่าจ้างคนงานในเขตเมืองส่วนใหญ่สองหรือสามเท่า
ตราบใดที่พูดจำนวนค่าจ้างนี้ออกไป คนในหมู่บ้านมีหรือจะไม่อยากทำ ?
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่เจียงเสี่ยวไป๋ให้ค่าจ้าง 2 หยวนต่อวันนั้น เนื่องจากคนที่จะขึ้นรถเข้าเมืองจะต้องเสียค่าโดยสารไปกลับราว 1 หยวน
เฝิงเยี่ยนหงกล่าวว่า “วันนี้พวกพี่กลับไปก่อนเถอะ ไปเก็บมันฝรั่งและฟักเขียวมาเพิ่ม ฉันจะให้พี่ชายไปขนมันมาไว้ตอนค่ำ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และเห็นด้วย
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้กลับไปที่เจียงวานทันที แต่ไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อบุหรี่ยี่ห้อจงฮั๋วและบุหรี่ฮาเต๋อเหมิน รวมถึงเหล้าเหมาไถ 5 ขวด ก่อนที่จะพาหลินเจียอินและเจียงชานกลับบ้าน
วันนี้เขาไม่ได้ซื้อเนื้อเลย
การกินเนื้อหมูทุกวันไม่ดีต่อสุขภาพ เจียงเสี่ยวไป๋ตั้งใจว่าจะกลับบ้านไปหาซื้อไก่สักตัว
สิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่คาดคิดก็คือ เมื่อเขาไปซื้อของในวันนี้ เขาพาหลินเจียอินมาด้วย แต่ หลินเจียอินกลับไม่ได้กำชับให้เขาใช้เงินอย่างประหยัด
“เมียจ๋า วันนี้ผมใช้เงินหมด ทำไมคุณไม่บ่นผมล่ะ ? ”
ขณะที่ขี่จักรยาน เจียงเสี่ยวไป๋ถามอย่างจริงจัง
“ถึงอย่างไรคุณก็มีรายได้มากขึ้น ถ้าคุณอยากซื้อก็ซื้อได้”
หลินเจียอินชูคอของเธอขึ้นและพูดอย่างเย่อหยิ่ง ลักษณะท่าทางที่ภาคภูมิใจของเธอนั้นเหมือนกับหงส์ขาว
“เมียจ๋า ผมซื้อบุหรี่จงฮั๋วไปให้พ่อกับน้องสามสัก 2-3 ซอง เก็บไว้ให้แขกอีกหน่อย พรุ่งนี้ผมต้องไปหาผู้จัดการเซี่ยงที่โรงพิมพ์”
“ส่วนบุหรี่ฮาเต๋อเหมินจะเอาไว้ให้เฝิงเจียเหอ พี่ชายของเฝิงเยี่ยนหงในตอนค่ำ มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะต้องขับรถมาขนวัตถุดิบไปให้เราในตอนค่ำ นอกจากจ่ายค่ารถให้เขาแล้ว เราควรให้บุหรี่เขาด้วย”
“ผมซื้อเหล้าเหมาไถมาเก็บไว้ ต่อไปนี้ราคาของมันจะพุ่งสูงมาก ได้กำไรดีกว่าเก็บเงินฝากไว้ในธนาคารเปล่า ๆ เสียอีก”
เจียงเสี่ยวไปยังคงระบุแผนการของเขาในทุกรายละเอียด
สองสิ่งแรกคือของไว้ซื้อน้ำใจคน หลินเจียอินจึงไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋บอกว่าเหล้าเหมาไถจะมีราคาสูงในอนาคต เธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณจะบอกว่าเหล้าที่จ่ายเงินซื้อมาจะมีราคาสูงขึ้นอย่างนั้นหรือ ? ”
มันน่าเหลือเชื่อไปหน่อยไหม
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ราคาของทุกอย่างจะสูงขึ้นอยู่แล้ว แต่สิ่งที่จะขึ้นราคาแพงหูฉี่คือเหล้าเหมาไถนี่แหละ ต่อไปนี้ราคาของมันจะขึ้นไปเป็นหลักหลายสิบหยวน หลายร้อยหยวน กระทั่งหลายพันหยวน”
“จริงหรือ ? ”
“คุณบอกว่าเหล้าเหมาไถจะราคาขึ้นไปขวดละหลายร้อยหลายพันหยวน ? ”
หลินเจียอินตื่นเต้นมากจนเกือบจะตกจากเบาะหลังของจักรยาน เธอตกใจจึงรีบกอดเอวของ เจียงเสี่ยวไป๋ไว้แล้วนั่งนิ่ง ๆ
ภรรยากอดเขาแล้ว
ความสุขมากะทันหันเกินไป
เจียงเสี่ยวไป๋ฉลาด เขาจงใจถีบจักรยานส่ายไปส่ายมาราวกับว่ารถจักรยานพร้อมจะพลิกคว่ำได้ทุกเมื่อ ร่างของหลินเจียอินสั่นไหวไปมา เพื่อให้ตนเองได้นั่งอย่างมั่นคง เธอจึงทำได้เพียงกอดเอวของเจียงเสี่ยวไป๋ไว้
หัวใจของเจียงเสี่ยวไป๋บานสะพรั่ง
เขาแทบรอไม่ไหวที่จะปล่อยให้จักรยานแกว่งไปแกว่งมาอีกรอบ
ทว่าเขาไม่กล้าทำให้ภรรยาของเขาตกใจ
ภรรยาของเขาฉลาด
หากแกล้งเธอเป็นครั้งคราว เธออาจจับไม่ได้ แต่ถ้าบ่อยเกินไป เธอจะจับสังเกตได้และคงด่าเขาหูชาแน่นอน
เจียงเสี่ยวไป๋สงบสติอารมณ์ลงอย่างรวดเร็วและค่อย ๆ ทรงตัวจักรยาน
อย่างไรก็ตาม เพื่อความสุขของเขา หลินเจียอินไม่ได้ปล่อยมือของเธอในทันที แต่ยังคงกอดเอวเขาไว้
มีความสุขจังเลย
เจียงเสี่ยวไป๋ มีความสุขอยู่ในใจ และพูดว่า “ใช่ ราคาของเหล้าเหมาไถจะสูงขึ้นอย่างมากในอนาคต พอถึงตอนนั้นเราจะขายสักขวดละหลายร้อยหยวนก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“คุณรู้ได้อย่างไร ? ” หลินเจียอินถามด้วยความประหลาดใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม เขาเป็นคนที่กลับมาเกิดใหม่ แน่นอนว่าเขาต้องรู้
แต่เขาไม่กล้าพูดและไม่ได้บอกว่ามีเหล้าเหมาไถชนิดหนึ่งมีตรารูป “ดอกทานตะวัน” ดั้งเดิมเลยนั้น ขวดของมันใช้ภาพนางฟ้าบนจิตกรรมฝาผนังถ้ำตุนหวงมาทำตราบนขวดเหล้า เดิมมีชื่อว่า ‘เฟยเทียน’ แต่เนื่องจากผู้ผลิตเป็นกังวลว่าจะถูกตราหน้าว่าขโมยความคิดทางวัฒนธรรม ต่อมาจึงเปลี่ยนมารูปดอกทานตะวันแทน เพื่อสื่อความหมายว่า ‘ดอกทานตะวันบานเข้าหาดวงอาทิตย์อันร้อนแรง’
เหล้าเหมาไถชนิดนี้ผลิตขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นแล้วก็เลิกผลิตไป ต่อมา ‘เฟยเทียน’ ได้มีการกลับมาผลิตใหม่อีกครั้ง และชื่อของมันก็ถูกนำมาใช้อีกครั้งเช่นกัน
ในยุคต่อมา เหล้าเหมาไถตราดอกทานตะวัน สามารถประมูลได้ในราคาสูงนับแสนหยวน
มันเหลือเชื่อเกินไปที่จะพูด
แต่ภรรยาเขาถามมา และเขาต้องอธิบาย
เจียงเสี่ยวไป๋เริ่มพูดเรื่องไร้สาระอย่างจริงจัง “เมียจ๋า สิ่งที่ตามองเห็นเรียกว่าการมองเห็น และสิ่งที่ตามองไม่เห็นเรียกว่า นิมิต ผมได้เห็นราคาของเหล้าเหมาไถในอนาคตมาแล้ว”
“ชิ”
“คุณเก่งนะ พอใจหรือยัง ! ”
หลินเจียอินจะฟังไม่รู้ได้อย่างไรว่าเจียงเสี่ยวไป๋กำลังพูดเรื่องไร้สาระ เธอจึงมุ่ยปากตอบกลับไป
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเสียงดัง “เมียจ๋า ผมเก่งหรือไม่นั้น เดี๋ยวคุณก็จะรู้เองในอนาคต”