ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 432 :เสียงกลองไว้ทุกข์ดังตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 432 :เสียงกลองไว้ทุกข์ดังตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า
ตอนที่ 432 :เสียงกลองไว้ทุกข์ดังตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า
ในพื้นที่ชนบท การช่วยงานในพิธีขาวดำมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการช่วยงานในพิธีมงคล
การช่วยงานในพิธีมงคลค่อนข้างตรงไปตรงมา คุณเพียงแค่ต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายจากผู้จัดงาน อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการช่วยเหลือในพิธีขาวดำ ผู้คนจำนวนมากต้องรับผิดชอบในการสวมชุดไว้อาลัย และไม่เพียงแต่ช่วยเหลือเท่านั้น แต่ยังมีส่วนร่วมในพิธีกรรมรำลึกต่าง ๆ ด้วย
หนึ่งในพิธีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ “การเทเหล้าของลูกกตัญญู” นักบวชที่ทำหน้าที่ในพิธีจะตะโกนว่า: “ลูกกตัญญูเทเหล้า” จากนั้นลูกชาย ลูกสาวรวมไปถึงหลาน ๆ ที่แต่งกายด้วยชุดไว้ทุกข์ต้องไปคุกเข่าก้มคำนับในโถงพิธี
นอกจากนี้ยังมีพิธีกรรมอื่น ๆ เช่น “พิธีการห่อโลงศพ”, “พิธีดื่มเหล้าเลือด” และ “พิธีแห่ศพ” ซึ่งลูกชาย ลูกสาว และหลาน ๆ ต้องเข้าร่วมด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น พิธีกรรมบูชาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะทำในเวลากลางคืน ดังนั้นในคืนอันศักดิ์สิทธิ์นี้ เหล่าลูกชายลูกสาว รวมไปถึงหลานที่กตัญญูเกือบทั้งหมดจะไม่สามารถเข้านอนได้
ซึ่งรวมถึงหลินเจียอินด้วย แม้ว่าเธอจะตั้งครรภ์ แต่เธอก็ยังต้องเข้าร่วมในพิธีกรรมเหล่านี้
แม้แต่เด็กอย่างเจียงชานและเจียงถิงก็ไม่มีข้อยกเว้น
แน่นอนว่าสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับว่าธรรมเนียมการไว้ทุกข์ของครอบครัวว่า ‘เคร่งครัด’ เพียงใด
โดยทั่วไปผู้ที่ต้องสวมชุดไว้ทุกข์และแสดงความโศกเศร้ามักถูกกล่าวถึงในจารึกหรือแผ่นจารึกความทรงจำในอนาคต
บางคนยึดธรรมเนียมไว้ทุกข์สำหรับญาติสนิทของตนเท่านั้น ในขณะที่คนอื่นให้ญาติห่าง ๆ และญาติพี่น้องที่แต่งเข้ามาปฏิบัติตามด้วย
บางคนอาจปฏิบัติตามธรรมเนียมการไว้ทุกข์กับลูกหลานของตนเท่านั้น ในขณะบางคนอาจนำประเพณีเหล่านี้ไปยังทุกรุ่นต่อ ๆ ไป
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับกฎของงานศพในครอบครัว ยิ่งมีกฎที่เคร่งครัดมากเท่าไร ประเพณีการไว้ทุกข์ก็จะยิ่งขยายออกไปถึงญาติห่าง ๆ มากขึ้นเท่านั้น
ครอบครัวเจียงไห่โจวจึงขยายวงการไว้ทุกข์ไปยังญาติพี่น้องคนอื่น เนื่องจากพวกเขามีฐานะทางการเงินดีขึ้น และพวกเขาไม่กังวลเกี่ยวกับการแจกจ่ายผ้าไว้ทุกข์
หน้าที่ของเจียงเสี่ยวไป๋ในรายชื่อผู้ช่วยคือการเป็นคนขับรถ นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงเสี่ยวไป๋เข้าร่วมงานสำคัญเช่นนี้ และเขาได้รับหน้าที่ใหม่
งานของเขามุ่งเน้นไปที่ขั้นตอนการเตรียมงาน ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่มีอะไรให้ทำมากนัก
ดังนั้นเขาจึงได้สวมชุดไว้ทุกข์ และคอยอยู่เป็นเพื่อนหลินเจียอินและเจียงชาน
ในช่วงดึกจะมีเสียงกลองและฆ้องดังกึกก้อง มีเสียงประทัดดังขึ้นเป็นครั้งคราว
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีร้องเล่นเต้นรอบโลงศพแล้ว เจียงชานก็หาววอดใหญ่แล้วถามว่า “ป่าป๊า ย่าทวดจากไปเป็นเรื่องน่าเศร้าไม่ใช่เหรอคะ ? ทำไมทุกคนถึงร้องเพลง เต้นรำ และหัวเราะกันล่ะคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายอย่างใจเย็นว่า “นี่เรียกว่าพิธีร้องเล่นเต้นรอบโลงศพ หรือที่เรียกว่าระบำกลองไว้ทุกข์ ซึ่งเป็นพิธีศพแบบดั้งเดิมของหมู่บ้านเรา”
เจียงชานไม่ค่อยเข้าใจ ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงอธิบายเพิ่มเติมให้เธอฟัง
ในชิงโจว ตามประเพณีโบราณ เมื่อพ่อแม่เสียชีวิต ลูกหลานจะตีกลองเพื่อแสดงความโศกเศร้า และจะต้องมีการร้องเพลงและเต้นรำ ประเพณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงประเพณีงานศพของ “การเฉลิมฉลองและส่งผู้ตายด้วยความยินดีและมีชีวิตชีวา”
ในอดีต เมื่อมีคนในชิงโจวเสียชีวิต ชาวบ้านจะรวมตัวกันเมื่อได้ยินข่าวและร่วมเต้นรำตลอดทั้งคืนโดยไม่ต้องเชิญ จนมีคำกล่าวที่ว่า “เมื่อมีคนตาย ทุกคนจะร่วมกันไว้อาลัยโดยการตีกลอง” สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของชุมชนและช่วยปลอบประโลมในช่วงเวลาแห่งการสูญเสีย
ผู้คนในชิงโจวมีความผูกพันธ์แน่นแฟ้น และไม่ว่าพวกเขาจะยากจนแค่ไหน เมื่อพวกเขาบอกว่ามีเรื่องงานศพ พวกเขาก็จะหยุดทุกสิ่งและมาร่วมตีกลองร้องเล่นระบำในงานศพ จนมีสุภาษิตที่ว่า “แม้ว่าคุณจะไม่มีเงินซื้อเต้าหู้ แต่ก็ยังมีความเห็นอกเห็นใจได้ ใช้เวลาทั้งคืนในการเต้นรำไปกับกลองงานศพ เพื่อไว้อาลัยให้ผู้ตาย”
ประเพณีดั้งเดิมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ชาวชิงโจวต้องเผชิญกับความตาย แต่พวกเขาก็ยังเลือกที่จะยิ้ม ร้องเพลง และเต้นรำ พวกเขาคร่ำครวญผ่านดนตรีและการเต้นรำ ปล่อยให้ดวงวิญญาณที่จากไปลอยขึ้นสวรรค์อย่างมีชีวิตชีวาและสนุกสนาน
การตายจากกันแบบนี้เป็นวิธีเผชิญชีวิตและความตายด้วยรอยยิ้มอย่างไร้กังวล
ขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋กำลังอธิบายประเพณีเหล่านี้ให้เจียงชานฟัง เจียงไห่เทียนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีกและพูดว่า “เสี่ยวไป๋ นายจะต้องเล่าถึงประเพณีเก่า ๆ เหล่านี้ให้เด็ก ๆ ฟังให้มาก ๆ มิฉะนั้นเมื่อรุ่นของเราตายกันหมด ประเพณีมากมายเหล่านี้ก็จะถูกคนรุ่นเยาว์ลืมเลือน”
ในเจียงวาน ย่าสามเป็นผู้อาวุโสสูงสุดและอายุมากที่สุดในตระกูลเจียงแล้ว
ตอนนี้ย่าสามเสียชีวิตแล้ว รุ่นคนที่มีชื่อนำหน้าว่า ‘ไห่’ ในตระกูลเจียงจึงกลายเป็นผู้อาวุโสที่สุด แม้ว่าเจียงไห่เทียนจะไม่ใช่คนที่มีอายุมากที่สุดในรุ่น ‘ไห่’ แต่ก็มีคนที่อายุมากกว่าเขาเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เมื่อก่อนมีย่าสามเป็นผู้อาวุโสสูงสุด เขาจึงไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนอาวุโสมากที่สุดแล้ว เขาจึงเริ่มรู้สึกถึงความแก่
เจียงเสี่ยวไป๋ปลอบเขา “ลุงใหญ่เพิ่งอายุแค่หกสิบต้น ๆ เท่านั้น สุขภาพยังแข็งแรงอยู่เลยครับ ! ”
เจียงไห่เทียนยิ้ม ขณะตอบว่า “น้อยคนนักที่จะอยู่ถึงอายุเจ็ดสิบ ลุงเองก็ 62 แล้ว เหลือเวลาอีกไม่มาก”
เจียงเสี่ยวไป๋หยุดไปครู่หนึ่ง นับตั้งแต่เขาเกิดใหม่ เขายุ่งอยู่กับการหาเงิน ดูแลภรรยา ดูแลลูกสาว แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่และช่วยเหลือญาติพี่น้อง อย่างไรก็ตาม เขาได้มองข้ามประเด็นสำคัญประการหนึ่ง นั่นก็คือประเด็นที่ว่าพ่อแม่ของเขามีอายุมากขึ้นทุกวัน
ด้วยความทรงจำจากชาติที่แล้ว เขารู้ว่าพ่อแม่ของเขายังอยู่ไปได้อีกเป็นสิบปี เขามักจะรู้สึกว่าเวลาข้างหน้านั้นยาวนาน แต่เขากลับลืมไปว่าเวลาผ่านมันไปเรื่อย ๆ คนเราเหลือเวลาชีวิตน้อยลงทุกวัน
หลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “คำพูดที่ว่า ‘ชีวิตนั้นยากจะอายุถึงเจ็ดสิบ’ มาจากอดีตที่สภาพความเป็นอยู่และการดูแลรักษาทางการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า ทุกวันนี้ สภาพความเป็นอยู่ของคนเราดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมว่าลุงใหญ่ยังสุขภาพแข็งแรงอยู่ไปได้อีกนาน”
เจียงไห่เทียนโบกมือปัด แล้วพูดว่า “คุณย่าสามในวัย 93 ปีถือเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่มีอายุยืนยาวในหมู่บ้านของเรา”
เจียงชานพูดจากด้านข้าง “คุณปู่จะมีอายุยืนยาวอย่างแน่นอนค่ะ ! ”
เจียงไห่เทียนได้ยินสิ่งนี้อย่างมีความสุขและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ชานชานพูดแบบนี้ ปู่จะพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหลายปี ปู่อยากเห็นหนูเติบโตและแต่งงาน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋มีสีหน้าเปลี่ยนไป ลูกสาวของเขายังอายุไม่ถึง 6 ขวบเลย ทำไมเขาถึงรีบพูดถึงเรื่องแต่งงานของเธอล่ะ ? จากนั้น เขาก็รีบเปลี่ยนเรื่องแล้วถามว่า “ลุงใหญ่ ขบวนแห่ศพเริ่มกี่โมง ? ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจียงไห่เทียนก็เริ่มมีสีหน้าจริงจังและพูดว่า “หยวนชุนเฟิงบอกว่าขบวนจะเริ่มประมาณสี่โมงเย็น”
หยวนชุนเฟิงเป็นนักบวชลัทธิเต๋าในเจียงวาน เขารับผิดชอบพิธีศพในครั้งนี้และเลือกสถานที่ฝังศพ หลังจากดูฮวงจุ้ยแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ดูเวลา และมันก็เกือบจะบ่ายสามโมงแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงพิธีเทเหล้าแล้ว
เจียงไห่เทียนก็ยืนขึ้นและพูดว่า “ทุกคนรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมการหน่อย”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ลุงใหญ่ไปทำหน้าที่เถอะครับ”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากพิธีรำลึกอีกสองครั้ง เสียงกลองและฆ้องก็ดังก้องไปทั่วท้องฟ้า และเสียงตะโกนบอก “บุตรกตัญญูเทเหล้า” ก็ดังก้องกังวานขึ้นมา
ผู้ไว้อาลัยทั้งหมด รวมทั้งลูกชาย ลูกสาว และหลาน ๆ ต่างคุกเข่าลงเพื่อคำนับ
อย่างไรก็ตาม คราวนี้พวกเขาไม่ได้เข้าไปในห้องโถงวิญญาณ เจียงไห่โจวพาทุกคนคุกเข่านอกประตูหลัก และมีคนมากกว่าร้อยคนคุกเข่าอยู่ที่ลานบ้าน
เจียงเสี่ยวไป๋คุกเข่าลงพร้อมกับหลินเจียอินและเจียงชานภายในห้องโถงวิญญาณ นักบวชลัทธิเต๋าได้ถอดเครื่องรางออกแล้ว ผู้ช่วยทั้งแปดคนยืนอยู่ทั้งสองข้างของโลงศพ จากนั้น เจียงไห่โจว ลูกชายคนโตได้ถือแผ่นจารึกวิญญาณ ในขณะที่ลูกชายคนรอง เจียงไห่กัวถือภาพเหมือนแห่งความทรงจำ หยวนชุนเฟิงสวดมนต์ต่อหน้าโลงศพ และทุบแผ่นไม้พิธีการบนโต๊ะเป็นครั้งคราว
เสียงกลองและฆ้องเริ่มเร่งจังหวะดังเร็วขึ้น เสียงแตรดังคร่ำครวญขึ้นมา ให้ความรู้สึกเศร้าหดหู่ใจ ผู้คนที่อยู่ภายนอกห้องโถงพิธีต่างอยู่ในความเศร้าใจ
“ยกโลงศพ ! ”
ตามเสียงตะโกนของหยวนชุนเฟิง ผู้ช่วยที่ยืนทั้งสองด้านของโลงศพจึงช่วยกันยกโลงศพจากโถงวิญญาณไปที่ลานบ้าน
ในลานบ้าน มีการเตรียมม้านั่งสูงสองตัวไว้
หลังจากวางโลงศพไว้บนเก้าอี้แล้ว ผู้ร่วมไว้อาลัยก็นำเชือกและเสาหามที่เตรียมไว้ออกมา ก่อนจะทำการยึดโลงศพโดยร้อยเชือกผ่านเสาหาม
ในขณะนี้ เจียงไห่เทียนยังกำชับให้ทุกคนมาร่วมช่วยกันพาย่าสามขึ้นไปบนเนินเขา ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานแต่งกายไว้ทุกข์ ผู้ช่วยหรือแขกที่มาแสดงความเสียใจ
ทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี บ้างถือพวงมาลา บ้างถือเครื่องบูชา และบ้างถือประทัด พวกเขาขนสิ่งของต่าง ๆ ที่ต้องนำไปที่สุสาน ก่อนจะเรียงกันเป็นแถวยาว
เพื่อเตรียมขบวนแห่ไปยังสถานที่ฝังศพ