ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 444 : ทำสัญญาจ้างครู
ตอนที่ 444 : ทำสัญญาจ้างครู
“ใช่แล้วครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “โรงเรียนจะสร้างห้องชุดพิเศษสำหรับครู เป็นอาคารสูง 17 ชั้น มีลิฟต์ขึ้นลงอาคาร……”
ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค คุณครูทุกคนที่ผ่านการคัดเลือกต่างพากันส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา
“โอ้พระเจ้า ตึกสูง 17 ชั้น สามารถสร้างสูงได้ขนาดนี้เลยเหรอ ? ”
“แถมยังมีลิฟต์ขึ้นลงอาคารด้วย ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ! ”
“ลูกพี่ลูกน้องของฉันทำงานในโรงงานเคมีภัณฑ์ของชิงโจวที่เป็นอุตสาหกรรมของภาครัฐ และบ้านพักสวัสดิการที่สร้างขึ้นใหม่ของพวกเขามีพื้นที่เพียงประมาณ 70 ตารางเมตรเท่านั้น ! ”
“ฉันรู้เกี่ยวกับบ้านพักสวัสดิการของโรงงานเคมีภัณฑ์ที่คุณพูดถึง มันเทียบกับบ้านแบบสามห้องนอน สองห้องนั่นเล่นที่ครูใหญ่จางพูดถึงไม่ได้เลย เพราะบ้านพักสวัสดิการนั้นมีแค่ห้องครัว ไม่มีห้องน้ำ ซึ่งจะต้องใช้ห้องน้ำและห้องอาบน้ำรวม”
“……”
ไม่ว่าจะยุคสมัยใด ที่อยู่อาศัยยังคงเป็นสิ่งที่ผู้คนที่เข้ามาต่อสู้สร้างเนื้อสร้างตัวในเมืองหลวงให้ความสำคัญที่สุด
ในใจของผู้คน ขอแค่มีห้องชุดหรือบ้านเล็ก ๆ ในเมืองเป็นของตนเองเท่านั้น ถึงจะสามารถปักหลักและใช้ชีวิตแบบชาวเมืองได้อย่างแท้จริง
เจียงเสี่ยวไป๋ตระหนักดีถึงเรื่องนี้
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาใช้ “อสังหาริมทรัพย์” มาเป็นไพ่ลับเพื่อช่วงชิงผู้มีความสามารถมาทำงานให้เขาได้อย่างอยู่หมัด โดยนำ ‘แผนรับประกันที่อยู่อาศัย’ มาใช้กับพนักงานของตน
ในไม่ช้า หลี่อ้าวก็สังเกตเห็นคุณสมบัติที่อยู่อาศัยเขา และถามอย่างงุนงงว่า “ครูใหญ่เจียง สัญญาของผมไม่ได้พูดถึงห้องชุดสามห้องนอน สองห้องนั่งเล่น แต่กล่าวถึงห้องชุดสี่ห้องนอนและสองห้องนั่งเล่น ทำไมถึงไม่เหมือนใครล่ะครับ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ใช่ ห้องชุดที่จัดสรรให้คุณเป็นบ้านสี่ห้องนอน สองห้องนั่งเล่น พื้นที่ประมาณ 150 ตารางเมตร”
ทันทีที่เขาพูดแบบนี้ ทุกคนก็รีบไปดูขนาดของห้องชุดที่จัดสรรไว้ในสัญญาของพวกเขา
“ของฉันก็สี่ห้องนอนและสองห้องนั่งเล่นเหมือนกัน ! ”
“อ้อ ของคุณก็มีสี่ห้องนอน สองห้องนั่งเล่นด้วยเหรอ ? ของฉันมีแค่สามห้องนอน สองห้องนั่งเล่นเท่านั้น”
“ของฉันมีสามห้องนอน สองห้องนั่งเล่น ! ”
“ของฉันเป็นสี่ห้องนอน ! ”
“……”
ทันใดนั้น เสียงของแต่ละคนก็ค่อยดังขึ้น
ทั้งที่มาทำงานเป็นครูเหมือนกัน แต่ทำไมบางคนได้รับจัดสรรห้องชุดสามห้องนอน สองห้องนั่งเล่น บางคนได้รับจัดสรรห้องชุดสี่ห้องนอน สองห้องนั่งเล่นล่ะ ?
หลายคนเริ่มไม่เข้าใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ยกมือขึ้นเพื่อสงบเสียงโห่ร้องและพูดว่า “เรื่องการจัดสรรว่าคุณจะได้รับบ้านสี่ห้องนอน สองห้องนั่งเล่น หรือบ้านสามห้องนอน สองห้องนั่งเล่น ขึ้นอยู่กับตัวเลือกของคุณจากเมื่อวาน”
เจียงเสี่ยวไป๋กวาดสายตามองทุกคน “ครูหลี่อ้าว ครูหยูเหวินหัว และคนอื่นเลือกที่จะไปสอนที่หมู่บ้านซานฮวาเป็นเวลาหนึ่งปี ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการจัดสรรห้องชุดที่มีสี่ห้องนอนและห้องนั่งเล่นสองห้อง และพวกเขายังจะได้รับสิทธิ์ในการเลือกชั้นที่พวกเขาอยากอยู่ด้วย”
“ตัวอย่างเช่นครูถังซานเฉาและคนอื่น ๆ เลือกที่จะไม่ไปสอน ดังนั้นที่โรงเรียนฉิวซู่จัดสรรให้จึงมีขนาดสามห้องนอน สองห้องนั่งเล่น”
“เหตุผลที่โรงเรียนจัดสรรแบบนี้ก็เพื่อให้รางวัลแก่ครูที่ยินยอมจะไปเป็นครูอาสาในหมู่บ้านห่างไกล”
น้ำเสียงของเขาเริ่มเคร่งขรึมขึ้น “ในโลกนี้ ผู้ที่มีจิตใจดีและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นไม่ควรถูกลืม”
“แปะ แปะ แปะ แปะ…”
เสียงปรบมืออันอบอุ่นดังขึ้น หลี่อ้าว หยูเหวินหัว และคนอื่นที่ได้ฟังคำพูดของเขาถึงกับขอบตาแดง
ถังซานเฉาและคนอื่นก็ปรบมือเช่นกัน เพียงแต่ในใจของพวกเขารู้สึกเสียดายไม่น้อย
เจียงเสี่ยวไป๋ยกมือขึ้นเพื่อสงบเสียงปรบมือ และหันไปมองครูเกษียณ 8 คนอย่างเหวินฮวาเหริน และถานเชียนโป แล้วพูดว่า “ส่วนครูอาวุโส สัญญาของพวกคุณมีระยะเวลาเพียงห้าปีเท่านั้น หลังจากนั้นบ้านหลังนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของคุณ ส่วนคุณจะสอนต่อหลังจากผ่านไป 5 ปีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสุขภาพและความเต็มใจส่วนตัวของพวกคุณเป็นหลัก”
มีเสียงปรบมือดังขึ้นอีกรอบ
เหวินฮวาเหรินพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ครูใหญ่เจียง คุณปฏิบัติต่อพวกเราด้วยความจริงใจและความเอื้ออาทร แม้จะอายุมากแล้ว ผมก็จะพยายามอย่างเต็มที่จนลมหายใจสุดท้ายของผม”
ถานเชียนโปก็ยืนขึ้นและพูดว่า “ครูใหญ่เจียงไม่ต้องกังวล เราจะสอนเด็ก ๆ ในหมู่บ้านซานฮวาด้วยความทุ่มเทของเราครับ”
เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ถังซานเฉายืนขึ้นและพูดเสียงดังว่า “ครูใหญ่เจียง หลังจากได้ยินสิ่งที่ครูจูและครูถานพูด ผมรู้สึกละอายใจกับความเห็นแก่ตัวของผมเมื่อวานนี้ ผมหวังว่าครูใหญ่เจียงจะให้โอกาสผม ผมยินดีที่จะสอนที่หมู่บ้านซานฮวาเป็นเวลาหนึ่งปีด้วย”
“ผมก็จะไปเหมือนกัน ! ”
“ฉันก็อยากไปเหมือนกัน โปรดให้โอกาสฉันด้วย ครูใหญ่เจียง ! ”
“……”
ครูหลายคนลุกขึ้นยืน แย่งกันพูดทันที
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูพวกเขาและพูดเสียงดังว่า “เอาล่ะ ถ้าคุณเต็มใจไป ผมจะแก้ไขสัญญาให้ และผู้ที่ยินดีจะมีส่วนร่วมไปเป็นครูอาสาสอนที่หมู่บ้านซานฮวาก่อนที่โรงเรียนจะเปิดเทอมในเดือนกันยายนปีหน้าก็สามารถแก้ไขสัญญาได้เช่นกัน”
เขาหยุดครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “ทุกคนควรอ่านให้เข้าใจ สัญญาระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการลงนามในสัญญาจ้างงาน ไม่ได้หมายความว่าห้องชุดจะเป็นของคุณทันที ตามสัญญา ทางเราจะจัดสรรให้คุณอาศัยอยู่ชั่วคราวก่อนเท่านั้น นอกเสียจากว่าพวกคุณจะทำงานที่โรงเรียนเป็นเวลา 10 ปีขึ้นไป โรงเรียนจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ถือครองห้องชุดให้พวกคุณ หลังจากนั้น ห้องชุดที่ระบุในสัญญาถึงจะกลายเป็นของพวกคุณอย่างแท้จริง”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ! ”
“ด้วยการที่โรงเรียนมอบผลประโยชน์อันยอดเยี่ยมให้กับเรา คงไม่มีใครอยากลาออกอย่างแน่นอน ! ”
“ใช่ เราต้องการความมั่นคงด้วย ! ”
“ด้วยเงินเดือนที่สูงและมีบ้านให้อยู่อาศัย ฉันยินดีที่จะสอนที่นี่ไปอีก 20 ปี ไม่ใช่แค่ 10 ปีแน่นอน”
“ใช่ ฉันวางแผนจะทำงานที่นี่ไปจนเกษียณ ! ”
“……”
ทุกคนแสดงความเข้าใจต่อคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋ และหลายคนก็ใช้โอกาสนี้แสดงความภักดี
หลังจากนั้น ครูทุกคนก็ลงนามในสัญญาจ้างงานและข้อตกลงรักษาความลับอย่างมีความสุข
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เจียงเสี่ยวไป๋ขอให้เหวินฮวาเหรินและครูเกษียณคนอื่น ๆ กลับบ้านและเตรียมตัว พวกเขาจะเดินทางไปยังหมู่บ้านซานฮวาภายในสิบวันนี้
ภายในสิบวัน หลี่เฉิงหรูน่าจะก่อสร้างหอพักครูในหมู่บ้านซานฮวาเสร็จแล้ว
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ให้คำแนะนำเล็กน้อยแก่เย่กวงโต้ว ก่อนที่จะกลับไปที่สำนักงานของโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส
หลังจากเล่นหมากรุกกับลูกสาวและหวังกังได้สักพัก ก็ถึงเวลาอาหารกลางวัน
ก่อนหน้านี้โรงอาหารในโรงงานผลิตเครื่องปรุงรสเคยบริหารงานโดยพ่อครัวหลิว แต่ตอนนี้เนื่องจากพ่อครัวหลิวเปิดร้านหัวปลาหม้อไฟ พ่อครัวคนใหม่ประจำโรงอาหารจึงกลายเป็นพ่อครัวไฉ
พ่อครัวไฉยังเป็นพ่อครัวที่มีประสบการณ์มาก และทักษะของเขาก็ไม่ได้แย่ไปกว่าพ่อครัวหลิว ด้วยคำแนะนำของเจียงเสี่ยวไป๋เป็นครั้งคราว ทำให้ทักษะการทำอาหารของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก นอกจากนี้หลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหงต่างชอบอาหารที่เขาทำอาหาร
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่กวงโต้วได้กินข้าวกลางวันในโรงอาหารของโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส เมื่อเขาเห็นโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “หัวหน้าเจียง โรงอาหารที่นี่อาหารอร่อยมากครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “ทำไม ? อาหารของโรงอาหารในสำนักข่าวไม่ดีเหรอ ? ”
เย่กวงโต้วเกาแล้วพูดอย่างเก้กังว่า “ก็ไม่ถึงกับไม่ดี ทุกมื้อมีผักผัดและพะโล้ แต่กินมันทุกวันก็ชวนเลี่ยนเหมือนกันนะครับ”
เจียงเสี่ยวไป๋ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาตระหนักว่าร้านของเขาได้ทำพะโล้ส่งไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และตอนนี้ก็ผ่านมาประมาณ 6 เดือนแล้ว เป็นใครก็กินจนเอียนทั้งนั้น
“ถ้าอย่างนั้นนายก็สามารถมากินอาหารที่นี่ได้ จะได้เปลี่ยนรสชาติ”
เจียงเสี่ยวไป๋ปลอบใจเขาด้วยคำพูดไม่กี่คำ แต่ในใจของเขาตระหนักว่ามันผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่เขาขายพะโล้ ถึงเวลาที่ควรเพิ่มเมนูใหม่เสียที
เย่กวงโต้วกินอย่างรวดเร็วราวกับกลืนอาหารของเขาเหมือนหมาป่า หลินเจียอินเห็นสิ่งนี้จึงพูดว่า “เสี่ยวเย่ ค่อย ๆ กิน กินเร็วเกินไปไม่ดีต่อกระเพาะ”
“ครับผู้จัดการหลิน แต่ผมชินแล้ว ! ” เย่กวงโต้วพูดตุ้ย ๆ ขณะตักอาหารกิน
หลินเจียอินยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอถามว่า “เสี่ยวเย่ นายเรียนจบมาจากที่ไหน ? ”
เย่กวางโตวกล่าวว่า “มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงครับ ! ”
“มหาวิทยาลัยเจียงเฉิง อาเสี่ยวเย่ของหนูก็ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงเหมือนกัน ! ” เจียงชานซึ่งกำลังกินข้าวอยู่อย่างเงียบ ๆ ก็โพล่งขึ้นมาหลังจากได้ยินเย่กวงโต้วพูดถึงมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง
“ชานชาน หนูรู้จักมหาวิทยาลัยเจียงเฉิงด้วย ! ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเจียงชาน เย่กวงโต้วก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้ดีที่นี่ เขาได้รู้ข่าวของเธอคนนั้นอย่างรวดเร็ว จึงพูดอย่างกระตือรือร้น