ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 448 : ของขวัญทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 448 : ของขวัญทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
ตอนที่ 448 : ของขวัญทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
ในช่วงปี 1980 โดยทั่วไปผู้คนค่อนข้างมีความคิดอนุรักษ์นิยม
แม้ว่าเจียงเซียวไป๋จะอธิบายยืดยาวแค่ไหน แต่หลินเจียอินและเฝิงเยี่ยนหงก็ยังรู้สึกว่าคลับเฮาส์ไม่ค่อยเหมาะสมอยู่ดี
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากชวนพวกเธอเปลี่ยนเรื่องคุย “ที่รัก หยางเจี๋ยชวนครอบครัวของเราไปทานอาหารเย็นที่บ้านของเธอ”
“คุณเจอหยางเจี๋ยเมื่อไหร่ ? ” หลินเจียอินถาม
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมไปเอาภาพวาดมาจากอาจารย์หลิน ตอนกลับทางถนนซานเซิ่งก็ได้พบเธอระหว่างทางพอดี บ้านของหยางเจี๋ยอยู่บนถนนซานเซิ่ง”
หลินเจียอินพยักหน้ารับ บอกว่าตกลง
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาไปเยี่ยมบ้านเพื่อนร่วมชั้น ดังนั้นจึงไม่สามารถไปมือเปล่าได้ ทั้งสองหารือกันว่าควรนำของขวัญอะไรมาบ้าง
ท้ายที่สุด หลังจากที่หยางเจี๋ยมีลูกสามคน พวกเขาจึงตัดสินใจนำขนมไปฝากเด็ก ๆ ด้วย ได้แก่ นมถั่วเหลืองหนึ่งลัง ล่าเถียวหนึ่งลัง เต้าหู้แห้งหนึ่งกล่อง เมล็ดแตงโม 5 รส 10 ซอง ถั่วลิสงปรุงรส 10 ซองและเค้กที่รัก 10 ห่อ
ทั้งหมดนี้เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทของตนเอง
หลินเจียอินกล่าวว่า “ทั้งหมดนี้เป็นของขบเคี้ยว เราไม่นำของบางอย่างไปให้ผู้ใหญ่ด้วยหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมได้เอาฟองเต้าหู้และเต้าเจี้ยวมาอย่างละกล่อง เพื่อที่จะได้ใช้ในการปรุงอาหาร”
สิ่งเหล่านี้เป็นผลิตภัณฑ์ของเจียงเสี่ยวไป๋ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องออกไปซื้อข้างนอก
หลังจากพูดคุยกัน เจียงเสี่ยวไป๋ก็พาหลินเจียอินและเจียงชานไปที่โรงงานผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองและร้านโยวผิ่นเพื่อเอาของ จากนั้นตรงไปที่บ้านของหยางเจี๋ย
“สวัสดีค่ะป้าหยาง ! ”
เมื่อพบหยางเจี๋ย เจียงชานก็กล่าวสวัสดีด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีชานชาน เข้ามาเร็วเข้า”
หยางเจี๋ยทักทายพวกเขาอย่างอบอุ่น และเมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ขนของลงจากรถ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ฉันเชิญนายมาทานอาหารเย็น ไม่ใช่ให้ย้ายมาอยู่ที่บ้าน ทำไมถึงนำของมามากมายขนาดนี้”
หลินเจียอินกล่าวว่า “ขนมทั้งหมดเป็นขนมที่ผลิตในโรงงานของเราเอง เรานำมาให้เด็ก ๆ ”
“เราต่างก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน มาทานอาหารที่บ้านเพื่อนยังต้องเกรงใจอีก ! ” หยางเจี๋ยพูดอย่างสุภาพแล้วไปช่วยขนของ
มีของหลายอย่าง และทั้งสามคนต้องใช้เวลาถึงสามรอบ เพื่อขนทุกอย่างเข้ามาในบ้าน
หลี่ต้าหง พ่อสามีของหยางเจี๋ย และเฉินหยูเม่ยแม่สามีของเธอรู้มานานแล้วว่าเพื่อนร่วมชั้นของหยางเจี๋ยกำลังมา ขณะนั้น พวกเขาก็ออกมาจากห้องด้านในพร้อมลูก ๆ ทั้งสามคนของเธอด้วย
หลังจากที่หยางเจี๋ยแนะนำพวกเขาแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินต่างก็ทักทายพวกเขา
“สวัสดีครับลุงหลี่ ! ”
“สวัสดีครับป้าเฉิน ! ”
หลี่ต้าหงพูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเจียง ฉันได้ยินเสี่ยวเจี๋ยพูดถึงเธอมานานแล้ว ตอนนี้เธอเป็นเถ้าแก่ใหญ่แล้ว มาสูบบุหรี่กันเถอะ”
ขณะที่เขาพูด เขาก็ยื่นบุหรี่จงฮั๋วให้เจียงเสี่ยวไป๋
เจียงเสี่ยวไป๋รับมันและขอบคุณ
หลี่ต้าหงพูดด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอบคุณอาจวิ้นที่นำกลับมาบ้าน เขาไม่สูบบุหรี่ ดังนั้นเขาจึงนำบุหรี่ที่เขาได้รับจากที่ทำงานมาให้ฉัน”
หยางเจี๋ยบอกให้ลูกชายคนโตของเธอหลี่เจี้ยนและลูกชายคนรองของเธอหลี่คังทักทายเจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอิน ส่วนลูกชายคนเล็กหลี่จี้มีอายุเพียง 2 ขวบกว่า และเฉินหยูเม่ยอุ้มเขาไว้อยู่ เธอจึงพูดว่า “เด็กคนนี้อายุแค่ 2 ขวบกว่า ยังพูดไม่ชัด”
เจียงชานเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “คุณยายเฉินคะ หนูขออุ้มน้องชายหน่อยได้ไหมคะ ? ”
หลินเจียอินรีบพูดว่า “ลูกยังเด็กขนาดนี้ จะอุ้มน้องได้อย่างไร ประเดี๋ยวก็ทำน้องตกหรอก ! ไปเล่นกับพี่หลี่เจี้ยนและน้องหลี่คังดีกว่า”
เจียงชานพูดอย่างไม่พอใจ “หนูอุ้มไหว หนูอยากอุ้มน้องชาย”
เฉินหยูเม่ยยิ้มพลางพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ลองดูว่าหนูจะอุ้มไหวไหม ! ” จากนั้น เธอก็ส่งหลี่จี้ให้เจียงชานอุ้มอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าเจียงชานจะอายุน้อยกว่า 6 ขวบ แต่หลังจากที่เธอออกกำลังกายกับเจียงเสี่ยวไป๋มาเป็นเวลานาน ทำให้เธอแข็งแรงมาก เธอสามารถอุ้มหลี่จี้ตัวน้อยได้อย่างมั่นคง หนูน้อยจึงพูดอย่างภาคภูมิใจ “ดูสิ หนูอุ้มน้องได้”
หลินเจียอินยังคงกังวลว่าเธอจะอุ้มหลี่จี้ไม่ไหว ดังนั้นเธอจึงปล่อยให้หนูน้อยอุ้มเขาสักพัก แล้วเธอจึงเข้าไปรับมาอุ้มแทน
เมื่อเฉินหยูเม่ยเห็นว่าหลินเจียอินท้องโต เธอจึงไม่กล้าปล่อยให้อุ้มหลานเป็นเวลานาน หลังจากที่เธอเล่นกับหลี่จี้ได้สักพัก เธอก็รับมาอุ้ม
บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักอยู่ครู่หนึ่ง
หลินเจียอินหยิบล่าเถียวที่เธอนำมามอบให้หลี่เจี้ยนและหลี่คัง ดวงตาของหลี่เจี้ยนเป็นประกายและพูดอย่างมีความสุข “นี่คือล่าเถียว ! ”
หลี่คังเองก็อุทานอย่างมีความสุขว่า “ว้าว ล่าเถียว ! ”
เด็กทั้งสองหยิบล่าเถียวไป แต่ไม่ได้สนใจที่จะกิน แต่กลับหยิบถุงการ์ดเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างในออกมา
หลี่คังเปิดการ์ดใบหนึ่งออกมา ก่อนจะตะโกนด้วยความตื่นเต้นว่า “การ์ดจูล่ง ฉันมีจูล่งอีกใบแล้ว ! ”
หลี่เจี้ยนก็หยิบการ์ดออกมาด้วย และหลังจากดูแล้ว เขาก็กระโดดขึ้นอย่างตื่นเต้น “ฉันได้เล่าปี่ ! ”
“พี่เจี้ยน พี่มีเล่าปี่จริง ๆ หรอเนี่ย ! ” หลี่คังเดินเข้ามาและมองดูการ์ดเล่าปี่ในมือพี่ชายของเขาด้วยสายตาอิจฉา
หลี่เจี้ยนพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ก่อนหน้านี้ฉันมีห้าทหารเสือ 4 ใบ และตอนนี้ฉันก็มีเล่าปี่ด้วย ถ้าฉันได้กวนอูเพิ่มอีกใบ ฉันจะได้รางวัลที่สอง”
เจียงเสี่ยวไป๋กำลังคุยกับหลี่ต้าหง เมื่อเขาได้ยินเสียงของหลี่เจี้ยนและหลี่คัง เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย
ในเวลานั้น กิจกรรมการ์ดสะสมที่เขาจัดขึ้น โดยซ่อนการ์ดไว้ในซองล่าเถียว กิจกรรมคือการรวบรวมการ์ดของห้าทหารเสือ ก็คือกวนอู เตียวหุย จูล่ง ม้าเฉียว และฮองตง และการ์ดจูกัดเหลียงได้จะสามารถแลกเป็นเงินสดได้ 10 หยวน หากรวมห้าทหารเสือบวกกับเล่าปี่จะแลกเป็นเงินสดได้ 50 หยวน และการรวบรวมการ์ดตัวละครทั้งเจ็ดจะสามารถแลกเป็นเงินสดได้ 200 หยวน
ดูจากปฏิกิริยาของเด็กทั้งสองแล้ว พวกเขาคงเคยซื้อล่าเถียวกินไปเยอะมาก
ไม่อย่างนั้นคงยังสะสมการ์ดทหารเสือได้ไม่ถึง 4 ใบ
ต้องรู้ว่าในเวลานั้น อัตราส่วนของการ์ดรูปของกวนอู เตียวหุย จูล่ง ม้าเฉียวและฮองตง คือ 1 : 5 : 10 : 100 : 200
การ์ดสำหรับม้าเฉียวและฮองตงนั้นค่อนข้างหาง่าย แต่การ์ดกวนอูและเตียวหุยนั้นหายากกว่ามาก
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ ในบรรดาล่าเถียวที่เขานำมาจากร้านโยวผิ่น จะมีการ์ดที่มีรูปของเล่าปี่ติดมาด้วย
นั่นเป็นเพียงใบเดียวในทั้งหมดหนึ่งหมื่นใบ !
โชคครั้งนี้ช่างเหลือเชื่อจริง ๆ !
เขาพูดกับหลี่เจี้ยนว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เปิดอีกสองสามห่อแล้วดูว่าจะได้กวนอูไหม”
หลี่เจี้ยนพยักหน้ารับอย่างมีความสุข และเขากับหลี่คังก็หยิบล่าเถียวอีกสองห่อออกจากกล่องทันที
“ซองนี้เป็นม้าเฉียว ! ”
“ซองนี้เป็นฮองตง ! ”
เด็กน้อยทั้งสองดูผิดหวัง
“เปิดเพิ่มอีก ! ” หลี่เจี้ยนกัดฟันแล้วพูด
แน่นอนว่าหลี่คังเห็นด้วย และเด็กทั้งสองก็หยิบห่อล่าเถียวออกมา
“เป็นอีกฮองตงอีกแล้ว ! ”
“ของผมก็คือฮองตง ! ”
หลี่เจียนรู้สึกผิดหวังอีกครั้ง และต้องการเปิดเพิ่ม แต่หลี่ต้าหงกลับพูดว่า “หลานเปิดมา 6 ห่อแล้ว และยังไม่ได้กินมันเลย หากต้องการเปิดเพิ่ม หลานจะต้องกินที่เปิดก่อนหน้านี้ให้หมดก่อน ถึงจะเปิดเพิ่มเติมได้”
หลี่เจี้ยนผิดหวังทันทีและพูดออกมาว่า “คุณปู่ ผมขาดแค่กวนอูเพียงใบเดียว ผมอยากจะรวบรวมห้าทหารเสือให้ครบ ! ”
หลี่คังกล่าวเสริมว่า “คุณปู่ ถ้าเราได้กวนอูอีกใบ เราก็จะได้รางวัลที่ 2 ซึ่งเป็นเงิน 50 หยวนเชียวนะครับ ! ”
หลี่ต้าหงบ่นออกมา “ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นคนคิดไอเดียแย่ ๆ นี้ เด็กพวกนี้ซื้อล่าเถียวมาไม่ใช่เพราะอยากกิน แต่ซื้อมาเพื่อเอาการ์ดข้างในนั้น”
เขาส่ายหัวและถอนหายใจ
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “สิ่งนี้เป็นการส่งเสริมการขายครับ”
หลี่ต้าหงตะคอกอย่างเย็นชา “ส่งเสริมการขายเพื่อแค่เงินไม่กี่หยวน โดยลืมเรื่องมโนธรรม ! หลานชายสองคนของฉันขอเงินค่าขนมทุกวันเพื่อซื้อล่าเถียวนี้”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดไม่ออก เพราะคนที่กำลังถูกด่าอยู่นี้คือเขา และมันก็คงยากที่จะอธิบาย
เขาไม่อาจพูดได้ว่าล่าเถียวผลิตในโรงงานของเขาเอง และกิจกรรมสะสมการ์ดคือความคิดของเขา
มันดูน่าอายเกินไป
หลี่ต้าหงยังคงหงุดหงิด เขาชี้ไปที่เจียงเสี่ยวไป๋แล้วถามว่า “บอกฉันหน่อย ลูกสาวของเธอขอเงินจากเธอไปซื้อล่าเถียวหรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ทำตัวไม่ถูก เพราะเรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อใดก็ตามที่ลูกสาวของเขาต้องการล่าเถียว เขาก็จะไปเอาจากโรงงานมาให้เธอทันที
ใครจะไปคิดว่าเมื่อหลี่เจี้ยนได้ยินคำพูดของปู่ เขาก็รีบเรียกเจียงชานทันทีว่า “ชานชาน เธอยังไม่เคยเปิดเลย มาเปิดสักสองห่อ แล้วดูว่าเธอจะได้กวนอู่ไหม ! ”