ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 461: เยี่ยมชม
ตอนที่ 461: เยี่ยมชม
เมื่อนายกเทศมนตรีจางนำกลุ่มคนไปเยี่ยมชมบ้านแต่ละหลัง รองนายกเทศมนตรีถัง ซ่งเจี้ยนจวิน และผู้นำคนอื่นก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเมื่อเห็นว่าบ้านของเกษตรกรเกือบทุกครัวเรือนนั้นมีโทรทัศน์ดูกันหมดแล้ว
พวกเขาได้ยินมานานแล้วว่าเกษตรกรในเจียงวานร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าพวกเขาจะรวยขนาดนี้
โทรทัศน์ยังไม่ได้รับความนิยมในเมืองชิงโจว แต่ไม่คาดคิดว่ามันได้รับความนิยมในหมู่บ้านบนภูเขาเล็ก ๆ ก่อน
ในเวลานี้ นายกเทศมนตรีจางและคนอื่นก็ได้มาถึงที่บ้านของถานชิงซาน
ถานชิงซานไม่อยู่บ้าน มีแต่เหลียงซิ่วหยู ภรรยาของเขาที่รอต้อนรับทุกคนอยู่ที่นี่
“ที่บ้านมีคนกี่คน ทำไมคุณถึงอยู่บ้านคนเดียว ? ” นายกเทศมนตรีจางถามอย่างใจเย็น
เหลียงซิ่วหยูกล่าวว่า “ครอบครัวเรามีกันสี่คน อีกคนไปทำงานในเมือง ทำงานให้กับเจียงเสี่ยวไป๋ ส่วนเด็กสองคนก็ไปโรงเรียนค่ะ”
นายกเทศมนตรีจางพยักหน้าแล้วถามว่า “โอ้ สามีของคุณทำงานอะไรอยู่ในเมือง เขาได้เงินเดือนเท่าไหร่?”
เมื่อพูดถึงเรื่องงานของถานชิงซาน เหลียงซิ่วหยูก็พูดออกมาแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า “เขาทำงานในโรงงานเครื่องปรุงรส เดือนที่แล้วได้เงินเดือนมากกว่า 1,500 หยวน”
เอ่อ……
นายกเทศมนตรีจางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงรองนายกเทศมนตรีถัง ซ่งเจี้ยนจวินผู้อำนวยการสำนักงานการก่อสร้าง ฉู่หยุนฮุยผู้อำนวยการสำนักงานที่ดิน หลิวเฟิ่นโต้ว ผู้อำนวยการสำนักงานการเกษตรกรรมและคนอื่นเลย
เพราะส่วนใหญ่ผู้นำเหล่านี้จะได้รับเงินเดือนประมาณ 100 หยวนต่อเดือนเท่านั้น
ใครจะไปคิดว่าคนธรรมดาที่ทำงานเป็นแรงงานในโรงงานกลับมีรายได้มากกว่า 1,500 หยวนต่อเดือน ซึ่งสูงกว่ารายได้ต่อปีของพวกเขาเสียอีก
“คุณพูดจริงหรือเปล่า ? ” ซ่งเจี้ยนจวินถามอย่างเหลือเชื่อ
“สามีของคุณทำงานหน้าที่อะไรในโรงงานเครื่องปรุงรส ? ทำไมเขาถึงได้เงินเดือนสูงขนาดนี้!” หลิวเฟิ่นโต้วถามขึ้นมา
เหลียงซิ่วหยูเม้มริมฝีปากของเธอแล้วยิ้ม “ฉันจะโกหกพวกคุณไปทำไมล่ะ เขาชื่อถานชิงซาน ทำงาน……”
ทันทีที่บอกว่าเป็นถานชิงซาน นายกเทศมนตรีจางและรองนายกเทศมนตรีถังต่างก็มีปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปทันที
รองนายกเทศมนตรีถังกล่าวว่า “ที่แท้คุณก็เป็นภรรยาของผู้จัดการถานนี่เอง ฉันรู้จักผู้จัดการถานดี เขาเป็นผู้จัดการโรงงาน ไม่แปลกหรอกที่เขาจะได้เงินเดือนสูงขนาดนี้”
ซ่งเจี้ยนจวิน หลิวเฟิ่นโต้ว ฉู่หยุนฮุย และคนอื่นต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะคนที่พวกเขาถามถึงเป็นผู้จัดการโรงงาน จึงพอเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงได้รับเงินเดือนสูงถึง 1,500 หยวนต่อเดือน
หลิวเฟิ่นโต้วถามว่า “สามีของคุณเป็นถึงผู้จัดการโรงงานเครื่องปรุงอยู่แล้ว ดังนั้นในโครงการก่อสร้างชนบทแห่งใหม่นี้ สำนักงานการเกษตรของเรากำลังจะให้เกษตรกรในเจียงวานประกอบอาชีพปลูกผักเรือนกระจก แบบนี้คุณยังอยากจะมีส่วนร่วมอยู่ไหม ? ”
เหลียงซิ่วหยูกล่าวว่า “ทำไมจะไม่เข้าร่วมล่ะคะ ? ฉันคิดไว้แล้ว ปีหน้าฉันจะไม่ปลูกข้าวโพดแล้ว เพราะฉันจะเปลี่ยนที่ดินแห้งแล้งทั้งหกเจ็ดหมู่ให้กลายเป็นฟาร์มผักเรือนกระจก จากนี้ไปฉันคิดว่าจะปลูกพริก”
นายกเทศมนตรีจาง รองนายกเทศมนตรีถังและคนอื่นต่างก็มองหน้ากันและยิ้มออกมา
หลิวเฟิ่นโต้วกล่าวว่า “สามีของคุณทำงานเป็นผู้จัดการโรงงานเครื่องปรุงรสและมีรายได้สูงมากแล้ว คุณยังจะทำผักเรือนกระจกอีกเหรอ ? คุณไม่จำเป็นต้องทำงานหนักขนาดนี้เลยนะ ? ”
เหลียงซิ่วหยูเอามือปัดผมของเธอแล้วพูดว่า “พวกเราเป็นเกษตรกร ไม่กลัวการทำงานหนัก ไม่ว่าสามีจะหาเงินได้เท่าไร ฉันก็อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ลุงเจียงบอกว่าผักเรือนกระจกนั้นเป็นโครงการใหม่ แม้จะมีรายได้ไม่เยอะเท่าทำงานในโรงงาน แต่ก็ถือว่าสร้างรายได้ได้ดี”
หลิวเฟิ่นโต้วกล่าวว่า “เอาล่ะ พี่สาว ฉันจะมาเยี่ยมอีกครั้งตอนคุณเริ่มปลูกพริกในโรงเรือนกระจก”
“ค่ะ ถ้าปลูกตอนนี้ก็จะเก็บเกี่ยวตอนใกล้จะตรุษจีนพอดี ตอนนั้นฉันจะให้คุณไปทาน 2 กิโลกรัม เพราะในช่วงตรุษจีนพริกสดนั้นหายาก” เหลียงซิ่วหยู่กล่าว
……
พวกเขาพูดคุยกันสักพักที่บ้านของถานชิงซาน จากนั้นก็ไปที่บ้านของช่างไม้ถานที่อยู่ติดกัน
ฉงไห่เยี่ยนแนะนำว่า “นายกเทศมนตรีจาง รองนายกเทศมนตรีถัง ชื่อของเจ้าบ้านคือถานเสวี่ยเฉา เขาเป็นช่างไม้ที่มีชื่อเสียงในอำเภอชิงซาน ตอนนี้เขามีโรงงานเฟอร์นิเจอร์อยู่ และเป็นเศรษฐีครัวเรือนเงินหมื่นในเจียงวานด้วย”
นายกเทศมนตรีจาง รองนายกเทศมนตรีถัง หลิวเฟิ่นโต้ว และคนอื่นต่างตกตะลึง แม้ว่าถานชิงซานจะเป็นผู้จัดการโรงงานเครื่องปรุงรส แต่เนื่องจากโรงงานเครื่องปรุงรสเพิ่งจะเปิดตัวได้ไม่นาน ครอบครัวของถานชิงซานจึงยังอยู่ในบ้านหลังเก่าอยู่ แต่ไม่คาดคิดว่าชายชราซึ่งอายุเกือบหกสิบปีจะกลายเป็นเศรษฐีที่มีทรัพย์สินหนึ่งหมื่นหยวนแล้ว
เศรษฐีที่มีทรัพย์สินหนึ่งหมื่นหยวนเป็นที่อิจฉาของทุกคนเชียวนะ
ช่างไม้ถานโบกมือแล้วพูดว่า “นายอำเภอฉง ฉันเคยเปิดโรงงานเฟอร์นิเจอร์เล็ก ๆ อยู่ที่บ้าน แต่ตอนนี้ฉันได้เข้าร่วมกับเจียงเจียกรุ๊ปแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนั้น รองนายกเทศมนตรีถังและฉงไห่เยี่ยนต่างก็ตกตะลึงในเวลาเดียวกัน
รองนายกเทศมนตรีถังกล่าวว่า “เจียงเสี่ยวไป๋ขอที่ดิน 500 หมู่ไปตั้งโรงงานเฟอร์นิเจอร์ เขาได้ร่วมกับคุณหรือเปล่า ? ”
ช่างไม้ถานหัวเราะเบา ๆ “ผมทำงานกับเขาอยู่แล้ว ! ”
ฉงไห่เยี่ยนอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ตอนแรกเธออยากหาเวลาพูดคุยกับช่างไม้ถานและวางแผนที่จะให้เขามาตั้งโรงงานเฟอร์นิเจอร์ในตัวอำเภอ เพื่อที่อำเภอชิงซานจะได้มีกิจการเหมือนอำเภออื่น
ใครจะไปคิดว่าเธอจะช้าไปหนึ่งก้าว
รองนายกเทศมนตรีถังไปเยี่ยมบ้านของช่างไม้ถานด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก
ตอนนี้บ้านของช่างไม้ถานได้กลายเป็นเวิร์กช็อปงานฝีมือไปแล้ว นอกจากพวกหลี่หมิงซานที่เป็นเด็กฝึกงานแล้ว เขายังจ้างพนักงานหลายสิบคน
เมื่อเห็นฉือต้าฟาง ภรรยาของช่างไม้ถานนอนไม่สบายอยู่บนเตียง รองนายกเทศมนตรีถังก็ได้แต่แสดงความรู้สึกเห็นใจ และอวยพรให้เธอเอาชนะโรคนี้ไปได้
ฉือต้าฟางกล่าวว่า “ขอบคุณที่ผู้นำเป็นห่วง ตอนนี้ฉันดีขึ้นมากแล้ว แต่หากว่าวันข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น ฉันก็พร้อมตายตาหลับแล้วล่ะ”
แม้ว่าเธอจะนอนป่วยติดเตียงมานานกว่าครึ่งปีแล้ว แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในครอบครัวของเธอได้ เพราะในอดีต เงินเพียงเล็กน้อยของช่างไม้ถานที่ได้รับจากงานนอกก็จะเอามาใช้ซื้อยาให้เธอและเป็นค่าอาหารที่บ้าน ซึ่งก็แทบจะไม่มีโอกาสได้กินเนื้อสัตว์เลย
ตอนนี้ ครอบครัวไม่เพียงแต่ได้กินเนื้อสัตว์ทุกมื้อเท่านั้น แต่ช่างไม้ถานและถานเสี่ยวฟางยังมักจะซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ดี ๆ มาให้เธอได้บำรุงร่างกายด้วย
รองนายกเทศมนตรีถังปลอบเธอว่า “พี่ฉืออย่าพูดอย่างนั้นเลย สภาพครอบครัวของพี่เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ พี่ต้องดูแลสุขภาพของตัวเอง และมีชีวิตอยู่กับครอบครัวที่มีความสุขนี้ให้นานที่สุด”
ฉือต้าฟางพยักหน้าทั้งน้ำตา เธอดูมีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ขึ้นมาจริง ๆ
เธอยังหวังว่าเธอจะหายป่วยเร็ว ๆ นี้และกลับมาทำงานช่วยครอบครัวได้เหมือนเดิม
……
ต่อไป นายกเทศมนตรีจางก็พาผู้คนไปเยี่ยมบ้านหลังแล้วหลังเล่า เช้านี้เขาได้พาคณะไปเยี่ยมได้เพียงครึ่งเดียวจากทั้งหมด 100 กว่าครัวเรือนในเจียงวาน
ในตอนเที่ยง เดิมทีเจียงเสี่ยวไป๋วางแผนที่จะจัดการธุระของเขา แต่นายกเทศมนตรีจางเสนอให้ทำซุปฟองเต้าหู้ให้ทุกคนทานที่บ้านของเจียงไห่เทียน เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำงานต่อหลังพักกลางวัน แล้วค่อยไปที่บ้านของเจียงเสี่ยวไป๋เพื่อทานหม้อไฟในตอนเย็นอีกที
หลังจากทานซุปฟองเต้าหู้แล้ว นายกเทศมนตรีจางก็ไม่ได้พาคณะไปเยี่ยมดูบ้านหลังอื่นต่อ แต่เตรียมที่จะเข้าไปในทุ่งเพื่อดูสถานที่สร้างโรงเรือนกระจก
เจียงเสี่ยวไป๋ได้วางแผนการก่อสร้างโรงเรือนกระจกไว้หมดแล้ว ส่วนเจียงไห่เทียนก็ได้สั่งให้ชาวบ้านตัดไม้ไผ่จำนวนหนึ่ง และขนเหล็กเส้นที่รัฐบาลเอามาให้ไปยังที่นาของเหลียงซิ่วหยู ภายใต้คำแนะนำของสำนักงานการเกษตร โรงเรือนกระจกแห่งแรกจะถูกสร้างขึ้นในที่ดินทำกินของเหลียงซิ่วหยู
เจียงไห่เทียน เจียงเสี่ยวจี๋ เหลียงซิ่วหยู และคนอื่นช่วยกันปรับระดับหน้าดินก่อน จากนั้นก็ใช้เหล็กเส้นมาทำเป็นโครงโค้ง จัดการฝังเสาไม้ไผ่ทุก ๆ 60 เซนติเมตร กว้างยาวตามขนาดของโรงเรือนที่จะสร้าง งอเสาไม้ไผ่ให้โค้งงอไปกับหลังคาของเรือนกระจก จากนั้นก็ปิดโครงด้วยฟิล์มแล้วอัดขอบของฟิล์มด้วยดิน
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ให้คำแนะนำด้วย คนในหมู่บ้านก็มารวมกัน และในไม่ช้าโรงเรือนกระจกก็ถูกสร้างเสร็จ
ครั้งนี้สำนักวิชาการเกษตรยังได้นำเมล็ดพันธุ์ผักต่าง ๆ ได้แก่ พริก มะเขือเทศ มะเขือ กะหล่ำปลี และอื่น ๆ มาแจกจ่ายให้เกษตรกรในหมู่บ้านด้วย
เหลียงซิ่วหยูเลือกที่จะปลูกพริก ชาวบ้านจึงช่วยกันปลูกพริกในโรงเรือนกระจกภายใต้คำแนะนำของนักวิจัยการเกษตร