ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 462 : คนหนุ่มสาวไม่ควรภูมิใจในตัวเองเกินไป
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 462 : คนหนุ่มสาวไม่ควรภูมิใจในตัวเองเกินไป
ตอนที่ 462 : คนหนุ่มสาวไม่ควรภูมิใจในตัวเองเกินไป
โรงเรือนหลังแรกสร้างสำเร็จ และทุกคนต่างส่งเสียงเฮออกมาดังลั่น
“แค่นี้ก็เสร็จแล้วเหรอ ? ”
“แค่สร้างโรงเรือนง่าย ๆ แบบนี้ก็สามารถปลูกผักนอกฤดูได้แล้วเหรอ ? มันง่ายขนาดนี้เลยหรือไร ? ”
“อ้อ ฉันได้ยินมาว่าเจียงเสี่ยวไป๋เป็นคนเสนอแนวคิดนี้”
“เสี่ยวไป๋เสนอมาทั้งที มันต้องมีประโยชน์อยู่แล้ว ! ”
“ใช่ เสี่ยวไป๋คอยแต่สร้างประโยชน์ให้กับพวกเรา”
“ฉันตั้งตารอจริง ๆ ฉันอยากเห็นจริง ๆ ว่าผักในโรงเรือนจะหน้าตาเป็นยังไง”
“……”
ชาวบ้านหลายคนก็พูดถึงเรื่องนี้ด้วย
นายกเทศมนตรีจางมองดูโรงเรือนหลังแรกที่สร้างเสร็จแล้วด้วยรอยยิ้มแล้วโบกมือ “มา ๆ ทุกคน ระดมคนมาเยอะ ๆ เราจะสร้างโรงเรือนหลังที่สองอีก”
เจียงไห่เทียนเริ่มเรียกชาวบ้านมาทันที เขาบอกให้เจียงเสี่ยวจี๋นำคนไปปรับระดับหน้าดิน ก่อนที่เขาจะเห็นนายกเทศมนตรีจางพับแขนเสื้อขึ้นและเดินเข้าไปในทุ่งเช่นกัน
“ผู้ใหญ่บ้าน เอาจอบแล้วตามฉันมาที”
เจียงไห่เทียนตกใจมากและรับตอบรับทันที “นายกเทศมนตรีจาง คุณคอยอยู่ข้าง ๆ สั่งงานผมก็ได้ ไม่จำเป็นต้องลงมือลงแรงขนาดนี้”
นายกเทศมนตรีจางหัวเราะแล้วพูดว่า “ผู้ใหญ่บ้านเจียง ฉันก็เป็นลูกชาวนามาก่อน ฉันทำงานในนามาตั้งแต่เด็ก ฉันเคยทำงานขุดดินพวกนี้ด้วย”
เขามองไปที่สนาม แล้วพูดว่า “เพียงแต่ฉันไม่ได้ทำงานแบบนี้มาหลายปีแล้ว วันนี้มีโอกาสที่หายาก ก็อยากจะสัมผัสความรู้สึกเดิม ๆ บ้าง”
เมื่อเจียงไห่เทียนได้ยินสิ่งที่จางอี้เต๋อพูด เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเอาพลั่วและจอบในมือของเขายื่นให้
นายกเทศมนตรีจางหยิบพลั่วแล้วเริ่มทำงานอย่างแข็งขัน
นักข่าวโทรทัศน์จางเหว่ยรีบหยิบกล้องขึ้นมาทันทีและเริ่มบันทึกวิดีโอ ส่วนมู่เสี่ยวชิงก็หยิบกล้องขึ้นมาและถ่ายภาพดัง ‘แชะ แชะ’
ซ่งเจี้ยนจวิน หลิวเฟิ่นโต้ว หม่าว่านหลี่ และผู้นำสำนักอื่น ๆ ต่างก็ยกแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินเข้าไปในทุ่งเมื่อเห็นนายกเทศมนตรีจางเดินนำเข้าไปในทุ่งเป็นคนแรก
คนที่ทำหน้าที่ปรับระดับหน้าดินก็ทำไป ใครตอกเสาเข็มก็ตอกไป ใครมีหน้าที่ทำโครงเสาไม้ไผ่ก็ช่วยกัน และบางคนก็พากันเดินไปแบกเหล็กเส้น โดยมีเจียงเสี่ยวจี๋ หูฉางจวิน เฉินหยวนเซิ่ง และคนอื่นเป็นแกนนำหลัก
ต้องบอกก่อนว่าผู้นำเหล่านี้ต่างก็เป็นคนที่เกิดในครอบครัวเกษตรกรมาก่อน พวกเขาเติบโตมากับการทำไร่ไถนา แม้ว่าพวกเขาจะทำงานพวกนี้ไม่เก่งเท่าเจียงเสี่ยวจี๋และชาวบ้าน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็พอเป็นงานอยู่บ้าง
ในทางกลับกัน รองนายกเทศมนตรีถัง ฟู่เต๋อเจิง เจิ้งเจียฮุ่ย และคนอื่นต่างรู้สึกเขินอาย เพราะพวกเขามาจากภูมิหลังที่แตกต่างและไม่เคยทำงานในทุ่งนามาก่อน
มีนักข่าวอยู่ในที่พื้นที่ด้วย และมีคนดูมากมาย พวกเขาจึงรู้สึกทำตัวไม่ถูกและได้แต่ยืนเฉยอยู่ตรงนั้น
“ให้ฉันช่วยหักไม้ไผ่นะ ! ”
ในตอนนี้ รองนายกเทศมนตรีถังไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากต้องไปช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอทำได้
เมื่อเจิ้งเจียฮุ่ยเห็นดังนั้น เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเดินเข้าไปที่ทุ่ง
เธอเป็นผู้หญิงและไม่เคยทำงานในฟาร์มมาก่อน เมื่อเดินมาถึงกลางทุ่ง เธอไม่เพียงแต่ช่วยไม่ได้เท่านั้น แต่ยังมาเพิ่มปัญหาให้ทุกคนอีกด้วย
เหลียงซิ่วหยูจึงพูดอย่างช่วยไม่ได้ “คุณคะ คุณควรไปพักผ่อนเถอะ ถึงคุณมายืนอยู่กลางแดดแบบนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี”
ใบหน้าของเจิ้งเจียฮุ่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความเขินอาย เธอหันกลับไปมองฟู่เต๋อเจิงด้วยสีหน้ามึนงง
ฟู่เต๋อเจิงก็ไม่เคยทำงานในไร่ในนามาก่อนเหมือนกัน เขาเห็นว่ารองนายกเทศมนตรีถังและเจิ้งเจียฮุ่ยไปที่ทุ่งนา ส่วนเขายืนอยู่คนเดียวตรงคันนา จึงทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ตามทุกคนไปที่ทุ่งนา
เพียงแต่ยืนอยู่ตรงนี้อย่างเก้ ๆ กัง ๆ เพราะต่อให้เขาไปช่วยก็ไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ดี
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ และทันใดนั้นก็เห็นมู่เสี่ยวชิงถือกล้องขึ้นมาถ่ายรูปแล้วตะโกนไปว่า “มู่เสี่ยวชิง มานี่หน่อย”
หลังจากที่มู่เสี่ยวชิงถ่ายรูปเสร็จ เขาก็วิ่งมาทันทีและพูดด้วยท่าทีตื่นเต้น “ประธานฟู่ มีอะไรหรือเปล่าคะ ? ”
ฟู่เต๋อเจิงเหลือบมองเธอแล้วพูดว่า “เสี่ยวชิง ทักษะการถ่ายภาพของคุณเป็นยังไงบ้าง?”
มู่เสี่ยวชิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ประธานฟู่ ทักษะการถ่ายภาพของฉันก็ต้องดีอยู่แล้ว ฉันได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันภาพถ่ายของเมืองชิงโจวเมื่อปีที่แล้วด้วยนะ”
ฟู่เต๋อเจิงยิ้มและพูดว่า “คนหนุ่มสาวน่ะไม่ควรภาคภูมิกับอันดับชื่อเสียงแค่ครั้งสองครั้ง ส่งกล้องของเธอมาให้ฉัน แล้วฉันจะสอนเธอถ่ายรูปเอง”
มู่เสี่ยวชิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เธอรู้แค่ว่าประธานฟู่นั้นเป็นนักเขียนนามปากกาที่โด่งดัง เขาได้เขียนบทความดี ๆ ออกมามากมาย แต่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าประธานฟู่จะมีทักษะการถ่ายภาพที่ดี เพราะในสมาคมช่างภาพชิงโจวก็ไม่มีชื่อของประธานฟู่อยู่
อย่างไรก็ตาม ฟู่เต๋อเจิงป็นเจ้านายของเธอ ดังนั้นเธอจึงต้องยอมให้เขา
ฟู่เต๋อเจิงหยิบกล้องขึ้นมาและรู้สึกเหมือนได้พบสมบัติ เขาวิ่งเข้าไปในทุ่ง เลือกเลนส์แล้วถ่ายรูป ‘แชะ แชะ’ ด้วยความมั่นใจ
มู่เสี่ยวชิงเดินตามเขาไปติด ๆ และถามด้วยความสงสัย “ประธานฟู่ คุณเริ่มถ่ายรูปตั้งแต่เมื่อไหร่ และคุณมีผลงานอะไรบ้าง ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่องนี้ล่ะ?”
ฟู่เต๋อเจิงแค่รู้วิธีใช้กล้อง ทักษะการถ่ายภาพของเขานั้นก็อยู่ในขั้นปานกลาง ไม่ต้องพูดถึงมู่เสี่ยวชิงที่ชนะเลิศอันดับหนึ่งในการแข่งขันถ่ายภาพ แม้แต่นักข่าวหนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่ก็ยังมีทักษะการถ่ายภาพที่ดีไม่เท่าเธอ
ไม่มีการแสดงออกบนใบหน้าของเขา และเขาก็ยังพูดอย่างใจเย็น “แค่เรียนรู้จากข้างสนาม ทำไมคุณถึงถามคำถามมากมายขนาดนี้ ? ”
ฉากที่เกิดขึ้นนั้น เจิ้งเจียฮุ่ยเห็นมันอย่างชัดเจน
“จิ้งจอกเฒ่า ! ”
เจิ้งเจียฮุ่ยบ่นอุบในใจด้วยความโกรธ และมองไปที่จางเหว่ยที่กำลังถือกล้องอยู่ในมือ
แต่เธอก็อยากเลียนแบบฟู่เต๋อเจิงด้วย
แต่กล้องถ่ายวิดีโอนั้นแตกต่างกับกล้องถ่ายรูป ถึงแม้เธอจะไปแย่งของคนอื่นมา แต่เธอก็ใช้ไม่เป็นอยู่ดี
……
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าผู้นำทุกคนไปที่ทุ่งนาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป และมุ่งตรงกลับบ้านเพื่อไปเตรียมของทำหม้อไฟเย็นนี้
ประมาณห้าโมงเย็น นายกเทศมนตรีจางก็ได้พารองนายกเทศมนตรีถัง ซ่งเจี้ยนจวิน และคนอื่นตรงไปที่บ้านของเจียงเสี่ยวไป๋
“นี่คือ… บ้านของเจียงเสี่ยวไป๋ใช่ไหม ? ”
“นี่มันเกินจริงไปแล้ว ! ”
“นี่ไม่ได้เรียกว่าบ้าน แต่มันคือคฤหาสน์ชัด ๆ ! ”
“ตามที่คาดไว้ เจียงเสี่ยวไป๋ช่างออกแบบได้วิจิตรจริง ๆ ! ”
“……”
เมื่อรองนายกเทศมนตรีถังและคนอื่นมาเห็นบ้านของเจียงเสี่ยวไป๋ พวกเขาก็ตกใจและพูดคุยกันด้วยความทึ่ง
“นายกเทศมนตรีจาง ! ”
“รองนายกเทศมนตรีถัง ! ”
“ยินดีต้อนรับผู้นำทุกคนสู่บ้านของเราค่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋กำลังยุ่งอยู่ในครัว ดังนั้นหลินเจียอินจึงออกมาทักทายทุกคนแทนเขา
ซ่งเจี้ยนจวิน หลิวเฟิ่นโต้ว และผู้นำคนอื่นไม่เคยเจอหลินเจียอินมาก่อน นายกเทศมนตรีจางจึงแนะนำไปว่า “นี่คือผู้ประกอบการหญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองของเรา เธอคือหลินเจียอิน ประธานเจียงเจียกรุ๊ปและเป็นภรรยาของเจียงเสี่ยวไป๋”
“สวัสดีประธานหลิน ! ”
“สวัสดีประธานหลิน ! ”
“……”
นอกจากนายกเทศมนตรีจางและรองนายกเทศมนตรีถัง ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้เกี่ยวกับการจัดตั้งเจียงเจียกรุ๊ป ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างสับสนหลังจากได้ยินการแนะนำของนายกเทศมนตรีจาง
แต่เป็นเรื่องจริงที่เธอคือภรรยาของเจียงเสี่ยวไป๋ จึงไม่สำคัญว่าเธอจะเป็นประธานหลินหรือไม่ เพราะว่าอย่างไรพวกเขาก็เห็นแก่เจียงเสี่ยวไป๋อยู่ดี
มีผู้นำและเจ้าหน้าที่จำนวนมากมา ดังนั้นหลินเจียอินจึงพาทุกคนตรงไปที่สวนหลังบ้านทันที
ใต้ต้นหนานมู่ต้นใหญ่ มีการจัดเตรียมโต๊ะแปดเซียนไว้สี่ตัวนานแล้ว บนโต๊ะมีเมล็ดแตงโม 5 รส ถั่วลิสงปรุงรส เค้กที่รัก และนมถั่วเหลืองวางไว้
ผู้นำต่างประหลาดใจเมื่อเห็นต้นหนานมู่และสวนหลังบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รวมถึงสวนหย่อมหลังบ้านที่มีน้ำตกจำลองสวยงาม
เห็นหน้าบ้านว่าน่าประหลาดใจแล้ว พอมาเห็นหลังบ้านที่มีหน้าผาก็ยิ่งประหลาดใจมากไปอีก
“ใต้หน้าผามีถ้ำด้วยเหรอ ? ”
“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่สังเกตเห็นว่ามีหลังคายื่นออกมาจากด้านใน ! ”
“น่าสนใจ ! ”
“นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าชีวิตของคนรวย ? ดีกว่าชีวิตของพวกเราที่เป็นข้าราชการมาก”
“……”
หลินเจียอินได้ยินการสนทนาของผู้นำจึงกล่าวว่า “ท่านผู้นำทุกคน พวกคุณสามารถพักผ่อนที่นี่ได้นะคะ เรามีห้องสำรองหลายห้อง ว่าง ๆ ก็เดินดูรอบ ๆ ได้ หากคุณต้องการไปทางด้านหลังก็เดินออกไปทางประตูหลังนี้ได้เลยค่ะ”
รองนายกเทศมนตรีถังและคนอื่นมีความสุขมาก แต่ละคนหยิบนมถั่วเหลืองหนึ่งขวดและเริ่มเดินชมสวนหลังบ้าน