ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 47 :ความสุขของการได้ส่งไม้ต่อ
ตอนที่ 47 :ความสุขของการได้ส่งไม้ต่อ
เช้าวันรุ่งขึ้น เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินเสียงของช่างไม้ถานขณะที่เขาผ่านบ้านของช่างไม้ถาน
“เสี่ยวไป๋ ฉันแกะสลักอักษรทุกอย่างตามที่นายขอแล้ว”
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ได้ยิน เขาก็มีความสุขมาก
เขาไม่คิดว่าช่างไม้ถานจะทำมันได้เร็วขนาดนี้
เขาไม่รู้ว่าหลังจากที่ถานเสี่ยวฟางกลับมาบ้านเมื่อคืนนี้และเล่าให้ช่างไม้ถานฟังเกี่ยวกับกิจการของเจียงเสี่ยวไป๋ในเมือง ช่างไม้ถานจึงรีบทำงานให้เขาในชั่วข้ามคืน
เจียงเสี่ยวไป๋ส่งหลินเจียอินไปที่อำเภอชิงซานก่อน และให้เธอพาชานชานขึ้นรถโดยสารไปในเมือง ส่วนตัวเขากลับไปที่เจียงวานเพื่อขนแผ่นป้ายที่ช่างไม้ถานทำเข้ามาในเมือง
ป้ายของ “ร้านน้ำชาเหล่าหวัง” ถูกแทนที่ด้วย “ร้านอร่อยสามมื้อ”
หวังผิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผัดมันฝรั่งและเมนูตุ๋นฟักเขียวที่เราขายถือว่าเป็นของว่าง แต่นายทำป้ายชื่อร้านว่า ร้านอร่อยสามมื้อแบบนี้ อย่าบอกนะว่านายคิดจะเปิดร้านอาหารด้วย ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว เขาไม่ได้วางแผนที่จะเปิดร้านอาหารในขณะนี้
แต่เมนูที่เอร็ดอร่อยในใจของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ 3 เมนูที่เขากำลังขายอยู่เท่านั้น เขามั่นใจว่า เขาสามารถผลิตอาหารรสเลิศได้หลายสิบหรือหลายร้อยเมนูเพื่อให้ผู้คนสามารถซื้อและรับประทานได้ทั้งสามมื้อต่อวัน
เพียงแต่ว่ามันยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง
เขายิ้มและพูดว่า “เดี๋ยวในอนาคตนายก็จะรู้เอง”
จากนั้น เขาตั้งป้ายไม้สองป้ายที่ช่างไม้ถานทำขึ้นไว้ทั้งสองด้านของประตู ป้ายหนึ่งมีข้อความว่า ‘ตำรับชาววัง อร่อยล้ำที่สุดในใต้หล้า’
ส่วนอีกป้ายเขียนว่า: ตกทอดจากบรรพบุรุษ พร้อมคุณภาพชั้นยอด
มันไม่ใช่ป้ายกลอนคู่
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ใช่คนเจ้าบทเจ้ากลอนขนาดนั้น แต่เขาเพิ่งเห็นว่าการตกแต่งร้านน้ำชานั้นค่อนข้างเรียบง่ายเกินไป แขวนป้ายไม้สักสองป้ายเพื่อสร้างบรรยากาศก็ไม่เลว
เหตุผลที่เขาใช้คำเช่น “ชาววัง” และ “บรรพบุรุษ” นั้น เพราะเขาเข้าใจความปรารถนาของคนทั่วไปดี สามัญชนธรรมดาอยู่ห่างไกลและเข้าไม่ถึงความเป็นพระราชวัง และโดยธรรมชาติแล้ว ในใจของพวกเขามีความเกรงขามและเคารพบูชาพระราชวังอยู่แล้ว
นี่เป็นการแสดงว่าสิ่งที่เขาทำนั้นสูงส่ง
สนองความฟุ้งเฟ้อในใจของคนทั่วไป
สำหรับคำว่า “อร่อยล้ำที่สุดในใต้หล้า” และ “คุณภาพชั้นยอด” ล้วนมีความหมายเดียวกันง่าย ๆ เลยคือคำว่า: อร่อย !
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 คนธรรมดาไม่เคยมีประสบการณ์กับโฆษณาทุกประเภท และพวกเขาก็มีจิตใจที่เรียบง่าย ฉะนั้นโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาจะเชื่อในสิ่งที่บอกกล่าว
เจียงเสี่ยวไป๋มั่นใจเรื่องนี้ดี
“ซอสสูตรลับของนายเป็นตำรับชาววังจริงหรือ ? ”
นั่นไง
เมื่อหวังผิงเห็นข้อความบนป้ายไม้ก็ถามอย่างตื่นเต้น
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงอร่อย ที่แท้ก็เป็นสูตรลับจากตำรับชาววังนี่เอง
“เฮอะ ๆ ……”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ เขาไม่สนใจหวังผิง แต่ขี่รถจักรยานไปที่ร้านขายของชำเพื่อซื้อกระดาษสีแดงหลายสิบแผ่น พู่กัน หมึกและกาวแป้งเปียกกลับมา
มันคือกระดาษสีแดงประเภทเดียวกันกับที่นำมาเขียนคำอวยพรในโอกาสต่าง ๆ เช่น คำอวยพรวันตรุษจีนอะไรทำนองนั้น
เจียงเสี่ยวไป๋เริ่มเอาพู่กันจุ่มหมึกและเขียนข้อความบนกระดาษสีแดงแผ่นหนึ่งว่า: ผัดมันฝรั่งไซซี ฟักเขียวน้ำแดง และ ‘ตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้น
จากนั้นเขาเขียนบนกระดาษสีแดงอีกแผ่นว่า: ฉลองเปิดตัวเมนูใหม่ ลดราคาครั้งใหญ่ ซื้อ 3 ชามในราคา 1 หยวน
ยุคนี้ยังไม่มีเอเจนซี่โฆษณา ดังนั้นเขาจึงต้องเขียนแผ่นป้ายโฆษณาเอง
ช่างไม้ถานยังทำป้ายไม้ 2 ป้ายพร้อมขายึดซึ่งมีรูปแบบคล้ายกับป้ายโฆษณากล่องไฟ LED แนวตั้งในยุคต่อมา
กระดาษสีแดงที่เขียนไว้ถูกแปะลงบนกระดานไม้ แล้วนำไปติดริมถนนหน้าร้าน เป็นอันเสร็จ
ทันทีที่ป้ายโฆษณาทั้ง 2 ปรากฏขึ้น ก็สร้างเสียงฮือฮาและความประหลาดใจให้แก่ผู้สัญจรผ่านไปมา จนพวกเขาอดไม่ได้ที่จะหยุดดู
ต้องบอกว่าในยุคที่โฆษณาน้อย การโปรโมทเป็นเรื่องง่ายจริง ๆ
โดยไม่ต้องออกแรงมาก มีลูกค้าหลายสิบรายที่ถูกดึงดูดมาตรงหน้าแผงลอย อีกทั้งยังมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และรีบไปทำงานในครัวหลังร้านต่อ
เฝิงเยี่ยนหงรอมานานแล้ว ตอนนี้ฟักเขียวหั่นชิ้นและฟักเขียวหั่นแผ่นบางได้ถูกเตรียมไว้ไม่น้อย
เจียงเสี่ยวไป๋ทำไปด้วย สอนเธอไปด้วยอย่างสบาย ๆ
เฝิงเยี่ยนหงเองก็ทำอาหารเก่งและเรียนรู้ได้ไม่ยาก พอถึงเที่ยงวัน เธอเชี่ยวชาญทักษะโดยพื้นฐานแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมาก ในอนาคตเขาสามารถส่งไม้ต่อให้เฝิงเยี่ยนหงได้แล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋ขอให้เฝิงเยี่ยนหงทำงานในครัวด้วยตนเอง และเขาก็วิ่งออกไปขายอาหารกับหลินเจียอิน
เขายังคงชอบทำงานกับภรรยาของเขา
เพราะมันทำให้เขามีความสุขมาก !
สองสามวันต่อมา พวกเขาเริ่มแบ่งงานกันลงตัวแล้ว ตั้งแต่เช้าจรดบ่าย เจียงเสี่ยวไป๋ หลินเจียอิน หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหง พร้อมด้วยเจี่ยงชุ่ยหยูและถานเสี่ยวฟางจะช่วยกัน แต่หลังจากช่วง 5 โมงเย็นไปจะเหลือเพียงหวังผิง เฝิงเยี่ยนหงและถานเสี่ยวฟางเท่านั้น
ผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ที่น่าชื่นชม
ทุกเช้า เจียงเสี่ยวไป๋จะไปฝากเงินกับหลินเจียอินที่ธนาคาร นับตั้งแต่วันที่ 2 ที่เขาฝากเพิ่มไปด้วยยอด 1,168.6 หยวน ดูเหมือนว่าเขาจะฝากเงินก้อนใหญ่ในลักษณะนี้ในทุก ๆ เช้าของวัน
อย่างไรก็ตาม ยอดเงินที่ฝากเข้าในแต่ละวันแตกต่างกันไม่มากนัก บวกลบกันแค่ไม่เกิน 10-20 หยวน
ในวันนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ไปหาเซี่ยงเฉียนจิ้นที่โรงพิมพ์สำนักข่าวรายวันเมืองชิงโจวอีกครั้ง
“น้องชาย ฉันจะไปหานายพอดี ไม่คิดเลยว่านายจะชิงมาหาฉันก่อนแล้ว” เมื่อเซี่ยงเฉียนจิ้นเห็น เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวทักทายอย่างอารมณ์ดี
“พี่เซี่ยง สบายดีนะครับ”
ไม่มีใครอยู่ในสำนักงาน ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงทำตัวตามสบายและทักทายด้วยรอยยิ้ม
เซี่ยงเฉียนจิ้นกล่าวว่า “ตั้งแต่นายเริ่มใช้ชามแบบใช้แล้วทิ้ง มีเถ้าแก่ห้าถึงหกคนมาติดต่อฉันเพื่อซื้อชามแบบใช้แล้วทิ้งเหมือนกัน”
“ดีจริง ๆ ” เจียงเสี่ยวไป๋เห็นด้วย
“ยิ่งไปกว่านั้น แก้วกระดาษแบบใช้แล้วทิ้งที่นายพูดมาก็มีคนติดใจเช่นกัน ฉันเอาไปให้คนในสำนักงานศาลาว่าการประจำเมืองลองใช้กันบางส่วน คิดไม่ถึงเลยว่าผลลัพธ์จะออกมาดีขนาดนี้ ตอนนี้มีหน่วยงานเป็นสิบมาขอให้ฉันทำให้” กล่าวอย่างตื่นเต้น
เขารู้สึกขอบคุณเจียงเสี่ยวไป๋อย่างจริงใจ ในเวลาเพียงไม่กี่วัน โรงพิมพ์สำนักข่าวรายวันเมืองชิงโจวก็ครึกครื้น มีพ่อค้าแม่ค้าสั่งซื้ออย่างต่อเนื่องและไม่ว่าจะเป็นชามที่ใช้แล้วทิ้งหรือแก้วกระดาษที่ใช้แล้วทิ้งล้วนสร้างผลกำไรให้ทางโรงพิมพ์ได้มากถึงใบละ 7 หลี
เขาเชื่อว่าใช้เวลาไม่นาน โรงพิมพ์สำนักข่าวรายวันเมืองชิงโจวจะกลายเป็นหน่วยงานที่มั่งคั่งมาก
เจียงเสี่ยวไป๋แสดงความยินดีกับเซี่ยงเฉียนจิ้นและพูดว่า “พี่เซี่ยง ไม่ได้มาแค่แจ้งข่าวดีกับผมใช่ไหม ? ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “นายเป็นคนฉลาดมาก นายรู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่แค่ข่าวดี แต่ยังมีเรื่องอื่น”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “มีอะไรก็บอกผมมาตรง ๆ เถอะ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นกล่าวว่า “ฉันรายงานเรื่องชามกระดาษและแก้วกระดาษแบบใช้แล้วทิ้งให้ประธานฟู่ฟัง ซึ่งฉันได้พูดถึงนายไปด้วย น้องชาย หลังจากที่ประธานฟู่รู้เรื่องนาย เขายังให้คนไปซื้อผัดมันฝรั่งของนายด้วย ตอนนี้เขาชมผัดมันฝรั่งที่นายทำไม่ขาดปาก แถมยังบอกว่าอยากเจอนายสักครั้งด้วย”
“ประธานฟู่ต้องการพบผมอย่างนั้นหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ผงะไปครู่หนึ่ง แต่เขารู้ว่าประธานฟู่คนนี้จะได้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเวลาต่อมา
แม้ว่าเขาจะเคยไปมาหาสู่ฟู่เต๋อเจิ้งในชาติที่แล้วจริง แต่นั่นคือตอนที่เขามีทรัพย์สินมูลค่าหลายหมื่นล้านแล้ว
ไม่คิดเลยว่าหลังจากเกิดใหม่ เขาก็ตกอยู่ในสายตาของฟู่เต๋อเจิ้งอย่างรวดเร็ว
“ตกลง พี่เซี่ยงนัดเวลามาเลย ผมจะได้ไปเยี่ยนเยียนประธานฟู่”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าตกลงอย่างสงบ
เหตุผลที่เขาเลือกโรงพิมพ์สำนักข่าวรายวันเมืองชิงโจวสำหรับทำชามแบบใช้แล้วทิ้งก็เพราะว่าอยากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักข่าวรายวันเมืองชิงโจว ตอนนี้ประธานต้องการพบเขา แน่นอนว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ
เซี่ยงเฉียนจิ้นกล่าวว่า “ในอีกสองวันแล้วกัน เมื่อวานประธานฟู่ไปร่วมประชุมในตัวมณฑล เขากลับมาแล้ว ฉันจะแจ้งให้นายรู้”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า
หลังจากที่ทั้งสองพูดคุยกันสองสามคำ เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เซี่ยง ต่อไปนี้เวลาพี่เจอประธานฟู่ พี่เรียกเขาว่าท่านประธานก็พอแล้ว ไม่ต้องเรียกประธานฟู่แล้ว”
เซี่ยงเฉียนจิ้นผงะไปครู่หนึ่งด้วยความงุนงง แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เข้าใจ
คำว่า “ฟู่” ในที่นี้แปลว่า รองประธานไม่ใช่หรือไง ?
แม้ว่าแซ่ของท่านประธานจะเป็น “ฟู่” แต่เขาคงไม่ชอบให้เรียกคำที่สื่อว่าเขาเหมือนรองประธานอย่างแน่นอน
ฉะนั้นการเรียกเขาแค่คำว่า ‘ประธาน’ นั้นสอดคล้องกับตำแหน่งของเขาพอดี ทั้งยังไม่มีการสื่อความหมายอื่นให้ไม่ชอบใจอีกด้วย
นี่คือรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ
“ฉันเข้าใจแล้ว” เซี่ยงเฉียนจิ้นยิ้มและพูดว่า “น้องชาย น่าเสียดายที่ไม่เล่นการเมือง นายให้ความสำคัญกับรายละเอียดมากกว่าฉันเสียอีก”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม
เรื่องการเมือง เขาไม่สนใจมันจริง ๆ
ในชีวิตนี้ เขาแค่ต้องการหาเงินให้มาก ๆ เพื่อใช้ชีวิตกับภรรยาและลูกสาวอย่างมีความสุขเท่านั้น
เซี่ยงเฉียนจิ้นเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้สนใจจะคุยเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดต่อ แต่เปลี่ยนเป็นถามกลับแทน “น้องชาย มีอะไรถึงมาหาฉันล่ะ ? ”