ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 470 : มีการก่อสร้างในเจียงวาน
ตอนที่ 470 : มีการก่อสร้างในเจียงวาน
สามารถลงทะเบียนได้แล้วงั้นเหรอ งั้นรออะไรอยู่ล่ะ !
ซ่งเจี้ยนจวินเป็นคนแรกที่จะลงทะเบียน เขาพูดเสียงดังว่า “เถ้าแก่เจียง ขอโควตาให้ฉันห้าแผง”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและจดไว้
หม่าว่านหลี่ไม่น้อยหน้าเช่นกัน “ฉันก็อยากได้ห้าแผงเหมือนกัน ! ”
เฟ่ยตู้จือ “ฉันต้องการสามแผง ! ”
หลิวเฟิ่นโต้ว “ฉันต้องการแปดแผง ! ”
“……”
ทันใดนั้น ไม่เพียงแต่ผู้อำนวยการสำนักงานต่าง ๆ เท่านั้นที่แย่งกันจองโควตาในการขายของให้กับญาติของพวกเขา เพราะแต่แม้แต่พนักงานบางคนของแต่ละสำนักงานก็ขอจองโควต้านี้ด้วย
พวกเขาไม่ได้ต้องการมาก โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาต้องการเพียงหนึ่งหรือสองโควต้าเท่านั้น
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ลงทะเบียนให้พวกเขาทีละคน
หลังจากที่ทุกคนลงทะเบียนแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็นับจำนวนและพบว่าแค่คนที่อยู่ที่นี่ก็มีการจองไว้มากถึง 87 โควต้า
ดูเหมือนว่าหม่าล่าทังที่ทำในครั้งนี้คุ้มค่ากับความพยายาม และไม่ได้เกินจริงที่จะบอกว่าเป็นงานเลี้ยงเพื่อการลงทุน
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ขอบคุณท่านผู้นำที่ไว้วางใจผม การลงทะเบียนนี้ถือเป็นการจอง ต่อไปผมจะจัดทำแผนการดำเนินงานโดยละเอียด ผมจะทำเต็นท์ รถเข็น ป้าย ฯลฯ และขนาดของแผงขายของก็จะแบ่งออก 3 ประเภท คือ ใหญ่ กลางและเล็ก โดยจะมีทั้งรายการธุรกิจเริ่มต้นและที่ตั้งร้านค้า”
“เมื่อเสร็จแล้ว การลงนามอย่างเป็นทางการก็จะเริ่มขึ้น”
เขาเหลือบมองทุกคนแล้วพูดต่อ “ในการทำธุรกิจจะต้องมีค่าธรรมเนียมสำหรับจ้างผู้เชี่ยวชาญมาสอน หลังจากที่ทุกคนกลับไป ผมอยากให้พวกคุณไปอธิบายให้ญาติและเพื่อนของพวกคุณเข้าใจให้ชัดเจน แล้วขอให้พวกเขาเตรียมเงินสำหรับส่วนนี้ไว้ด้วย ! ”
ซ่งเจี้ยนจวินยิ้มอย่างมีเลศนัยและพูดว่า “เถ้าแก่เจียง รวม ๆ แล้วร้านหนึ่งต้องใช้เงินประมาณเท่าไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ตอนนี้มันยากที่จะพูด ผมเองก็ยังไม่ได้คำนวณจริงจัง แต่คิดว่าแผงขายขนาดเล็กที่สุดก็น่าจะมีราคาประมาณสามถึงห้าร้อยหยวนครับ”
ในยุคนี้ เงินสามถึงห้าร้อยหยวนไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ บางคนต้องทำงานหนึ่งถึงสองปีกว่าจะเก็บสะสมเงินก้อนนี้ได้
แต่เมื่อเทียบกับการเปิดร้านที่จะต้องใช้เงินหลายพันหยวนขึ้นไป ก็ถือว่าน้อยกว่ามาก
“ได้เลย ! ”
“ไม่มีปัญหา ! ”
“เถ้าแก่เจียง ถ้าคำนวณดีแล้วก็อย่าลืมบอกให้พวกเรารู้นะ”
“……”
ซ่งเจี้ยนจวิน หลิวเฟิ่นโต้ว และคนอื่นต่างบอกว่าไม่มีปัญหาและไม่มีใครคิดจะต่อรอง
หลังจากที่ทุกคนพูดคุยกันสักพัก พวกเขาก็แยกย้ายกันไป
เมื่อมองดูความยุ่งเหยิงบนโต๊ะในสวนหลังบ้าน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ถอนหายใจและเริ่มเก็บกวาดทำความสะอาด
เจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋ก็เข้ามาช่วยอีกแรง เจียงไห่หยางกล่าวว่า “มีคนมาเที่ยวเล่นที่บ้านของเราก็สนุกดีนะ ไม่เงียบเหงาดี เพียงแต่ตอนเก็บกวาดค่อนข้างงานเยอะไปหน่อย”
หวังซิ่วจวี๋กล่าวว่า “จะทำยังไงได้ล่ะ พวกเขาเป็นผู้นำ มาเพื่อทานอาหารเย็นที่บ้านของเราเท่านั้น เพราะพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้ารอง ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เราคงไม่สามารถเชิญพวกเขามาได้”
เจียงไห่หยางยิ้มและพยักหน้า แม้เหนื่อยแต่ก็สนุก ยิ่งมีผู้นำมาที่บ้านเยอะเท่าไหร่ เขาก็ไม่รู้สึกเหงามากเท่านั้น
ซึ่งมันทำให้คนทั้งหมู่บ้านต่างพากันอิจฉาพวกเขา
ท่านผู้นำไม่คิดจะมาทานอาหารที่บ้านของพวกเขาบ้างเหรอ ?
แต่นายกเทศมนตรีจางก็ให้เหตุผลไปว่า พวกเขามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือชาวเจียงวาน จึงไม่อยากจะมาเพิ่มภาระให้กับใคร
“เฮ้อ……พรุ่งนี้ที่นี่ก็จะกลับมาเงียบเหงาเหมือนเดิมแล้ว ! ”
ในขณะที่เขากำลังมีความสุข เจียงไห่หยางก็คิดได้ว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ผู้นำก็จะไม่มาที่นี่อีก เพราะการเปิดโครงการสิ้นสุดวันนี้แล้ว ซึ่งมันก็ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้ง
หวังซิ่วจวี๋กล่าวว่า “อยากให้คนมาที่บ้านทุกวันไปทำไม ? มันอาจจะดีสำหรับคุณที่มีหน้าที่แค่กินข้าวและช่วยเก็บจาน คุณไม่แม้แต่จะมองดูเจ้ารองด้วยซ้ำ ลูกไม่ได้ไปทำงานมาสามแล้ว วัน ๆ มัวทำแต่อาหารให้พวกเขากิน พวกเขากลับไปแล้วยังต้องคอยเก็บโต๊ะล้างจานอีก ไม่คิดว่าลูกจะเหนื่อยบ้างเหรอ ? ”
เจียงไห่หยางมองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความเห็นใจและพูดว่า “ใช่แล้ว เจ้ารองต้องทำงานหนักเพื่อครอบครัวมาตลอด ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำนี้ เขาคิดมาโดยตลอดว่าพ่อแม่ของเขาคงจะไม่ใส่ใจว่าเขาจะเหนื่อยไหม แต่จู่ ๆ เขาก็ได้ยินความกังวลใจของพ่อเขา
“ผม… ผมสบายดี ! ”
หลังจากกลับมามีสติอีกครั้ง เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดด้วยความตื่นเต้น
เจียงไห่หยางยิ้ม เขาไม่ได้พูดอะไรอีก และช่วยทำความสะอาดต่อไป
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่แผ่นหลังของเจียงไห่หยางและพบว่าหลังของพ่อเริ่มที่จะค่อมตัว มันทำให้เขารู้สึกว่าพ่อของเขาไม่ได้เป็นเหมือนต้นสนสีเขียวที่ตั้งตรงสูงตระหง่านเหมือนเมื่อก่อน แต่ตอนนี้พ่อของเขาเป็นเหมือนต้นเบิร์ชท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว
ค่อนข้างเก่าแก่ ดูเงียบเหงา
“พ่อ ถ้าพ่อชอบความบันเทิง ในอนาคตผมจะพาพวกลุงมาเที่ยวที่บ้านบ่อย ๆ ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
เจียงไห่หยางโบกมือแล้วพูดว่า “แกไม่ได้บอกว่าจะสร้างศูนย์กิจกรรมให้กับชาวบ้านเหรอ หากที่นั่นเสร็จเมื่อไหร่ ฉันกับแม่แกจะไปขายของอยู่ที่นั่น เราจะมีเวลาอยู่บ้านได้ยังไง ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดถึงเรื่องนี้ และไม่ได้พูดถึงมันอีก
หลังจากทำความสะอาดโต๊ะ ล้างจาน เก็บกวาดห้องครัวเสร็จ ก็เกือบจะ 5 ทุ่มแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงเดินกลับไปที่ห้องของเขาและเห็นว่าหลินเจียอินหลับไปแล้ว เขาจึงไปอาบน้ำที่ห้องน้ำแขก แล้วกลับเข้าไปนอน
วันรุ่งขึ้น ชาวเจียงวานยังคงยุ่งวุ่นวาย ทุกครัวเรือนต่างช่วยกับปรับหน้าดินในไร่ของตัวเอง ซื้อท่อนเหล็ก และตัดไม้ไผ่ เพื่อมาสร้างโรงเรือนกระจกขึ้นมา ด้วยความพยายามของคนทั้งหมู่บ้าน
ปีนี้ผู้คนในเจียงวานไม่มีใครปลูกพืชในฤดูใบไม้ร่วงเหมือนปีก่อน ๆ และพื้นที่ว่างเกือบทั้งหมดก็ถูกแปลงเป็นโรงเรือนปลูกผัก
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ประสบความสำเร็จเกินคาด
นั่นก็เป็นเพราะชาวเจียงวานไว้วางใจเจียงเสี่ยวไป๋ พวกเขาจึงเลือกที่จะพัฒนาการปลูกผักในโรงเรือนโดยไม่ลังเลใจ
นอกจากจะยุ่งอยู่กับการทำโรงเรือนแล้ว ผู้คนในเจียงวานยังเริ่มสร้างถนนอีกด้วย
เริ่มต้นจากปลายถนนลูกรัง ขึ้นไปบนภูเขา โดยมีหน้ากว้าง 6 เมตร
ทุกครัวเรือนในหมูบ้านต่างก็ช่วยกัน และภายในไม่กี่วัน ก็เริ่มเห็นถนนเป็นรูปเป็นร่าง
นอกจากนี้ เจียงเสี่ยวจี๋ เจียงเสี่ยวโจว ช่างไม้ถาน หูฉางจวิน และคนอื่นก็เริ่มสร้างบ้านใหม่ของพวกเขาแล้ว บางคนรื้อบ้านเก่าแล้วสร้างใหม่บนพื้นที่เดิม ในขณะที่บางคนยังคงรักษาบ้านเก่าและไปสร้างบ้านใหม่อีกที่หนึ่ง
การสร้างโรงเรือน สร้างถนนและสร้างบ้านใหม่ เหตุการณ์ทั้งสามนี้ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ซึ่งผู้คนในหมู่บ้านเจียงวานเพียงแห่งเดียวก็อาจจะไม่เพียงพอ
แต่ใครล่ะที่ไม่มีญาติพี่น้องในหมู่บ้านอื่น ?
ในอดีต ตอนที่เกษตรกรยุ่งวุ่นวายกับการทำไร่ไถนา พวกเขาไม่เพียงแต่ขอให้คนใกล้ตัวช่วยเท่านั้น แต่ยังขอความช่วยเหลือจากญาติที่อยู่อีกหมู่บ้านด้วย
โดยเฉพาะเรื่องสำคัญ เช่น การสร้างบ้านใหม่ ในยุค 1980-1990 ผู้คนมักจะขอความช่วยเหลือจากญาติพี่น้องของตน
เป็นผลให้มีผู้คนจำนวนมากจากหมู่บ้านอื่นมาที่เจียงวาน
“ทำไมถึงมีการสร้างโรงเก็บของในทุ่งนา ? พวกเขากำลังทำอะไรอยู่ ? ”
ญาติจากหมู่บ้านอื่นที่เพิ่งมาถึงเจียงวานต่างก็สงสัยเมื่อพวกเขาเห็นโรงเรือนในที่นาของชาวบ้าน
เมื่อพวกเขารู้ว่าจะมีการปลูกผักในเรือนกระจก บางคนก็อิจฉา แต่หลายคนก็ไม่เชื่อและบางคนพยายามโน้มน้าวชาวบ้านอย่างจริงจัง “ทุ่งนาเป็นที่ปลูกข้าว ถ้าปลูกในฤดูใบไม้ผลิก็จะเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง หากการสร้างเรือนกระจกแล้วจะสามารถปลูกผักนอกฤดูได้นั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง มันขัดกับธรรมชาติหรือเปล่า ? ”
ผู้คนจำนวนมากต่างประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงในเจียงวาน
“พวกเขาต่างก็บอกว่าผู้คนในเจียงวานรวยขึ้นกันทุกบ้าน ฉันไม่ได้คาดคิดว่าจะร่ำรวยขึ้นขนาดนี้”
“ใช่ หมู่บ้านของเราไม่มีทีวีด้วยซ้ำ แต่ทุกครัวเรือนในเจียงวานมีทีวีดูแล้ว”
“โอ้ ทีวียังน้อยไป ฉันไปถามรอบ ๆ แล้ว พวกเขาบอกว่าในปีนี้ ที่เจียงวานมีมากกว่า 20 ครอบครัวที่สร้างบ้านใหม่”
“โอ้ บ้านหลังนั้นสวยมาก”
“มันเยี่ยมมาก หลังจากดูคนอื่นสร้างบ้านมาหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นแบบจำลองบ้านก่อนที่จะสร้าง”
“ฉันได้ยินมาว่าทั้งหมดนี้มาจากฝีมือของคนที่ชื่อเจียงเสี่ยวไป๋”
“……”
ท่ามกลางการพูดคุยกันอย่างคึกคัก เจียงวานในขณะนี้ไม่ต่างจากสถานที่ก่อสร้างขนาดใหญ่