ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 471 : สิ่งดีมีมาเรื่อย ๆ
ตอนที่ 471 : สิ่งดีมีมาเรื่อย ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยุ่งพอกันในช่วงนี้
ประการแรก ร้านหัวปลาหม้อไฟได้เปิดกิจการด้วยความร่วมมือของอาจารย์หลิว
กิจการนี้ดำเนินไปโดยมีเพื่อเก่าอย่างนายกเทศมนตรีจาง ฟู่เต๋อเจิง เฉียนฟางอี้ จูกั๋วฟู่ หวังเต๋อคุน โจวฉางซง เหรินฉางเซี่ย เหล่ยหลี่ ชิวเสี่ยวหยุนมาเป็นผู้สนับสนุน
รองนายกเทศมนตรีถัง หลันหง, ซ่งเจี้ยนจวิ๋น ฉู่หยุนฮุย หลิวเฟิ่นโต้ว เฟ่ยตู้จือ มู่ชิงหยาง หม่าว่านหลี่ และเพื่อนใหม่คนอื่นก็ได้รับเชิญให้มาแสดงความยินดีกับเขาด้วย
ธุรกิจของร้านหัวปลาหม้อไฟกำลังเฟื่องฟูอย่างมาก
จากนั้น ก็มาถึงการเปิดร้านเรือธงร้านโยวผิ่นบนถนนชิงโจว ร้านค้าที่มีพื้นที่มากกว่า 50 ตารางเมตร มีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่เป็นร้านช้อปปิ้งที่คัดสรรเองแห่งแรกในเมืองชิงโจว ผนังทั้งร้านเป็นกระจกทั้งหมด สามารถมองเห็นได้แม้จะอยู่บนถนน ภายในร้านมีสินค้าเรียงรายสวยงามตระการตา มีตู้ชั้นวางเรียงรายเป็นระเบียบ มีทางเดินระหว่างชั้นวาง และมีสินค้าวางอยู่เต็มชั้น โดยมีราคาระบุไว้บนสินค้าอย่างชัดเจน
ไม่มีพนักงานขาย มีแต่แคชเชียร์และพนักงานนับ มีตะกร้าที่ทางเข้าร้าน ลูกค้าสามารถเลือกสินค้าได้เอง แล้วไปจ่ายเงินที่หน้าเคาน์เตอร์ชำระเงินใกล้กับทางออก
ร้านค้าที่สดใสและประสบการณ์การช้อปปิ้งที่แปลกใหม่นี้เป็นที่ชื่นชอบในสายตาของนายกเทศมนตรีจางและรองนายกเทศมนตรีถังที่มาเยี่ยมชม ส่วนลูกค้าที่มาช้อปปิ้งก็รู้สึกมีอิสระในการเลือกดูสินค้าเช่นกัน
ในเวลาเดียวกันก็มีการเปิดร้านแฟรนไชส์ชุดแรกของร้านโยวผิ่นด้วย
แม้ว่าร้านแฟรนไชส์เหล่านั้นจะไม่ใหญ่เท่ากับร้านเรือธง แต่โดยทั่วไปก็มีพื้นที่ประมาณ 20-30 ตารางเมตร แต่รูปแบบการตกแต่งและวิธีการดำเนินธุรกิจก็สอดคล้องกับร้านหลัก ทำให้ร้านเล็ก ๆ เหล่านี้เป็นที่สนใจ ขึ้นมาทันที
จำนวนสาขาของร้านโยวผิ่นจู่ ๆ ก็เพิ่มขึ้นถึง 13 แห่ง
เจียงเสี่ยวไป๋ถือโอกาสนี้เปิดตัว “บัตรโยวฮุ่ย” ลูกค้าที่เติมเงินตั้งแต่ 10 หยวนถึง 100 หยวนสามารถรับส่วนลดต่าง ๆ ได้
บัตรโยวฮุ่ยเป็นบัตรที่สามารถใช้ในร้านโยวผิ่นได้ทุกแห่ง
เมื่อรวมกับโฆษณาในหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์แล้ว เมล็ดแตงโม 5 รสชาติ ถั่วลิสงปรุงรส เค้กที่รัก ล่าเถียว เต้าหู้แห้ง และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในร้านโยวผิ่นก็ได้กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเปิดงาน เด็กคนหนึ่งหยิบการ์ดที่มีใบหน้าของเล่าปี่ จูกัดเหลียงและห้านายพพลทหารเสือมาแลกเป็นรางวัลใหญ่เงินสด 200 หยวนที่ร้านเรือธงของร้านโยวผิ่น กิจกรรมกินล่าเถียวชิงรางวัลใหญ่ได้กลายเป็นที่ชื่นชอบของเด็ก ๆ ไปแล้ว
“แม่ครับ ผมอยากกินล่าเถียว ! ”
“พ่อ ซื้อล่าเถียวให้ผมเพิ่มอีกสองห่อสิ ผมสะสมแม่ทัพได้สี่คนแล้ว แค่ต้องการกวนอูเพียงใบเดียวก็จะรวบรวมห้านายพพลทหารเสือได้ครบแล้ว”
“แม่ครับ ผมไม่กินแอปเปิ้ล ซื้อล่าเถียวมาให้ผมด้วย ! ”
“ล่าเถียวเป็นของว่างที่อร่อยที่สุด ! ”
“ถ้าให้กินของว่าง ฉันกินแค่ล่าเถียวเท่านั้น ! ”
“……”
ในบรรดากลุ่มเด็ก ๆ ‘เทรนด์ล่าเถียว’ ได้แพร่กระจายและล่าเถียวก็กลายเป็นหัวข้อที่พวกเขาชอบพูดถึงมากที่สุด บางครั้งการแข่งขันระหว่างเด็ก ๆ ก็จะมีกิจกรรมใหม่ปรากฏขึ้น เช่น ‘แข่งขันเดิมพันล่าเถียว ! ’
ภายใต้กิจกรรม “กินล่าเถียวลุ้นรางวัลใหญ่” ไม่ใช่แค่เด็ก ๆ เท่านั้นที่ชอบกินล่าเถียว แม้แต่ผู้ใหญ่บางคนก็ค่อย ๆ หันมากินล่าเถียวกันมากขึ้น
โดยเฉพาะคนที่ทำงานกะกลางคืนในโรงงาน พวกเขาจะพกล่าเถียวติดตัวไปด้วย ไม่ว่าจะหิว หรือไม่มีไรทำในตอนกลางดึก ก็จะเอาล่าเถียวออกมากิน ถือเป็นสุดยอดอาหารว่างอันโอชะ
ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในชิงโจวค่อย ๆ มีทัศนคติที่เปลี่ยนไป และเริ่มติดนิสัยในการซื้อขนมจากร้านโยวผิ่น
สิ่งนี้ยังทำให้การส่งเสริมการลงทุนของร้านโยวผิ่นราบรื่นขึ้น ไม่เพียงแต่ในเมืองชิงโจวเท่านั้น แต่ยังรวมถึง เจี้ยนหยาง เป่ยเหลียง ข่ายเล่ย และที่อื่น ๆ อีกด้วย ผู้คนต่างมาสอบถามขอเข้าร่วมเปิดร้านแฟรนไซส์มากขึ้น
ในเวลาเพียงไม่กี่วัน หลี่ลี่สามารถขายร้านค้าแฟรนไชส์ได้มากกว่า 20 แห่ง
ในวันนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ได้มาซื้อสมุดบันทึก สมุดทำการบ้าน หนังสือ กระเป๋านักเรียน กล่องดินสอ ปากกา ดินสอ และยางลบ ฯลฯ จำนวนหนึ่ง เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเอาไปบริจาคให้โรงเรียนที่หมู่บ้านบนภูเขาในวันรุ่งขึ้น
เมื่อเขากลับมาที่ออฟฟิศหลังจากซื้อของเสร็จ ก่อนที่เขาจะได้นั่งพักจิบน้ำ โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของเขาก็ดังขึ้น
เฉินซินรับโทรศัพท์แทน ไม่นาน เธอก็ลดโทรศัพท์ลงอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “ผู้ช่วยเจียง สายของคุณจากเจียงเฉิงค่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋วางถ้วยชาลงแล้วเดินไปรับโทรศัพท์
เสียงหัวเราะของหลินเจียจวินดังมาจากปลายสายทันที “เสี่ยวไป๋ นายจะมาที่เจียงเฉิงเมื่อไหร่ ? ”
“พี่จวิน บอกผมมานะว่ามีธุระอะไร ถ้าไม่มีอะไร ผมก็ไม่ตอบ ! ”
“ฮ่าฮ่า ขอบอกเลยว่าร้านซีฟู๊ดตกแต่งใกล้เสร็จแล้ว อีกไม่กี่วันจะเปิดทำการแล้ว นายจะมาไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ตราบใดที่พี่จวินอยู่ที่นั้น ผมก็ไม่มีอะไรต้องห่วง เพราะตอนนี้ผมไม่ว่าง”
หลินเจียจวินหัวเราะเสียงดัง “ฉันล่ะนับถือนายจริง ๆ มีธุรกิจมากมายกำลังเปิดตัวออกมา แต่นายกลับไม่สนใจเลย ราวกับว่ามันเป็นธุรกิจของฉันคนเดียวงั้นแหละ”
บทสนทนาเปลี่ยนไป เขาพูดว่า “ร้านโยวผิ่นหลายสิบร้านที่นายขอให้ฉันช่วยตกแต่งก็เสร็จแล้ว นายต้องมาดูด้วยตัวเองนะ เรื่องนี้ฉันช่วยนายไม่ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ในเวลานั้น เขามอบหมายให้หลินเจียจวินช่วยรีโนเวทร้านที่เขาซื้อหรือเช่าในเจียงเฉิงมากกว่าหลายสิบร้าน แต่มันนานมากแล้ว ซึ่งเขาเองก็ลืมมันไปและไม่ได้ใส่ใจเลย ตอนนี้ร้านค้าต่าง ๆ รีโนเวทเสร็จแล้ว คงถึงเวลาที่เขาต้องไปตรวจสอบความเรียบร้อยแล้วจริง ๆ
“ถ้าอย่างนั้นผมขอเวลาสักสองสามวัน แล้วผมจะรีบไปหลังจากที่จัดการธุระต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างช่วยไม่ได้
หลินเจียจวินพูดว่า “เอาล่ะ ถ้านายจะมาก็โทรหาฉันก่อนแล้วกัน ตอนนี้ฉันกำลังหาทำเลร้าน เพื่อจะเปิดร้านหม้อไฟในปีหน้า”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ “ถ้าพี่มั่นใจ ผมก็ไม่มีปัญหา ร้านหม้อไฟและร้านกุ้งอบจะเปิดตัวที่เจียงเฉิงในปีหน้า”
หลินเจียจวินมีความสุขมาก จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันอีกสองสามคำ ก่อนที่จะวางสายไป
จากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปที่ชิงเจียงเกสท์เฮาส์ เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของการออกของลู่จือเจี้ยนและธุระวันนี้ก็ผ่านพ้นไป
วันรุ่งขึ้น ก็ถึงเวลาไปหมู่บ้านบนภูเขา
หลินเจียอินต้องอยู่บ้านเพราะท้องแก่มากแล้ว ส่วนเจียงชานก็ติดตามเขาเข้าไปในเมือง
“ป่าป๊า เราจะไปหาป้าหลี่อีกใช่ไหมคะ ? ”
ในรถ เจียงชานได้ถามขึ้นมา
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ไปหาป้าหลี่และลูก ๆ ของเธอในหมู่บ้านบนภูเขากันเถอะ”
“แล้วป่าป๊าได้เอาของเล่นมาให้เด็ก ๆ ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋สะดุ้งอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งที่เขาซื้อให้เด็ก ๆ เหล่านั้นคือสมุดเรียน แต่ไม่ใช่ของเล่น
“โอ้ พ่อลืมซื้อ ไว้คราวหน้าจะซื้อของเล่นไปให้พวกเขาล่ะกัน”
เจียงชานพูดอย่างไม่เห็นแก่ตัว “ป่าป๊า เอาของเล่นของหนูที่อยู่ในรถไปให้พวกเขาเถอะค่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “ชานชาน เป็นเรื่องดีที่หนูยินดีจะมอบของเล่นให้กับเด็กคนอื่น ๆ แต่ของเล่นของหนูไม่เหมาะกับเด็กเหล่านั้น คราวหน้าพ่อจะซื้อของเล่นที่เหมาะกับพวกเขาขึ้นไปเอง”
ดวงตาของเจียงชานเบิกกว้าง “ป่าป๊า ของเล่นพวกนี้สนุกมาก หนูชอบมันมาก ทำไมมันไม่เหมาะกับพวกเขาล่ะคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ชานชาน สถานการณ์ของทุกคนแตกต่างกัน พ่อซื้อของเล่นที่ใช้ความคิดให้หนูทั้งนั้น เช่น รูบิค เก้าห่วง ลูบานล็อค ของเล่นพวกนี้หากไม่มีใครสอนพวกเขาเล่น พวกเขาก็จะไม่สามารถเข้าใจได้ ดังนั้นไม่เพียงแต่มันจะไม่สนุกเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขารู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นอีกด้วย”
หลังจากหยุดพูดไปชั่วครู่ เขาก็พูดต่อ “ชานชาน สิ่งที่หนูคิดนั้นถือเป็นสิ่งที่ดีมากแล้ว แต่บางทีของเล่นที่หนูชอบ คนอื่นอาจจะไม่ชอบเหมือนหนูก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่จะให้”
“เช่นเดียวกับรองเท้า แม้หนูจะใส่ได้พอดีกับเท้าของหนู แล้วหนูเอารองเท้าของหนูไปให้คนอื่น รองเท้าคู่นั้นก็อาจจะใหญ่เกินไปสำหรับพวกเขา หรือบางก็อาจจะใส่ไม่ได้”
เจียงชานเอียงศีรษะของเธอและคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “หนูเข้าใจแล้วค่ะป่าป๊า การจะให้สิ่งของแก่ผู้อื่น เราควรให้สิ่งที่พวกเขาต้องการและสิ่งที่เหมาะสมด้วย”