ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 479 : น่ากลัวเกินไป
ตอนที่ 479 : น่ากลัวเกินไป
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “โต๊ะผิงไฟที่ผมออกแบบสามารถขายส่งออกไปในแต่ละเมืองทั่วประเทศได้ มันแตกต่างจากผักนอกฤดูกาลตรงที่สามารถผลิตและเก็บไว้ได้นาน ไม่ต้องกลัวเน่าเสีย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสินค้าที่ค้างในคลัง”
หลัวฉางเซิงและหม่าลี่พยักหน้า ของใช้ต่าง ๆ ที่ทำจากเหล็กไม่ต้องกังวลเรื่องการหมดอายุใช้งาน
หลัวฉางเซิงกล่าวว่า “เอาล่ะ ในเมื่อคุณเต็มใจที่จะลงทุน ฉันก็ยินดี แล้วคุณต้องการที่ดินเท่าไหร่ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดแล้วพบว่าถู่เฉิงไม่ใช่เมืองใหญ่ ดังนั้นอย่าทำให้พวกเขาตกใจด้วยการขอที่ดินที่มากเกินไป เขาจึงพูดว่า “งั้นผมขอที่ดินอุตสาหกรรม 200 หมู่ก็พอครับ ! ”
หลัวฉางเซิงและหม่าลี่มองหน้ากัน หม่าลี่พยักหน้า จากนั้นหลัวฉางเซิงก็กล่าวว่า “เอาล่ะ พรุ่งนี้คุณไปที่หน่วยงานราชการประจำอำเภอ รองนายอำเภอหม่าจะไปเลือกที่ดินกับคุณด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋ดีใจมาก “นายอำเภอหลัว ขณะนี้มีนโยบายที่ดินฟรีสำหรับทำอุตสาหกรรมก็จริง แต่ผมรู้ว่าในถู่เฉิงไม่มีช่องทางรายได้ที่มากนัก เรามาทำสิ่งนี้กันดีกว่า หากมีที่ดินเชิงพาณิชย์หรือที่ดินเพื่อการพาณิชย์และที่อยู่อาศัยในเมือง ผมสามารถซื้อที่แปลงนั้นได้ ผมมาที่ถู่เฉิงเพื่อลงทุนอย่างจริงใจจริง ๆ ”
หลัวฉางเซิงและหม่าลี่ต่างก็มองหน้ากัน จากนั้นหม่าลี่ก็พูดว่า “เถ้าแก่เจียง คุณ……เต็มใจที่จะซื้อที่ดินในถู่เฉิงจริง ๆ ใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า
แม้ตอนนี้ที่ดินในถู่เฉิงจะไร้ค่า แต่ในอนาคตเขาจะไม่สามารถได้มันมาครอบครองง่าย ๆ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขามีเงินอยู่ในมือไม่น้อย ดังนั้นต้องรีบสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าหน้าที่ในถู่เฉิงในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ของพวกเขา
“ตกลง ตกลง ! ”
หม่าลี่รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยและพูดว่า “เถ้าแก่เจียง การที่คุณยอมซื้อที่ดินในถู่เฉิงถือเป็นการช่วยเราได้มากจริง ๆ ฉันหม่าลี่จะจำบุญคุณนี้ไว้”
เจียวเสี่ยวไป๋โบกมือปัด “ด้วยความยินดีครับรองนายอำเภอหม่า ผมยินดี ผมมาลงทุนที่ถู่เฉิงแล้ว ในอนาคตดูแลผมด้วยนะครับ”
“เรื่องแค่นี้สบายมาก ! ” หม่าลี่ถูมือด้วยความตื่นเต้น “เดี๋ยวเรามาดื่มฉลองกัน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ทำหน้าไม่ถูก หัวใจของเขากำลังเต้นแรง คำพูดของเขาที่พูดออกไปว่าฝากเนื้อฝากตัวคือพูดไปตามพิธีเท่านั้น แต่เขาไม่ได้บอกว่าเขาอยากดื่ม !
หลัวฉางเซิงยังกล่าวอีกว่า “วันนี้เราจะดื่มเหล้าฉาวเตาจื่อกัน ฉันเก็บมันไว้นานแล้ว ! ”
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินว่าต้องดื่มเหล้าฉาวเตาจื่อ เขาก็ปวดหัวขึ้นมาทันที เพราะนั่นเป็นเหล้าที่ขึ้นชื่อว่ามีดีกรีสูงเชียวนะ !
รสชาติไม่ดีเท่าเหมาไถและมีปริมาณแอลกอฮอล์สูงกว่าเหมาไถมาก
ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน ประตูห้องครัวก็เปิดออก เซี่ยงหงจวี๋ก็ออกมาพร้อมกับหม้อตุ๋นเนื้อสุนัขและถั่วเหลืองต้ม หยินซื่อยกกาน้ำออกจากเตาถ่านหินทันที เซี่ยงหงจวี๋จึงวางหม้อตุ๋นลงบนเตา
ในหม้อมีเนื้อสุนัขตุ๋นก้อนเล็ก ๆ ซึ่งดูมีสีเข้มเล็กน้อยเมื่อผสมกับพริกแดงและถั่วเหลือง น้ำซุปของมันมีน้ำมันลอยหน้า
แม้หน้าตาของมันจะดูไม่ดีนัก แต่กลิ่นหอมของเนื้อสุนัขก็อบอวลไปทั่วทั้งห้อง
“ป่าป๊า มันหอมจังเลยค่ะ ! ”
เจียงชานอดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นและเอ่ยชม
หยินซื่อยิ้มและพูดว่า “นี่คือเนื้อสุนัข เนื้อที่หอมอร่อยที่สุดในโลก ! ”
ในบางพื้นที่ เนื้อสุนัขจะถูกเรียกว่า ‘เนื้อหอม’
ดูชื่อนี้ก็บอกได้เลยว่าเนื้อสุนัขนี้มีกลิ่นหอมขนาดไหน
มีสุภาษิตพื้นบ้านกล่าวว่า “ถ้าไม่กินเนื้อสุนัข ก็จะไม่รู้รสชาติของโลก” และคำพูดที่ว่า “เมื่อได้กลิ่นหอมของเนื้อสุนัข พระถึงกับกระโดดข้ามกำแพงมากินในฤดูหนาว” .
เมื่อเจียงชานได้ยินว่าเป็นเนื้อสุนัข เธอก็ตกตะลึงทันที
สุนัขมันน่ารักจะตายไป มนุษย์เอาพวกมันมากินอย่างโหดร้ายได้อย่างไร ?
เมื่อหันไปมองเจียงเสี่ยวไป๋ เธอก็พูดว่า “ป่าป๊าคะ ไม่มีอะไรจะกินแล้วเหรอ ทำไมถึงกินเนื้อสุนัขล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงพูดได้เพียงว่า “ชานชาน มีสุนัขหลายสายพันธุ์ บางตัวเป็นสุนัขเฝ้าบ้าน บางตัวเป็นสุนัขเลี้ยง และบางตัวก็เลี้ยงมาสำหรับขายเนื้อโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับหมูที่เลี้ยงที่บ้าน”
“อ้อ ! ”
เจียงชานตอบโดยไม่ปฏิเสธเนื้อสุนัขอีกต่อไป เมื่อได้กลิ่นอันหอมหวน น้ำลายของเธอก็แทบจะไหลออกมา
หยินซื่อเห็นท่าทีของเจียงชาน จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ชานชานอย่ากินเยอะนะ ถ้าหนูกินเยอะ เลือดกำเดาจะไหลออกมา ! ”
เจียงชานไม่เชื่อ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามเจียงเสี่ยวไป๋ไปว่า “ป่าป๊า นี่เป็นเรื่องจริงเหรอคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “หนูกินได้ เว้นแต่ว่าหนูจะไม่กิน ! ”
เจียงชานยิ้มอย่างภาคภูมิใจแล้วมองไปที่หยินซื่อ “ลุงหยิน ลุงถามหนูเกี่ยวกับความสามารถในการดื่มของป่าป๊า เพราะหนูไม่บอกลุง ลุงถึงแกล้งหนูใช่ไหม ฮึ่ม ! ”
หยินซื่อหัวเราะเสียงดัง สาวน้อยคนนี้น่ารักจริงเชียว !
ขณะที่ยิ้ม เขาก็หยิบโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ขึ้นมาวางข้างเตาถ่านอย่างชำนาญ
เซี่ยงหงจวี๋นำถั่วทอด เนื้อตากแห้ง มันฝรั่งทอดหนึ่งจานและถั่วพุ่มทอดอย่างละหนึ่งจานจากในครัวมาวางไว้บนโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ นั้น
หม่าลี่ยังฉีกมะเขือยาวย่างเป็นเส้น ตำพริกย่างสองสามเม็ด ใส่เกลือ ซีอิ๊วและกระเทียม แล้วผสมลงในชาม
เขาวางพริกย่างเพิ่มลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยม จากนั้นก็ไปที่เตาเพื่อเอาชามดินเผา เติมเกลือดิบลงไป แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ชานชานบอกลุงว่าจะกินพริกย่าง เรามาแข่งกันไหม ดูว่าใครจะกินได้มากกว่ากัน ? ”
เจียงชานรีบส่ายหน้าปฏิเสธและแลบลิ้นออกมาด้วยความกลัว
หลัวฉางเซิงออกมาพร้อมกับเหล้าฉาวเตาจื่อสองขวด เจียวเสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าขวดไม่ใหญ่นัก เขาจึงคิดว่าถ้าคนสี่คนดื่มเหล้าแค่นี้ก็คงไม่เป็นไร
“ดื่มกันแค่นี้ก่อน ถ้าหมด ฉันจะเอาออกมาให้อีก ยังเหลืออีกหลายขวด ! ”
หลัวฉางเซิงวางขวดเหล้าลงแล้วพูดขึ้นมา
เจียงเสี่ยวไป๋เกือบจะเซ ก่อนที่จะรู้ตัวว่ามันไม่ง่ายที่จะรับมือกับคนพวกนี้
ทันใดนั้น หยินซื่อก็ไปที่ห้องครัวและนำชามดินเผากองใหญ่ออกมา แล้ววางบนโต๊ะห้าใบ ส่วนที่เหลือวางอยู่บนพื้น
เจียงเสี่ยวไป๋รีบพูดขึ้นว่า “ชานชานยังเด็ก ดื่มไม่ได้ ! ”
หยินซื่อหัวเราะและพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ไม่ใช่ของชานชาน เป็นของพี่สะใภ้ฉัน เธอจะดื่มกับเราสักสองสามชาม”
เจียวเสี่ยวไป๋ยิ้มและตระหนักได้ว่าชามเหล้าอีกใบเป็นของเซี่ยงหงจวี๋
ในเวลานี้ เซี่ยงหงจวี๋ก็ออกมาจากห้องครัวอีกครั้ง เธอถือตะกร้าไม้ไผ่ที่มีกะหล่ำปลีและเต้าหู้หั่นเต๋าอยู่ในนั้น
“กินเนื้อสุนัขให้หมดก่อน แล้วค่อยเอากระหล่ำปลีและเต้าหู้ลงไปตุ๋นต่อ”
เมื่อเซี่ยงหงจวี๋กล่าวเสร็จ เธอก็ถอดผ้ากันเปื้อนออกจากเอวแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ หลัวฉางเซิงด้วยท่าทีเป็นกันเอง
หลัวฉางเซิงกล่าวว่า “ตักข้าวให้ชานชานสิ”
“โอ้ ดูฉันสิ ลืมได้อย่างไร ! ” เซี่ยงหงจวี๋ยิ้มแล้วลุกขึ้นหยิบชามเปล่ากลับไปที่ห้องครัว เธอตักข้าวมาหนึ่งชาม ยื่นให้เจียงชานแล้วพูดว่า “หนูอยากกินน้ำซุปไหม ? ”
“ขอบคุณค่ะคุณป้า ไม่เป็นไรค่ะ ! ” เจียงชานรับชามข้าวมาแล้วพูดอย่างสุภาพ
เซี่ยงหงจวี๋ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นหนูก็ตักกินได้ตามใจชอบเลยนะจ๊ะ พ่อของหนูกับฉันจะดื่มเหล้าและเล่นเกมกัน อย่าตกใจเสียงชามที่ถูกโยนลงพื้นล่ะ ! ”
เจียงชานยิ้ม “หนูไม่ตกใจค่ะ ! ”
ในขณะที่พูด หลัวฉางเซิงก็เทเหล้าทั้งห้าชามและเชิญเจียงเสี่ยวไป๋ หม่าลี่ และหยินซื่อให้ดื่มด้วยกัน
วัฒนธรรมการรับประทานอาหารในถู่เฉิง พวกเขาจะรับประทานอาการก่อน แล้วจึงดื่มเหล้าตามเพื่อทำให้ชุ่มคอ
“มา มา พวกเรากินหมดชามแรกกันแล้ว ! ”
หลัวฉางเซิงยกชามขึ้นมาเพื่อเชิญให้ทุกคนดื่ม
หม่าลี่ หยินซื่อ และเซี่ยงหงจวี๋ต่างยืนขึ้นและโต้ตอบโดยการเอาขอบชามมาชนกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยืนขึ้นพร้อมกับชามเหล้าและชนกับทั้งสี่คน เมื่อเขาเอาชามเข้าปาก กลิ่นแอลกอฮอล์ของเหล้าฉาวเตาจื่อก็ฉุนขึ้นจมูก ตอนที่กลืนลงไป คอของเขาก็รู้สึกร้อนผ่าวราวกับกลืนไฟอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่ามันสมชื่อ ‘เหล้าฉาวเตาจื่อ’ ที่แปลว่า ‘มีดร้อนลุกไหม้’