ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 48 :เตรียมเปิดตัวเมนูใหม่
ตอนที่ 48 :เตรียมเปิดตัวเมนูใหม่
“ครั้งนี้ผมมาสั่งจองชามอีก 1 ล็อต”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
เซี่ยงเฉียนจิ้นพูดด้วยความประหลาดใจ: “นี่เพิ่งผ่านไปกี่วันเอง นายมาสั่งจองอีกครั้งแล้ว กิจการของนายดีมากเลยหรือ ? ”
ครั้งแรกเขาสั่งทำไปทั้งหมด 10,000 ใบ ครั้งที่สองเขามาสั่งทำเพิ่มอีก 20,000 ใบ และตอนนี้เขาก็ยังมาสั่งทำอยู่ ปรากฏการณ์นี้ทำให้เซี่ยงเฉียนจิ้นไม่อยากเชื่อเลย
“กิจการพอไปได้ วันนึงใช้ชามประมาณ 2,000 ใบน่ะ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
“นายขายผัดมัดฝรั่งวันละ 2,000 ชามเลยหรือ ? ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นตกตะลึงไปชั่วขณะ
มันน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยไหม !
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือและพูดว่า “ผัดฝรั่งขายได้เพียงวันละ 1,000 ชาม ผมเพิ่มเมนูใหม่มาอีกสองอย่าง โดยนำฟักเขียวมาทำเมนูตุ๋นน้ำแดงและตุ๋นแบบหมูสามชั้นสไลด์ สองเมนูนี้ขายได้เมนูละหลายร้อยชามอยู่”
เซี่ยงเฉียนจิ้นเกิดความสนใจ จึงพูดออกไปตามตรงว่าอยากลองชิม
จากนั้น เขาก็ไปที่ร้านน้ำชากับเจียงเสี่ยวไป๋
เอ่อ ตอนนี้ไม่สามารถเรียกว่าร้านน้ำชาได้แล้ว ควรเปลี่ยนมาเรียกว่า “ร้านอร่อยสามมื้อ” แทน
ระหว่างทาง เจียงเสี่ยวไป๋บอกลักษณะชามกระดาษชุดใหม่ที่เขาต้องการให้เซี่ยงเฉียนจิ้นทราบ เขาไม่เพียงเพิ่มชื่อและที่อยู่ของร้านเท่านั้น แต่ยังขอให้พิมพ์ชื่อผัดมันฝรั่งไซซี ฟักเขียวน้ำแดงและตุ๋นฟักเขียวสไลด์แบบหมูสามชั้น เมนูที่เขาทำขายทั้งสามเมนูนี้ลงไปด้วย อีกทั้งยังให้เพิ่มเมนูพะโล้เข้าไปอีก
“นายคิดจะทำพะโล้ขายด้วยหรือ ? ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นถามด้วยความประหลาดใจ
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า แล้วกล่าวว่า “2-3 วันมานี้ ผมทำเงินได้พอสมควร ดังนั้นผมจึงคิดจะหาซื้อตู้แช่แข็งมาสักหลัง จากนั้นจะได้ทำพะโล้”
การทำพะโล้อยู่ในแผนของเจียงเสี่ยวไป๋มานานแล้ว แต่วัตถุดิบของพะโล้ไม่สามารถเก็บไว้ข้างนอกได้นานเหมือนพวกมันฝรั่งและฟักเขียว ต้องเก็บไว้ในตู้เย็น ไม่อย่างนั้นจะเน่าเสียง่าย
เหตุผลที่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ทำพะโล้ตั้งแต่แรก เพราะเขาไม่มีเงินซื้อตู้แช่ และประการที่สองคือ ตู้แช่แข็งยังคงขาดตลาดในปี 1983 พวกเขาอาจไม่สามารถหาซื้อได้ ถึงแม้ว่าจะมีเงินก็ตาม
แต่ตอนนี้เขามีเงินแล้ว เขาจะหาทางซื้อมันอย่างแน่นอน
เซี่ยงเฉียนจิ้นหัวเราะได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “ตราบใดที่นายมีเงิน ฉันหาดูร้านขายตู้แช่ให้นายได้นะ”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกประหลาดใจและดีใจเป็นอย่างมาก จึงรีบพูดว่า: “งั้นก็ต้องขอบคุณพี่ใหญ่มาก”
เซี่ยงเฉียนจิ้นโบกมือและพูดว่า: “น้องชาย ไม่เห็นต้องเกรงใจกันขนาดนั้นเลย พี่สาวคนโตของฉันเป็นผู้อำนวยการแผนกจัดซื้อของศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง เธอเป็นคนจัดซื้อตู้แช่ทั้งหมดให้กับศูนย์การค้าที่เธอทำงาน ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อเสวี่ยฮวา ยี่ห้อไป๋เหลียน ยี่ห้อโหย่วอี้ หรือจะยี่ห้อสุ่ยเซียน ฉันสามารถหามาให้นายได้ทุกยี่ห้อ”
ในท้ายที่สุด เจียงเสี่ยวไป๋เลือกยี่ห่อเสวี่ยฮวา ตู้แช่แข็งที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ตู้แช่หลังหนึ่งมีราคา 1,400 หยวน ซึ่งเจียงเสี่ยวไป๋สั่งซื้อมา 2 หลังในคราวเดียว
หลังจากใช้เงินไป 2,800 หยวนในคราวเดียว หัวใจของหลินเจียอินเจ็บปวดอยู่พักหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เธอเคยกินพะโล้ของเจียงเสี่ยวไป๋มาก่อน เรื่องรสชาติไม่ต้องพูดถึง เธอเชื่อว่าเมื่อพะโล้ถูกนำมาขาย เมนูนี้จะต้องได้รับความนิยม และเงินที่ใช้ไปจะได้กลับคืนมาในไม่ช้า
เนื่องจากจะทำพะโล้ การตกแต่งแบบดั้งเดิมของร้านน้ำชาจึงค่อนข้างไม่เหมาะสม เจียงเสี่ยวไป๋วาดแผนผังร้านด้วยตัวเอง และขอให้หวังผิงหาทีมก่อสร้างมาตกแต่งร้านใหม่ จากนั้นขอให้ ช่างไม้ถานช่วยทำโต๊ะตามที่เขาออกแบบไว้
หน้าร้านใหม่เปิดหน้าต่างขายหันหน้าไปทางถนน และในขณะเดียวกันก็มีการสงวนโต๊ะเก้าอี้ในร้านไว้บางส่วน เพื่อให้ลูกค้าสามารถนั่งรับประทานอาหารในร้านได้
อย่างไรก็ตาม ขนาดเดิมของร้านน้ำชานั้นกว้างขวางอยู่แล้ว จึงสามารถจัดผังร้านแบบนี้ได้
ส่วนผัดมันฝรั่งยังคงวางขายอยู่นอกร้าน
ในอีกเหตุผลหนึ่ง ควันน้ำมันจากผัดมันฝรั่งมีปริมาณค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะผัดในร้าน ในทางกลับกัน แผงลอยริมถนนจะอยู่ใกล้กับถนนมากกว่า ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจของผู้สัญจรผ่านไปมาได้เป็นอย่างดี
การปรับปรุงร้านใหม่มีผลกระทบต่อกิจการเล็กน้อย
สาเหตุหลักคือ ร้านปิดปรับปรุงอยู่ ลูกค้าไม่สามารถเข้าร้านเพื่อทานอาหารได้ในขณะนี้ ดังนั้นการปรุงเมนูฟักเขียวทั้งสองเมนูนั้นจึงต้องย้ายมาทำใต้กันสาด ไม่อย่างนั้นต่อให้ทำในครัวหลังร้าน เขาก็ไม่สามารถยกออกมาขายได้อยู่ดี
โชคดีที่ผลกระทบไม่มาก
แม้จะบอกว่ามันคือการตกแต่งร้านใหม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก และคนงานแต่ละคนที่หวังผิงจ้างมาต่างก็ตกลงที่จะทำงานกลางคืน คาดว่าร้านใหม่จะได้รับการปรับปรุงใหม่ทั้งหมดภายในเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์
ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา เจียงเสี่ยวไป๋มีส่วนร่วมในการขายและทำสิ่งต่าง ๆ น้อยลง เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ออกไปซื้อข้าวของข้างนอก
เขาทั้งไปซื้อเครื่องเทศ ไปที่โรงงานขายเนื้อและศูนย์อาหารเพื่อดูส่วนผสม ต่อรองราคา ฯลฯ และไปที่เจียงวานกับเฝิงเจียเหอ
เขายังจัดการเรื่องการรับซื้อมันฝรั่งผลเล็กและฟักเขียวด้วยตนเองอีกด้วย
เนื่องจากมีหลินเจียอินวางระบบจัดการไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เขามีหน้าที่แค่ชั่งน้ำหนักและจ่ายค่าของ ณ จุดนั้น ผู้คนในหมู่บ้านต่างไม่ได้กังวลอะไร แต่ความประทับใจของหลายคนที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก
”ใครจะคิดว่า เจียงเสี่ยวไป๋ได้กลับเนื้อกลับตัวแล้วจริง ๆ ”
“ใช่ ฉันยังไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดในคืนนั้น”
“ฉันได้ยินมาว่ากิจการของเขาในเมืองโด่งดังมาก มีรายได้หลายพันหยวนทุกวัน”
“เขามีรายได้หลายพันหยวนทุกวันเลยหรือ เธอไปได้ยินมาจากไหน มันจะเป็นไปได้หรือ ? ”
“ก็อาสะใภ้สามของเขาน่ะสิ เจี่ยงชุ่ยหยูเล่าให้ฉันฟังว่าเธอไปช่วยงานเขา แถมเขายังให้เงินเดือนเธอตั้งเดือนละ 60 หยวนเชียวนะ”
“พระเจ้า เขาทำเงินได้มากมาย เขากลายเป็นนายทุนใหญ่แล้วใช่ไหมเนี่ย ? ”
“ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่พูดถึงนายทุนแล้ว เห็นไหมว่ามีคนทำธุรกิจมากขึ้น”
“……”
บางคนรู้สึกทึ่งกับการเปลี่ยนแปลงและการทำเงินได้ของเจียงเสี่ยวไป๋ และแน่นอนว่าย่อมต้องมีบางคนที่อิจฉา
หลิวซือกั๋ว ผู้ที่ขายมันฝรั่งผลเล็กให้กับหลินเจียอินก่อนหน้านี้รู้สึกอิจฉาเมื่อได้ยินว่าเจียงเสี่ยวไป๋ทำเงินได้มากมาย
หลิวซือกั๋วมาหาหลิวซือหมิงและพูดว่า “น้องรอง นายได้ยินข่าวที่เจียงเสี่ยวไป๋มีรายได้หลายพันหยวนต่อวันไหม”
หลิวซือหมิงเป็นทึ่ม ๆ ซื่อ ๆ มาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาจึงพูดไปว่า “เงินที่เขาหามาได้ก็เป็นของเขา ได้ยินแล้วจะไปทำอะไรได้ล่ะ ? ”
หลิวซือกั๋วได้ยินแบบนั้นจึงพูดด้วยความโกรธ “ฉันได้ยินมาว่าเขาขายผัดมันฝรั่งหนึ่งชามในราคา 4 เหมา ผัดมันฝรั่งหนึ่งชามจะใช้มันฝรั่งเท่าไรกันเชียว ? ไม่ถึงครึ่งชั่งด้วยซ้ำ! คำนวณแล้วเท่ากับว่าเขาขายมันฝรั่งผลเล็กหนึ่งลูกได้ราคามากถึง 8 เหมาเลยนะ”
หลิวซือหมิงนับนิ้วอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะนับไม่ได้สักที
อย่างไรก็ตาม เขาไม่เข้าใจความหมายของหลิวซือกั๋ว ดังนั้นเขาจึงถามว่า “พี่ใหญ่ พี่จะสื่ออะไร ? ”
หลิวซือกั๋วมองไปที่น้องชายของเขาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย และพูดอย่างโมโหว่า “เท่ากับว่าเขาขายมันฝรั่งลูกเล็กในราคา 8 เหมา แต่ให้ราคาเราตกลูกละ 5 หลีเท่านั้น เราขาดทุนยับน่ะสิ”
หลิวซือหมิงเกาหัวของตัวเอง พี่ใหญ่พูดด้วยท่าทีเดือดพล่านแบบนี้ ดูเหมือนว่าจะขาดทุนจริง ๆ
“แต่ก่อนไม่มีใครซื้อมันฝรั่ง นอกจากเอาไปให้หมูกิน”
หลังจากคิดอยู่นาน ในที่สุดหลิวซือหมิงก็พูดออกมาอย่างซื่อ ๆ
เมื่อหลิวซือกั๋วได้ยิน ไฟในใจของเขาก็ยิ่งพลุ่งพล่าน เขาพูดด้วยความโกรธว่า “ไอ้น้องหน้าโง่ ทำไม่ถึงโง่ขนาดนี้ เมื่อก่อนไม่มีใครซื้อก็เป็นเรื่องของเมื่อก่อน แต่ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่ามันฝรั่งลูกเล็กรสชาติดีกว่ามันฝรั่งลูกใหญ่ ถ้าเราเก็บมันฝรั่งของเราไว้จนตอนนี้ แล้วเราสามารถผัดมันฝรั่งขายได้เอง ต่อให้เราขายในราคาชั่งละ 8 เหมา มันฝรั่งหลายร้อยชั่งของเราก็สามารถทำเงินได้หลายร้อยหยวนเหมือนกัน”
ก่อนหน้านี้เขาขายมันฝรั่งลูกเล็กจำนวน 475 ชั่งให้กับหลินเจียอิน
คำนวณแล้ว ถ้าราคาผัดมันฝรั่งตกชั่งละ 8 เหมา นั่นเท่ากับว่าพวกเจียงเสี่ยวไป๋จะทำเงินได้เท่ากับ 380 หยวน
แต่หลินเจียอินให้เงินเขาเท่าไหร่เอง ?
แค่ 2.38 หยวนเท่านั้น
เมื่อเทียบกับที่เขาคำนวณ ขาดทุนไปกว่า 377.62 หยวน
ใจของหลิวซือกั๋วเจ็บปวด ร่างกายของเขาปวดร้าวไปทุกที่
“พี่ใหญ่ ถ้าเป็นอย่างที่พี่พูดจริง งั้นฉันก็ขาดทุนไปหลายร้อยหยวนเหมือนกันน่ะสิ ? ”
หลังจากหลิวซือกั๋วอธิบายอยู่นาน ในที่สุดหลิวซือหมิงก็รู้แจ้งเสียที เขาเข้าใจแล้วว่าพี่ชายของเขาหมายถึงอะไร
“ถูกต้องไอ้น้องชาย พวกเราโดนหลินเจียอินหลอกแล้ว”
หลิวซือกั๋วพูดด้วยความโกรธ: “ฮึ่ม ฉันรู้อยู่แล้วว่ายิ่งผู้หญิงสวยเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งหลอกลวงคนอื่นได้ง่ายมากเท่านั้น อย่างที่คิดไว้เลย”
หลิวซือหมิงพูดด้วยความโกรธ: “ไป ไปหาเธอกัน”
หลิวซือกั๋วรีบห้ามเขาและพูดว่า “พวกเขายังอยู่ในเมือง ยังไม่กลับมา นายจะไปหาพวกเขาที่ไหน ? ”
หลิวซือหมิงพูดอย่างโง่เขลา “ถ้าอย่างนั้นเราเข้าไปหาเธอในเมืองดีไหม ? ”
หลิวซือกั๋วโบกมือปัด และพูดว่า “ไม่จำเป็น เราจะรออยู่ที่หมู่บ้าน เมื่อเธอกลับมา เราค่อยไปคิดบัญชีกับเธอใหม่”