ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 480 : ขว้างชามเหล้า
ตอนที่ 480 : ขว้างชามเหล้า
“เพล้ง ! ”
หลัวฉางเซิงดื่มเหล้าในชามจนหมดภายในอึกเดียว จากนั้นเขาก็ยกชามดินเผาขึ้นสูง แล้วคว่ำให้ดูเพื่อแสดงให้เห็นว่าเหล้าในชามของเขาหมดแล้ว จากนั้นก็กระแทกชามดินลงบนพื้นจนมันแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ทันใดนั้น เสียงขว้างชามใส่เหล้าก็ทำให้เจียงชานตกใจ
เมื่อเธอมองขึ้นไป ก็เห็นว่าหยินซื่อและหม่าลี่ก็ได้โยนชามดินลงบนพื้นด้วย จากนั้นมันก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ตามมาด้วยเสียง ‘เพล้ง’ ติดกันสองครั้ง
จากนั้น หลังจากที่เซี่ยงหงจวี๋ดื่มเหล้าฉาวเตาจื่อเสร็จ เธอก็โยนชามดินลงบนพื้นอย่างแรงจนมันแตกออกเป็นชิ้น ๆ
หลังจากที่ทั้งสี่เขวี้ยงชามเหล้าลงพื้นเสร็จ พวกเขาก็พากันมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋เป็นตาเดียว
เจียงเสี่ยวไป๋ตามหลังพวกเขา เขายกมือขึ้นสูงแล้วเขวี้ยงชามดินเผาลงบนพื้นอย่างแรง
“ดี ดีมาก ! ”
หลัวฉางเซิงและอีกสี่คนปรบมือและหยินซื่อก็วางชามดินเผาใบใหม่ไว้หน้าทุกคน
เจียงชานหันกลับมาและถามด้วยความสงสัย “ป่าป๊าคะ ทำไมดื่มเสร็จแล้วถึงต้องเขวี้ยงชามให้แตกล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ชานชาน นี่เป็นรูปแบบหนึ่งของการดื่ม เรียกว่าเหล้าชามแตก”
เจียงชานเอียงคอมองด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตนั้นฉายชัดถึงท่าทีไม่เข้าใจ ก่อนจะถามว่า “ไม่ใช่ว่าป่าป๊าเคยบอกให้หนูดูแลทรัพย์สินของตัวเองให้ดีมาตลอดไม่ใช่เหรอ ? ทำไมถึงเอาชามดี ๆ แบบนี้มาปาเล่นกันล่ะ ? ”
เซี่ยงหงจวี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ชานชาน ชามดินเผาชนิดนี้ใช้สำหรับดื่มเหล้าและเล่นเกมนี้เท่านั้น มันเอาไปใช้อย่างอื่นไม่ได้หรอก”
เจียงชานกล่าวว่า “แม้มันไม่มีค่าอย่างอื่น แต่มันก็ใช้เงินซื้อไม่ใช่เหรอคะ ? ”
หลัวฉางเซิงและคนอื่นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขารู้เพียงว่าประเพณีการดื่มเหล้าในถู่เฉิงเป็นประเพณีโบราณที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น พวกเขามองข้ามมันมาโดยตลอดและไม่เคยคิดที่จะรักษาทรัพย์สินพวกนี้เลย
เมื่อได้ยินสาวน้อยพูดเช่นนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ
หลัวฉางเซิงยิ้มและพูดว่า “ชานชาน ทำไมหนูถึงบอกว่าส่วนใหญ่ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากล่ะ ? ”
เจียงชานกำตะเกียบแล้วพูดว่า “ป่าป๊าพูดเอาไว้ว่าแม้จะเล็กน้อย แต่ก็ใหญ่ขึ้นหากทำแบบซ้ำ ๆ ป่าป๊ายังบอกอีกว่าประเทศจีนมีประชากรมากกว่าหนึ่งพันล้านคน ถ้าแต่ละคนกินอย่างไม่รู้คุณค่า มันก็จะกลายเป็นการสิ้นเปลืองที่มหาศาล”
“หนูคิดว่าแม้ว่าชามดินเผาจะไม่มีค่า แต่ถ้าทุกคนทำชามแตกก็จะต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากมาซื้อชามใหม่ ! ”
คำพูดของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ทำให้หลัวฉางเซิงตกตะลึง และเขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นแล้วจึงพูดอย่างรวดเร็ว “ชานชาน นี่ถือเป็นเรื่องที่ดีที่หนูสามารถอนุมานเกี่ยวกับกรณีอื่น ๆ ได้ แต่การดื่มเหล้าชามแตกนั้นเทียบไม่ได้กับการสิ้นเปลืองอาหาร”
“ทำไมล่ะคะป่าป๊า ? ” เจียงชานถามด้วยความสับสน
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “การทิ้งอาหารถือเป็นการสิ้นเปลืองจริง ๆ แต่การดื่มเหล้าชามแตกไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า มันเป็นธรรมเนียม”
“พ่อจะแบ่งปันเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยกับหนู ในกวีนิพนธ์ของขงจื๊อ ในบท ‘แปดแถว’ มีคำพูดว่า: จื้อกงต้องการไปบอกโชวเซียวว่าลูกแกะบูชายัญของเขาพร้อมแล้ว ขงจื๊อจึงกล่าวว่า ให้มันกับเขา ! เจ้ารักลูกแกะ ส่วนข้าชอบพิธีกรรม”
“ประโยคนี้บอกเล่าเรื่องราวของจื้อกง ลูกศิษย์ของขงจื๊อที่ต้องการขอให้ขงจื้อไว้ชีวิตแกะที่เอามาบูชายัญในวันแรกของทุกเดือนที่วัดของบรรพบุรุษ ขงจื๊อจึงกล่าวว่า: จื้อกง เจ้าหวงแหนแกะตัวนั้น ส่วนข้าน่ะใส่ใจมารยาทในการเสียสละ”
“ในมุมมองของขงจื๊อ แกะบูชายัญเป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ มรดกและแม้กระทั่งวัฒนธรรม แกะเป็นเหมือนวัตถุที่ไม่สามารถมาเทียบกับวัฒนธรรมพวกนี้ได้ การเอาแกะออกจากเครื่องบูชายัญก็ไม่ต่างจากการลบพิธีกรรม ซึ่งมันจะทำให้วัฒนธรรมที่สืบทอดกันมายาวนานสูญหายไปอย่างสมบูรณ์ เช่นเดียวกับสังคมปัจจุบัน วัฒนธรรมที่ยอดเยี่ยมมากมายได้สูญหายและสาบสูญไปในวิถีชีวิตที่สะดวกในปัจจุบัน”
เจียงชานพยักหน้า “หนูเข้าใจแล้วค่ะป่าป๊า ทุกคนดื่มเหล้าชามแตกกันต่อเถอะค่ะ หนูคิดว่ามันน่าสนใจทีเดียว อิอิ ! ”
หลัวฉางเซิงมองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจ ในที่สุดเขาก็ได้เห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋สอนลูกสาวของเขา อย่างไร
มุมปากของหยินซื่อกระตุกอย่างรุนแรง เขาคิดว่าไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็กหญิงตัวเล็กคนนี้จะฉลาดมาก นั่นเป็นเพราะเธอมีพ่อที่ดีที่คอยสอนเธอด้วยคำพูดและการกระทำนี่เอง
หม่าลี่ยกชามเหล้าขึ้นมาทันทีแล้วพูดว่า “เถ้าแก่เจียง คำสอนของคุณนั้นดีมาก ฉันขอเคารพคุณด้วยเหล้าชามนี้”
หลังจากพูดจบ เขาก็เงยหน้าแล้วดื่มเหล้าจนหมด จากนั้นก็โยนชามเหล้าลงบนพื้นอย่างแรง
“ปึก ๆ ๆ …”
ชามดินเผากลิ้งไปบนพื้นสองสามครั้ง จากนั้นก็หยุดอย่างมั่นคง
มันไม่แตกเลยด้วยซ้ำ
เซี่ยงหงจวี๋เห็นแบบนั้นก็กล่าวขึ้นมาทันทีว่า “รองนายอำเภอหม่า ทำไมมือของคุณถึงไม่มีแรงอย่างนั้นล่ะ ? ชามเหล้าไม่แตก คุณจะถูกปรับด้วยการดื่มอีกชาม”
หยินซื่อกล่าวว่า “คุณจะต้องถูกลงโทษ ! คุณจะต้องถูกลงโทษ ! ”
หม่าลี่มีสีหน้าขมขื่น เขายืนขึ้นหยิบชามดินเผาขึ้นมาแล้วโยนมันลงไปที่พื้นอีกครั้ง
คราวนี้มันก็แตกในที่สุด
หลังจากกลับมาที่นั่งแล้ว เขาก็หยิบชามดินอีกใบหนึ่ง เทเหล้าลงไปครึ่งชามแล้วพูดว่า “ฉันยอมรับการลงโทษ ! ”
เขาดื่มมันไปในอึกเดียวแล้วโยนชามเหล้าอีกครั้ง
เมื่อดื่มเหล้าเสร็จ ต้องโยนชามจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ หลังจากดื่มแต่ละครั้ง ชิ้นส่วนที่แตกจะมีอายุเท่ากัน ซึ่งหมายถึงความสงบสุขในทุกปี แต่ถ้าไม่แตกแสดงว่าโชคไม่ดี จะต้องดื่มเป็นการลงโทษเพื่อแก้เคล็ด แล้วโยนชามให้แตกเพื่อชีวิตจะได้เป็นมงคล
ดังนั้น หากว่าชามไม่แตก ก็ต้องดื่มอีกรอบ ทำให้การละเล่นนี้กลายเป็นธรรมเนียมในการดื่มเหล้าไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าการโยนชามสนุกขนาดไหน เจียงชานก็พูดว่า “ป่าป๊าคะ หนูก็อยากโยนใบหนึ่งเหมือนกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋ดื่มเหล้าในชามจนหมด จากนั้นก็ส่งชามเปล่าให้ลูกสาวแล้วพูดว่า “เขวี้ยงมันลงไปแรง ๆ ! ”
หยินซื่อเห็นแบบนั้นก็ล้อเธอว่า “ชานชาน หนูต้องเขวี้ยงมันให้แตกนะ ไม่งั้นพ่อของหนูจะถูกลงโทษด้วยการดื่มเหล้าอีกชาม ! ”
“หนูรู้ค่ะ ! ”
เจียงชานตอบ จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนและโยนชามเปล่าลงบนพื้นอย่างแรง และแตกออกจนส่งเสียงดัง ‘เพล้ง’
ทุกคนปรบมือ
เจียงชานหัวเราะอย่างมีความสุข รู้สึกว่าการดื่มเหล้าชามแตกนั้นค่อนข้างสนุก
“ชานชานสุดยอดมาก มากินเนื้อสุนัขตากแห้งกันเถอะ มันอร่อยนะ ! ” เซี่ยงหงจวี๋พูดขณะที่เธอคีบเนื้อสุนัขตากแห้งชิ้นหนึ่งใส่ลงในชามของเจียงชาน
“ขอบคุณค่ะคุณป้า ! ”
เจียงชานขอบคุณเธออย่างสุภาพ และกินอย่างมีความสุข
“เอาน่า ใช้ตะเกียบของหนูคีบกินดูสิ ! ”
เซี่ยงหงจวี๋คีบอาหารให้เจียงชานเสร็จแล้วก็ทักทายทุกคน
ทุกคนจึงเริ่มคีบเนื้อในหม้อตุ๋นลงในชามของตัวเอง
เจียงเสี่ยวไป๋กินไปชิ้นหนึ่ง แต่รู้สึกว่าเนื้อสุนัขที่ตุ๋นได้ที่นั้นนุ่มชุ่มฉ่ำ แม้จะถูกตุ๋นนาน แต่มันก็ยังคงรสชาติ มีกลิ่นหอม แต่ไม่ฉุน และเคี้ยวหนึบมาก
“เอานี่ ตักถั่วเหลืองต้มมาหนึ่งทัพพีแล้วเติมน้ำซุปลงไปสักหน่อย วิธีนี้จะได้รสชาติดีขึ้น ! ”
หลัวฉางเซิงหยิบทัพพีขึ้นมาตักถั่วเหลืองที่ต้มแล้วราดลงในชามของเจียงเสี่ยวไป๋ เนื้อสุนัข ถั่วเหลือง พริกไทยและซุปผสมเข้าด้วยกัน ทำให้กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วจมูกของเขา
หลัวฉางเซิงตักให้เจียงเสี่ยวไป๋เสร็จแล้ว จากนั้นก็ตักอีกทับพีใส่ในชามของเขาเอง ก่อนจะยื่นทัพพีให้หม่าลี่ “คุณตักเองแล้วกัน ! ”
“ครับ”
หม่าลี่รับมันมาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ตักให้ตัวเอง แล้วยื่นทัพพีให้หยินซื่อต่อ
หลังจากที่ทุกคนตักเสร็จ พวกเขาก็เริ่มกินกันอย่างเอร็ดอร่อย
หยินซื่อยื่นพริกย่างให้เจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “ลองชิมนี่ดู มันกรอบและมีกลิ่นหอมมาก ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบมันขึ้นมา เอาปลายพริกจุ่มลงในน้ำซุปเล็กน้อย จากนั้นก็เอามาจุ่มลงในชามเกลือจนมีเกลือติดขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเอาเข้าปาก
กรุบกรอบ !
หอมมาก !
แต่ก็……เผ็ดมากเช่นกัน !
หยินซื่อหัวเราะเสียงดัง “เถ้าแก่เจียงใช้ได้เลยนะ ใครก็ตามที่กินอาหารรสเผ็ดได้คือที่สุดแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง นี่คือทฤษฎีอะไรของเขา ?
หลัวฉางเซิงและหม่าลี่ต่างหยิบพริกย่างแล้วจุ่มลงในเกลือ ก่อนจะกินมันไปเปล่า ๆ
แม้แต่เซี่ยงหงจวี๋ก็กินกับเขาด้วย
เจียงชานมองดูทุกคนกินแล้วพูดว่า “ป่าป๊าค่ะ หนูก็อยากลองกินเหมือนกันค่ะ ! ”
“ได้สิ ! ”
โดยไม่รอให้เจียงเสี่ยวไป๋พูด หยินซื่อก็หยิบพริกย่างส่งให้เจียงชานทันที