ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 49 :โลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญได้อย่างไร
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 49 :โลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญได้อย่างไร
ตอนที่ 49 :โลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญได้อย่างไร
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้เรื่องที่พี่น้องหลิวซือกั๋วและหลิวซือหมิงคิดจะทำ เขาและเฝิงเจียเหอลากมันฝรั่งลูกเล็กไปที่ร้าน กว่าจะขนเสร็จก็ล่วงเลยเวลา 4 โมงเย็นไปแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋พูดกับหลินเจียอินว่า “เมียจ๋า วันนี้คุณกับชานชานขึ้นรถโดยสารกลับไปก่อนนะ ผมต้องไปพบคนใหญ่คนโตคนหนึ่งในตอนบ่าย อาจกลับเย็นหน่อย”
หลินเจียอินพูดว่า “ฉันกับลูกรอกลับไปพร้อมคุณได้ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือ “ฟ้ามืดคงปั่นจักรยานไม่สะดวก ผมกลัวจะพาชานชานล้ม”
เขาไม่ได้บอกว่าเขากลัวพาหลินเจียอินล้ม แต่กลัวว่าจะทำให้ลูกสาวของเขาล้มมากกว่า
หลินเจียอินพยักหน้า หากขี่จักรยานล้มสองคนก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพาลูกสาวไปล้มด้วยคงไม่ดีแน่ เธอจึงพูดว่า “งั้นก็ระวังตัวด้วย อย่ากลับดึกเกินนะ”
“ผมรู้”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าพลางกล่าว
รถโดยสารคันสุดท้ายที่จะไปยังอำเภอชิงซานออกเวลา 5 โมงเย็น สถานีขนส่งผู้โดยสารอยู่ตรงข้ามกัน เจียงเสี่ยวไป๋ไปส่งภรรยาและลูกสาวขึ้นรถโดยสาร ส่วนเขากลับไปที่ร้านอีกครั้ง
เขาหาขวดแก้วเล็ก ๆ เพื่อเติมซอสสูตรลับลงในขวดแก้ว แล้วนำเงิน 100 หยวนออกมา เมื่อลูบไปที่กระเป๋าและรู้ว่ายังมีบุหรี่จงฮั๋วครึ่งซองอยู่ในกระเป๋า เขาจึงเดินไปที่ภัตตาคารประจำเมือง
ก่อนที่เขาจะกลับไปที่เจียงวานเพื่อลากมันฝรั่ง เซี่ยงเฉียนจิ้นมาหาเขาและบอกว่าประธานฟู่กลับมาแล้ว พวกเขาจึงนัดทานข้าวเย็นด้วยกัน
เจียงเสี่ยวไป๋รอคอยที่จะได้พบกับฟู่เต๋อเจิ้ง
เขาไม่สนใจสถานะปัจจุบันหรือตำแหน่งในอนาคตของฟู่เต๋อ เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน ฟู่เต๋อเจิ้งล้วนเป็นทรัพยากรบุคคลสำหรับเขา เป็นตัวช่วยที่ดีเพื่อให้เขาบรรลุแผนการอื่น ๆ
แน่นอนว่าเขาจะไม่พูดอะไรมากเมื่อพบกันครั้งแรก
การรู้จักกันเพียงน้อยนิดเป็นสิ่งต้องห้ามที่จะพูดเรื่องส่วนตัว แค่ทำความรู้จักกันก่อนก็พอแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋เดินไปที่ทางเข้าภัตตาคารประจำเมือง เมื่อเห็นเซี่ยงเฉียนจิ้นและชายร่างสูงอีกคนปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู เขาจึงรีบเดินเข้าไป
บังเอิญทั้งสามมาถึงเกือบพร้อมกัน
“บังเอิญจังนะ”
เซี่ยงเฉียนจิ้นพูดทักทาย
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ โดยคิดในใจว่ามีความบังเอิญในโลกใบนี้เหรอ มีแต่คนจงใจทำก็เท่านั้นแหละ
เซี่ยงเฉียนจิ้นแนะนำชายร่างสูงให้รู้จักกับเจียงเสี่ยวไป๋ก่อน “นี่คือเจียงเสี่ยวไป๋”
จากนั้นเขาก็พูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “นี่คือท่านประธานสำนักหนังสือพิมพ์รายวันของเรา ท่านประธานฟู่เต๋อเจิ้ง”
คนรับหน้าที่แนะนำมีความชำนาญเช่นกัน เขารู้ว่าต้องแนะนำคนที่ตำแหน่งฐานะต่ำให้คนที่มีตำแหน่งสูงรู้จักก่อน เพื่อที่คนมีตำแหน่งสูงกว่าจะได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครโดยไม่ต้องคาดเดา
เซี่ยงเฉียนจิ้นเป็นข้าราชการ ดังนั้นเขาจึงเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าเล็กน้อยให้ฟู่เต๋อเจิ้ง และวางตัวเป็นอย่างดี “สวัสดีครับท่านประธาน ผมได้ยินมาว่าคุณคือนักเขียนนามปากกาอันดับหนึ่งในมณฑณจีนตอนกลาง เดิมผมคิดว่านักเขียนชั้นนำล้วนแต่ดูเป็นนักวิชาการ คิดไม่ถึงเลยว่าพอได้มาเจอตัวจริงของคุณ คุณจะดูสูงส่งและน่าเกรงขามได้ขนาดนี้”
ฟู่เต๋อเจิ้งหัวเราะ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนทักทายเขาแบบนี้
แต่ไม่ว่าจะฟังอย่างไร ทุกประโยคทุกคำที่เจ้าหนุ่มคนนี้พูดมากลับฟังสบายหูมาก
เขาหัวเราะ “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายถึงทำผัดมันฝรั่งได้อร่อยขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นคนปากหวานนี่เอง”
ด้วยการเล่นสำนวน เขาไม่เพียงแต่ยกย่องเจียงเสี่ยวไป๋เท่านั้น แต่เขายังบอกเป็นแนวติดตลกว่าเขาฟังออกว่าเจียงเสี่ยวไป๋กำลังประจบเขา
คำพูดของทั้งสองฝ่ายทำให้สถานการณ์เริ่มผ่อนคลายขึ้นมาก
เมื่อเซี่ยงเฉียนจิ้นเห็นฉากนี้ เขาชื่นชมเจียงเสี่ยวไป๋มาก ประธานฟู่มักวางมาดของท่านประธานอยู่เสมอ เขาไม่คิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะทำความคุ้นเคยกับเขาเร็วขนาดนี้
คนที่ไม่รู้จักมาเห็นจะต้องไม่คิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนพบกันอย่างแน่นอน และอาจคิดว่าทั้งสองเป็นเพื่อนกันมานานหลายปีเสียด้วยซ้ำ
เจียงเสี่ยวไป๋ส่งบุหรี่ให้ทั้งสองคน และพวกเขาทั้งสามคนก็จุดบุหรี่สูบเดินเข้าไปในร้านอาหารด้วยกัน เจียงเสี่ยวไป๋สั่งอาหารขึ้นชื่อสองสามอย่างและเหล้าเหมาไถสองขวด
เขาจำได้ว่าฟู่เต๋อเจิ้งชอบดื่มเหล้าเหมาไถมากที่สุด
ฟู่เต๋อเจิ้งพอใจกับการวางตัวของเจียงเสี่ยวไป๋มากขึ้นเรื่อย ๆ ชายหนุ่มคนนี้ดูมีพลัง พูดเก่ง มีความโดดเด่นและใจกว้าง
ฟู่เต๋อเจิ้งชอบสิ่งนี้มาก
ภัตตาคารประจำเมืองแห่งนี้เสิร์ฟอาหารอย่างรวดเร็ว ทั้งสามคนคุยกันขณะกินดื่ม บรรยากาศเต็มไปด้วยความกลมกลืน
ในอีกด้านหนึ่ง หลังจากที่หลินเจียอินพาเจียงชานนั่งรถกลับไปอำเภอชิงซานแล้ว เธอก็แบกหนูน้อยขึ้นหลังแล้วเดินกลับเจียงวาน
“หม่าม๊า หลังจากนี้พวกเรากลับบ้านพร้อมกับป่าป๊ากันเถอะ”
ระหว่างทาง เจียงชานกล่าวขณะที่ซบอยู่บนหลังของหลินเจียอิน
หลินเจียอินจึงถาม “ทำไมชานชานถึงอยากกลับบ้านกับป่าป๊าล่ะ ? ”
“เพราะป่าป๊ามีรถ”
ความคิดเด็กน้อยนั้นใสสะอาด เจียงชานพูดตามความเป็นจริง เธอหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “แบบนั้น หม่าม๊าจะได้ไม่ต้องแบกหนูให้เหนื่อย”
คำพูดที่อบอุ่นใจเช่นนี้
จู่ ๆ หลินเจียอินก็รู้สึกว่าเธอมีความสุขมาก สามีรักเธอมากขนาดนั้น แถมลูกสาวก็ช่างเป็นห่วงเป็นใยเธอขนาดนี้ เธอจะยังต้องการอะไรอีก ?
“หม่าม๊าไม่เหนื่อยหรอก หม่าม๊าชอบอุ้มชานชานไว้บนหลัง”
หลินเจียอินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คนเป็นแม่ย่อมยอมทำทุกอย่างเพื่อลูก เหนื่อยเพียงใดย่อมยอมเพื่อลูกอยู่แล้วใช่ไหม ?
“หนูรักหม่าม๊าที่สุด”
“หนูก็รักป่าป๊าด้วย”
“คงจะดีมากถ้าป่าป๊าอยู่ที่นี่”
“ชานชานคิดถึงป่าป๊ามาก”
เด็กหญิงตัวเล็กดูมีความสุขและพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนน่ารัก
จู่ ๆ หัวใจของหลินเจียอินก็หม่นหมอง ก่อนที่จะแบกชานชานขึ้นหลังเดิน เธอมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไปจากข้างกายเธอ เมื่อเธอได้ยินคำพูดของลูกสาว เธอก็ตระหนักได้ทันทีว่าเป็นเพราะเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอ
ทุกวันนี้ เธอคุ้นชินกับการมีเจียงเสี่ยวไป๋อยู่เคียงข้างเธอแล้ว
เมื่อเขาไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอแม้เพียงชั่วครู่ เธอจึงรู้สึกว่ามีบางสิ่งขาดหายไป
อย่างไรก็ตาม เธอยังคงปลอบลูกสาวของเธอและพูดว่า “ป่าป๊ามีเรื่องสำคัญต้องทำ พวกเรากลับบ้านไปรอป่าป๊าก่อนดีไหม ? ”
“ค่ะ”
ความโศกเศร้าของหนูน้อยจึงจางหายไปในไม่ช้า
เมื่อหลินเจียอินบอกจะกลับบ้านไปรอป่าป๊า เพียงเท่านี้หนูน้อยก็เต็มใจที่จะกลับไปรอที่บ้านแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน หลินเจียอินก็เดินออกจากถนนลูกรัง และมาถึงทางเล็ก ๆ ที่ใช้เดินกลับบ้านเป็นประจำ
แม้ว่าเจียงชานจะอายุเพียง 5 ขวบและผอมบาง หลินเจียอินยังคงมีเหงื่อซึมบนหน้าผากของเธอหลังจากเดินทางมา 4-5 ลี้ และเมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงประตูใกล้แล้ว เธอจึงเร่งฝีเท้าเดินเร็วขึ้น
“หลินเจียอิน หยุดก่อน”
ทันใดนั้น เสียงตะโกนของชายคนหนึ่งก็ดังมาจากด้านข้าง เสียงนั้นดังมากจนเกือบทำให้ หลินเจียอินตัวสั่นเพราะความตกใจ
พอหันไปมอง เธอก็เห็นสองพี่น้องหลิวซือกั๋วและหลิวซือหมิง
คนที่ตะโกนเรียกเธอคือหลิวซือหมิง
บนถนนสายเล็ก ๆ ถัดจากทุ่งนานำไปสู่บ้านของพี่น้องตระกูลหลิว ทั้งสองกำลังเดินจ้ำมาอย่างรวดเร็ว หลินเจียอินจึงถามว่า “มีอะไร ? ”
หลิวซือหมิงตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “หลินเจียอิน เห็นว่าฉันเชื่อใจเธอมาก เธอเลยทำตัวเป็นคนโกหกหลอกลวงอย่างนั้นหรือ”
หลินเจียอินตกตะลึง ทำไมเธอถึงกลายเป็นคนโกหกหลอกลวงไปได้ล่ะ ?
ในใจของเธอเริ่มคุกรุ่นเมื่อเขามาปรักปรำเธอเช่นนี้ หญิงสาวจึงพูดเสียงดัง “หลิวซือหมิง บอกฉันให้ชัดเจนว่าฉันไปโกหกอะไรนาย ? ”
บ้านในเจียงวานค่อนข้างปลูกติดกัน ในเวลานี้ท้องฟ้ามืดแล้ว โดยปกติทุกคนจะอยู่ในบ้านและยังคงเปิดประตูไว้ พวกเขาสองคนคุยกันเสียงดังแบบนี้ เมื่อหลายคนได้ยินจึงรีบออกจากบ้านมาดู
“ทำไมหลิวซือหมิงถึงโต้เถียงกับหลินเจียอินล่ะ ? ”
“ไม่รู้สิ ดูเหมือนได้ยินหลิวซือหมิงบอกว่าหลินเจียอินเป็นคนโกหก”
“ฉันไม่เชื่อ หลินเจียอินเธอเป็นคนดีมาก เธอจะโกหกหลิวซือหมิงได้อย่างไร”
“นั่นน่ะสิ หลิวซือหมิงตัวคนเดียว อีกทั้งครอบครัวของเขายังยากจนจนไม่มีกางเกงจะใส่ ใครจะไปโกหกเขา”
”เป็นไปได้ไหมว่าหลินเจียอินและหลิวซือหมิงจะแอบมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กัน ? ”
“ให้ตายเถอะ หลิวซือหมิงที่ทั้งขี้เหร่และโง่เง่าขนาดนั้น หลินเจียอินสวยถึงเพียงนั้น เจียงเสี่ยวไป๋สามีของเธอก็หล่อมาก จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ? ”
“ใครจะไปรู้ อาจเป็นเพราะเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ค่อยกลับบ้าน เธอจึงมีความสัมพันธ์กับชายอื่น”
“พอ พอ พอ แก่แล้วยังชอบพูดจาทะลึ่งอีก”
“……”