ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 496 : แตกต่างทางความคิด
ตอนที่ 496 : แตกต่างทางความคิด
ในพื้นที่ชนบทในช่วงปี 1980 ถึงปี 1990 เกือบทุกครัวเรือนจะมีหลุมไฟ ในช่วงฤดูหนาว สมาชิกในครอบครัวจะรวมตัวกันรอบหลุมไฟเพื่อให้ความอบอุ่นและรมควันหมูตากแห้ง
สำหรับหลุมไฟในพื้นที่ชนบท คนส่วนใหญ่ตัดต้นสนมาใช้เผาเป็นฟืน ในขณะที่บางคนขึ้นไปบนภูเขาเพื่อขุดปมซึ่งเป็นปมที่โคนต้นไม้เพื่อเผา ซึ่งเผาไหม้ได้นานกว่าท่อนไม้ เหล่าผู้สูงอายุในชนบทจึงชอบใช้มัน
ดังนั้นเมื่อใกล้ถึงต้นฤดูหนาว ผู้คนในชนบทจึงเริ่มตัดต้นไม้ เก็บฟืนและขุดรากเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับฤดูหนาว
แน่นอนว่านอกเหนือจากการใช้หลุมไฟแล้ว วิธีการให้ความร้อนอีกวิธีหนึ่งก็คือการใช้เตาอั้งโล่
สิ่งที่เรียกว่าเตาอั้งโล่เป็นโครงสี่เหลี่ยมทำจากไม้ สูงประมาณ 20 เซนติเมตร กว้าง 70 เซนติเมตร แต่ละด้านมีกระดานไม้และมีหม้อเหล็กหล่อก้นตื้นอยู่ตรงกลาง
เมื่อก่อไฟ ให้ใส่ขี้เถ้าลงในหม้อแล้วเผาถ่าน
เนื่องจากในช่วงปีใหม่มีแขกมาเยี่ยมมากมาย หลุมไฟแห่งเดียวไม่สามารถรองรับทุกคนได้ ในกรณีเช่นนี้ เจ้าบ้านจะเผาเตาอั้งโล่หลายอันตามจำนวนแขก เพื่อสร้างความอบอุ่น
ถ่านจะถูกเผาในเตาอั้งโล่ ดังนั้นเมื่อฤดูหนาวมาถึง คนที่สามารถเผาถ่านได้ก็จะขุดเตาเผาเพื่อเผาถ่านด้วย
ในหลุมไฟ สามารถใช้วัสดุต่าง ๆ เช่น รากของต้นไม้ ลำต้นของต้นไม้หนาในการจุดไฟ ส่วนใบไม้ก็สามารถนำมาใช้ในการเผาได้ อย่างไรก็ตาม ในการทำถ่านควรใช้เศษไม้เนื้อหนา เช่น ต้นแพร์ ต้นเอล์ม ต้นเบิร์ชและต้นโอ๊ก ไม้ประเภทนี้มีเส้นใยไม้ที่แข็งกว่า ส่งผลให้ถ่านมีความทนทานมากขึ้น ในทางกลับกัน ถ่านที่ผลิตจากไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้สน ไม้สนแดง และไม้สปรูซจะมีความยืดหยุ่นน้อยกว่าและไม่ทนทานต่อการไหม้ด้วย
ในปีที่แล้ว สามพี่น้องเจียงไห่เทียน เจียงไห่หยาง และเจียงไห่โปจะขึ้นไปบนภูเขาเพื่อตัดฟืน ตัดต้นไม้และขุดรากต้นไม้
ตอนนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ต้องการให้พ่อแม่ของเขาทำงานหนักอีกต่อไป หลังจากฟังคำพูดของเจียงไห่หยาง แล้ว เขาจึงพูดว่า “พ่อครับ พ่อและแม่ก็แค่พักผ่อนที่บ้านเถอะ เมื่อศูนย์กิจกรรมของหมู่บ้านถูกสร้างขึ้น ค่อยออกไปดูร้านสะดวกซื้อได้เลย ไม่ต้องขึ้นไปตัดไม้บนภูเขาแล้ว”
เจียงไห่หยางตอบว่า “ถ้าเราไม่ตัดไม้ เราจะเผาอะไรในฤดูหนาว ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “มีคนจำนวนมากในหมู่บ้านกำลังตัดฟืนและเผาถ่าน ไว้ตอนนั้นเราค่อยซื้อจากพวกเขาก็ได้”
เจียงไห่หยางพูดด้วยความโกรธว่า “พ่อยังมีมือมีเท้า อีกทั้งบนเขามีต้นไม้มากมาย พ่อไปตัดเองได้ ทำไมถึงต้องใช้เงินซื้อด้วย ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “มีเงินก็ซื้อมัน ทำไมถึงต้องลำบากขึ้นเขาไปตัดเองด้วยล่ะ ? ”
เจียงไห่หยางพูดด้วยความโกรธว่า “ลูกมีเงินก็ซื้อได้ แต่คนในหมู่บ้านจะคิดอย่างไร ? พวกเขาคงพูดกันให้แซ่ดว่า อ้อ ลูกของเจียงไห่หยางรวยแล้ว เขาก็เลยไม่ต้องทำงานทำการอะไรสักอย่าง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง โดยตระหนักถึงช่องว่างระหว่างรุ่นในมุมมองของพวกเขา
ตามความคิดของเขา หากปัญหาสามารถแก้ไขได้ด้วยเงินก็ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักขนาดนั้น
คนอื่นจะคิดจะพูดอย่างไรนั้น ?
เขาไม่สนใจ
ในทางกลับกัน เจียงไห่หยางแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เขาให้ความสำคัญกับสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเขามาก
นี่เป็นความคิดส่วนใหญ่ของคนจีนจำนวนมาก พวกเขามักจะใช้ชีวิตตามวิธีที่คนอื่นมองพวกเขา โดยพยายามทำให้เข้ากับภาพลักษณ์ที่คนอื่นมีต่อพวกเขา
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “พ่อ ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปแล้ว เรามีเงินมากพอใช้จ่ายในครอบครัวของเรา ! ”
เจียงไห่หยางกล่าวว่า “แม้ว่าลูกจะมีเงิน ลูกก็ไม่ควรเสียเงินไปกับหลายสิ่งที่ทำเองได้ หากลูกเลือกที่จะใช้เงินกับทุกอย่าง ภูเขาทองคำและเงินจะไม่เพียงพอสำหรับความฟุ่มเฟือยของลูก”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกว่าหัวข้อนี้ไม่สามารถพูดคุยได้ต่อแล้ว ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “เอาล่ะ พ่อสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ แค่อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยจนเกินไปก็พอ ! ”
ในขณะนี้ เขาตระหนักได้ว่าความขัดแย้งภายในครอบครัวไม่ได้เกิดจากการมีเงินไม่เพียงพอเสมอไป แม้ว่าเงินจะเพียงพอแล้ว ความขัดแย้งก็ยังหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากความแตกต่างในวิถีชีวิตและมุมมอง
เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเหล่านี้ ฝ่ายหนึ่งต้องรู้จักประนีประนอม
หวังซิ่วจวี๋กลัวว่าพ่อและลูกจะทะเลาะกัน เธอจึงพูดว่า “ทั้งคู่เลิกเถียงกันได้แล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็ถามเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “ลูกกลับมาช้ามาก กินข้าวหรือยัง ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว “ยังเลยครับ เดี๋ยวผมเข้าครัวไปทำอะไรง่าย ๆ กินแล้วกัน”
เมื่อพูดอย่างนั้น เขาก็ไปที่ห้องครัว ปรุงบะหมี่สองชาม และยกมานั่งกินกับเจียงชาน
ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างเงียบสงบ
วันรุ่งขึ้น สามคนพ่อแม่ลูกก็เข้าไปในเมืองตามปกติ
“พวกเขาจะซ่อมถนนอีกแล้วเหรอ ? ”
หลินเจียอินนั่งอยู่ในรถเห็นคนงานยุ่งอยู่บนถนนจึงถามขึ้น
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “นายกเทศมนตรีจางบอกว่าพวกเขากำลังขยายหน้าถนนจากชิงโจวไปยังชิงซาน”
หลินเจียอินพยักหน้า “คราวนี้พวกเขาดำเนินการวดเร็วมาก”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ใกล้จะถึงฤดูหนาวแล้ว ซึ่งเป็นฤดูว่างสำหรับชาวบ้าน เป็นเวลาที่ดีสำหรับการก่อสร้างถนน เนื่องจากมีแรงงานมากมาย”
เมื่อคืนตอนเขากลับบ้าน เขาสังเกตเห็นการก่อสร้างตามถนนจากชิงโจวไปยังเจียงวาน หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดกับภรรยาของเขาว่า “เมียจ๋า ต่อไปนี้คุณไม่ต้องเข้าเมืองทุกวันแล้ว ถนนอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง มันขรุขระ ไม่ดีต่อลูกในท้องของคุณ”
หลินเจียอินรีบพูดแย้งขึ้นมาทันที “ถ้าฉันไม่เข้าเมือง ฉันก็ไม่มีอะไรทำที่บ้าน ยังไงคุณก็ขับช้า ๆ ก็ได้ เราไม่รีบ”
เจียงเสี่ยวไป๋อยากจะพูดต่อ แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรออกมา
คนที่ดื้อรั้นไม่ใช่เพียงพ่อของเขาเท่านั้น แต่ภรรยาของเขาก็ด้วย เพราะเวลาเขาออกความเห็น แต่เธอไม่เห็นด้วย เกิดเขาพูดมากกว่านี้จะทำให้เธออารมณ์เสียก็เท่านั้น
รถจี๊ปเคลื่อนตัวช้า ๆ กว่าจะถึงในเมืองก็เกือบเก้าโมงแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋เดินเข้าไปในสำนักงานและเห็นว่ามีพนักงานหญิงที่ได้รับคัดเลือกใหม่จำนวน 20 คนรออยู่ข้างใน
พวกเธอทุกคนรู้ว่าเจ้านายชื่อเจียงเสี่ยวไป๋ แต่ยังไม่มีใครเคยเห็นหน้าของเขาเลย
แม้ตอนนี้พวกเธอยังไม่รู้ว่าพวกเธอจะต้องทำงานประเภทไหน? จนกระทั่งเฉินซินตะโกนเรียก “ผู้ช่วยเจียง” ทุกคนจึงจ้องมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋
ภายใต้การจ้องมองของผู้หญิงสวยหลายคน เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงมีท่าทีสงบ แม้เขาจะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยก็ตาม เขาเหลือบมองที่หลินเจียอินและพูดกับเฉินซินอย่างใจเย็นว่า “ไปที่บริษัทโลจิสติกส์แล้วให้คนขับรถตู้มาสี่คัน”
เขายังไม่ได้จัดตั้งสถานีผู้โดยสาร และบริการผู้โดยสารระหว่างเมืองยังไม่เริ่มต้น นอกเหนือจากรถตู้สี่คันที่จัดสรรให้กับเฉินหยวนเฉา เหมิงเสี่ยวเป่ย เย่กวงโต้วและหลี่ลี่แล้ว รถตู้อีกสิบหกคันที่เหลือยังคงจอดอยู่ที่บริษัทโลจิสติกส์ของเขา
เฉินซินตอบรับและรีบจัดการเรื่องนี้ทันที
หลินเจียอินยังคงเงียบและนั่งอยู่หลังโต๊ะอย่างเงียบ ๆ ส่วนเฝิงเยี่ยนหงเดินไปและกระซิบบางอย่างข้างหูของเธอ
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ หลินเจียอินก็เงยหน้าขึ้นมองเจียงเสี่ยวไป๋เป็นครั้งคราว
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ยินสิ่งที่เฝิงเยี่ยนหงพูด แต่รู้สึกผิดอย่างอธิบายไม่ถูกทุกครั้งที่หลินเจียอินมองเขา
“ป่าป๊าคะ คุณน้าคนสวยพวกนี้มาทำอะไรที่นี่คะ ? ”
ในขณะนี้ เด็กน้อยถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา
เจียงเสี่ยวไป๋พูดไม่ออกชั่วขณะ เด็กน้อยน่ารัก แต่บางครั้งเธอก็เปิดเผยเรื่องโดยไม่ได้ตั้งใจ
“พวกคุณน้าเป็นพนักงานใหม่ที่มารายงานตัว และอีกสักพักก็จะไปทำงานอีกที่แล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายให้เจียงชานฟังและพูดกับพนักงานหญิงอย่างรวดเร็วว่า “พวกคุณทุกคนรออยู่ข้างนอกออฟฟิศสักครู่นะ เมื่อรถมาถึงก็ขึ้นรถได้เลย แล้วผมจะพาคุณไปที่ทำงาน”
“ค่ะ ! ” พนักงานหญิงหลายคนตอบรับแล้วเดินออกไป
บางคนยังไม่ยอมขยับและถามว่า “ผู้ช่วยเจียง เราจะไปทำงานที่ไหน ? ”
“อยู่ในเมืองหรือที่อื่น ? ”
“แล้วเราจะทำงานประเภทไหน ? ”