ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 505 : ไม่จำเป็นต้องหารือต่อ
ตอนที่ 505 : ไม่จำเป็นต้องหารือต่อ
ในห้องทำงานของโรงงานเมล็ดแตงโมจินเคอ เจียงเสี่ยวไป๋พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกับครอบครัวของน้องชายเขา จากนั้นก็คุยเรื่องงานกันอีกสักพัก
ตอนนี้โรงงานเมล็ดแตงโมจินเคอกำลังอยู่ในทิศทางที่มั่นคงแล้ว และหลัวเจาตี้ก็ได้จัดการอย่างเป็นระบบระเบียบเช่นเดียวกัน ดังนั้นภายในโรงงานจึงไม่มีปัญหาอะไร
และเจียงเสี่ยวไป๋ก็อธิบายเรื่องก่อตั้งเจียงเจียกรุ๊ปให้พวกเขาฟัง
ในการประชุมเตรียมการก่อตั้งเจียงเจียกรุ๊ปครั้งล่าสุดนี้ เจียงเสี่ยวเฟิงและหลัวเจาตี้ไม่ได้เข้าร่วม เนื่องจากพวกเขาอยู่ในเจี้ยนหยาง
อย่างไรก็ตาม เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงมีตำแหน่งว่างให้แก่ทั้งสองในบอร์ดผู้บริหารระดับสูง
แม้ว่าอำนาจที่แท้จริงของเจียงเสี่ยวเฟิงจะทรงพลังแค่ไหน แต่ในฐานะน้องชายเพียงคนเดียวที่ทำงานแล้ว เจียงเสี่ยวเฟิงยังคงได้ตำแหน่งที่เขาสมควรได้รับ
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “อีกไม่นานก็จะถึงช่วงสิ้นปีแล้ว พวกนายควรจัดการงานทุกอย่างเอาไว้ล่วงหน้า เจียงเจียกรุ๊ปจะได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 เดือน 12 พวกนายสองคนสามีภรรยาควรกลับไปร่วมพิธีจัดตั้งสักหน่อย”
เจียงเสี่ยวเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย
หลัวเจาตี้พูดว่า “พี่ ถึงพี่จะไม่พูด แต่ฉันก็จะกลับไปวันที่ 12 เหมือนกัน เพราะมันคือวันเกิดของพี่สะใภ้ หลายปีที่ผ่านมานี้… ”
พูดไปได้ครึ่งเดียว จู่ ๆ เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาจึงหยุดพูด
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าเธอหยุดพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด เขาจึงพูดว่า “ที่ผ่านมาเธอเป็นคนต้มบะหมี่อายุยืนให้กับพี่สะใภ้ของเธอได้กินในวันเกิด ในขณะที่ฉันไม่เคยได้สนใจเจียอินเลย ฉันรู้สึกผิดกับเรื่องราวที่ผ่านมา แต่ยังโชคดีที่เจียอินมีเธอ”
หลัวเจาตี้ได้ยินแบบนั้นจึงรีบพูดขึ้นว่า ‘’พี่ นั่นมันเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ใช่ มันเป็นอดีตไปแล้ว ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ ลืมมันไปเถอะ”
หลัวเจาตี้กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเรากลับไปในวันที่ 11 กลับบ้านก่อน เพื่อไปหาพ่อแม่และถิงถิง”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “วันที่ 10-11 ก็ได้ เลือกเวลาที่ตัวเองสะดวกแล้วกัน”
หลังจากตกลงกับเจียงเสี่ยวเฟิงและหลัวเจาตี้แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงขอตัวไปเยี่ยมชมโรงงานอาหารกระป๋อง โรงงานผลิตเยลลี่ และโรงงานเนื้อแปรรูปที่อยู่ติดกัน
คนที่รับผิดชอบงานก่อสร้างของที่นี่ในตอนนี้มีชื่อว่าหลินฉือ เจียงเสี่ยวไป๋เคยพบกับเขาหลายครั้งก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนค่อนข้างซื่อสัตย์ และความสามารถของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าหลี่เฉิงหรูเลย
เมื่อทั้งสองพบกัน หลินฉือรายงานความคืบหน้าการก่อสร้างของโรงงานทั้งสามแห่ง ส่วนเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไรมากนัก เขาเพียงให้รายละเอียดบางส่วนเท่านั้น จากนั้นก็ขอตัวกลับไป
เขากลับไปถึงบ้านแม่ยายค่อนข้างเร็ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มเตรียมอาหารเย็นตลอดทั้งบ่าย
หลิวอี้ถิงกล่าวว่า “แม่จะหาคนแบบลูกได้จากที่ไหนอีก ? พอมาที่นี่ก็รับบททำครัวแทนทุกอย่าง ลูกไปพักผ่อนได้แล้ว เดี๋ยวแม่ทำเอง”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “แม่ครับ ปล่อยให้ผมทำเถอะ คราวนี้ผมจะไปเจียงเฉิงหลายวัน ถ้าผมไม่อยู่หลายวัน เจียอินคงจะคิดถึงอาหารที่ผมทำแน่ ๆ”
ได้ยินแล้ว หลินเจียอินก็หน้าแดงด้วยความเขิน แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นสะบัดหน้าหนี “คุณกำลังพูดเรื่องอะไรต่อหน้าแม่น่ะ ? ใครคิดถึงอาหารของคุณ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะกับท่าทีร้อนตัวของภรรยา “ครับ ๆ ไม่คิดถึงก็ไม่คิดถึง ! ”
เขาหันกลับมา แล้วพูดว่า “ไม่รู้ว่าปากไม่ตรงกับใจหรือเปล่า ! ”
หลินเจียอินยิ่งเขินอายมากขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เธอพูดว่า “รีบทำอาหารของคุณเร็ว ๆ ! ”
พูดอย่างนั้นแล้ว เธอก็ทำเป็นไม่สนใจเขา เพื่อป้องกันไม่ให้เขายิ่งพูดจาไร้สาระไปมากกว่านี้
“รับคำสั่งภรรยา ผมจะไปทำอาหารต่อแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้มขี้เล่นและทำอาหารต่อ
แม้ว่าหลิวอี้ถิงจะส่ายหัวในขณะที่ดูทั้งสองคนพูดหยอกล้อกัน แต่เธอก็รู้สึกมีความสุขในใจ
ยิ่งทั้งสองคนเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองดีแค่ไหน !
เธอเลิกสนใจและไปเล่นกับชานชานแทน
……
ทางที่ว่าการอำเภอเจี้ยนหยาง หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋ออกจากห้องทำงานของหลินต้าเหว่ยแล้ว หลินต้าเหว่ยก็ขอให้หลี่ซิ่งฮวาแจ้งรองนายอำเภอหลี่กังและสมาชิกในทีมคนอื่นไปที่ห้องประชุมเพื่อหารือกัน
หลี่ซิงฮวารีบแจ้งให้ทุกคนทราบอย่างรวดเร็วและรายงานว่า “นายอำเภอหลิน ห้องประชุมจะพร้อมในอีก 10 นาทีครับ”
หลินต้าเหว่ยพยักหน้า เขาสูบบุหรี่แล้วเดินไปที่ห้องประชุม
เมื่อเขามาถึง รองนายอำเภอหลี่กัง รองนายอำเภอราวซุ่นชิง เฉิงสิงเจีย สีเจิ้งเหว่ย และคนอื่นล้วนอยู่ที่นั่นด้วย
หลินต้าเหว่ยนั่งเก้าอี้แล้วพูดว่า “การประชุมครั้งนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการทำสัญญาเหมากิจการโรงเบียร์ซานเฉิงกับเจียงเสี่ยวไป๋ ซึ่งเราได้พูดคุยกันครั้งที่แล้ว และขอให้เขาช่วยพัฒนาหมู่บ้านต้าชิ่ง เพื่อทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านต้าชิ่งร่ำรวยขึ้น”
หลี่กังพบกับเจียงเสี่ยวไป๋นอกห้องทำงานของหลินต้าเหว่ย ทันทีที่เขาได้ยินสิ่งนี้ เขาก็พูดว่า “นายอำเภอหลิน คุณคุยกับเจียงเสี่ยวไป๋แล้วหรือยัง ? ”
หลินต้าเหว่ยส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ยัง แต่เขาทำให้ฉันมีปัญหาหนักใจ”
หลี่กังและคนอื่นตกตะลึงและมองเขาด้วยความประหลาดใจ
เฉิงสิงเจียจึงถามว่า “นายอำเภอหลิน เจียงเสี่ยวไป๋เป็นลูกเขยของคุณ เขาจะทำให้คุณลำบากใจได้อย่างไร ? ”
ราวซุ่นชิงยังกล่าวอีกว่า “ถูกต้อง คุณบอกมาเถอะว่าคุยได้ผลว่าอย่างไรบ้าง ? มีวิธีใดบ้างที่เขาจะทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านต้าชิ่งร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว”
หลินต้าเหว่ยยิ้มอย่างขมขื่นและเล่าถึงบทสนทนาทั้งหมดระหว่างเขากับเจียงเสี่ยวไป๋
หลี่กัง ราวซุ่นชิง และเฉิงสิงเจียยิ่งฟังก็ยิ่งตกตะลึง
พวกเขาคิดไปถึงข้อสรุปต่าง ๆ แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะเสนอให้แลกเปลี่ยนด้วยโรงเบียร์ซานเฉิง ทั้งยังบอกอีกว่าสิ่งหนึ่งแลกกับสิ่งหนึ่งนั้นยุติธรรม
เฉิงสิงเจียกล่าวว่า “หากยังไม่พูดถึงประเด็นที่โรงเบียร์ซานเฉิงเป็นรัฐวิสาหกิจและยังไม่พูดถึงว่าเราจะแลกเปลี่ยนกับเขาได้หรือไม่ จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะสร้างโรงงานอะไรในหมู่บ้านต้าชิ่ง แล้วเราจะตอบรับคำขอของเขาได้อย่างไร ? ”
ราวซุ่นชิงยังกล่าวอีกว่า “ใช่ หรือจะให้เราเดิมพันว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ในหมู่บ้านต้าชิ่งได้หรือไม่งั้นหรือ ? ”
หลี่กังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า”เมื่อพิจารณาจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เจียงเสี่ยวไป๋เคยทำมา เขาคงมีวิธีแก้ปัญหา ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่พูดเรื่องไร้สาระอย่างแน่นอน”
เฉิงสิงเจียกล่าวว่า “รองนายอำเภอหลี่ สมาชิกทุกคนในทีมของเรารับรู้ถึงความสามารถของเจียงเสี่ยวไป๋ แต่ถ้ามีวิธีใดที่เขาสามารถคิดได้ เขาก็ควรอธิบายออกมา ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะตัดสินใจได้อย่างไร ! ”
หลี่กังกล่าวว่า “เขาบอกว่าจะนำผลิตภัณฑ์กลับมาให้เราดูหลังกลับจากเจียงเฉิงไม่ใช่หรือ ? งั้นเราก็รอดูผลิตภัณฑ์ของเขาก่อน ค่อยตัดสินใจอีกที”
เฉิงสิงเจียและราวซุ่นชิงต่างพยักหน้า
หลินต้าเหว่ยมองไปที่สีเจิ้งเหว่ยที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรเลยในก่อนนี้ และพูดว่า “รองนายอำเภอซี คุณคิดอย่างไร”
สีเจิ้งเหว่ยยืดตัวขึ้นแล้วกล่าวว่า “เงื่อนไขที่เขาเสนอนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ผมจึงคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องประชุมต่อแล้ว”
หลี่กังเหลือบมองสีเจิ้งเหว่ย แล้วพูดว่า “รองนายอำเภอสี จุดประสงค์ของการประชุมคือเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ คุณพูดปิดทางมาแบบนี้แล้ว งั้นเราจะหารือกันได้อย่างไร ? ”
สีเจิ้งเหว่ยเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุดในบรรดารองนายอำเภอ เขาอายุเกือบ 60 ปี ใกล้จะเกษียณจากตำแหน่งแล้ว
เขามองไปที่หลินต้าเหว่ยและรองนายอำเภอคนอื่น แล้วพูดว่า “พวกคุณอย่าลืมว่าเจียงเสี่ยวไป๋เสนอให้มอบโรงเบียร์ซานเฉิงให้กับเขา”
“โรงเบียร์ซานเฉิงเป็นรัฐวิสาหกิจ ผมขอถามพวกคุณหน่อย พวกคุณจะมอบมันให้เขาได้อย่างไร ? ”
หลี่กังกล่าวว่า “นี่เป็นปัญหาที่ยากจริง ๆ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าหากโครงการของเจียงเสี่ยวไป๋ดีจริง ๆ เราก็อาจจะมีความยืดหยุ่นในเรื่องนี้ได้เช่นกัน”
สีเจิ้งเหว่ยทำเสียงไม่พอใจ และพูดโพล่งออกไปว่า “เราจะจัดการกับมันอย่างยืดหยุ่นได้อย่างไร เราจะปล่อยให้ทรัพย์สินของรัฐสูญหายไปหรือ ? ”
เมื่อเขาพูดแบบนี้ หลี่กัง ราวซุ่นชิง และเฉิงสิงเจียต่างก็พูดไม่ออก
ไม่มีใครสามารถรับผิดชอบการสูญเสียทรัพย์สินของรัฐได้
แม้แต่หลินต้าเหว่ยก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ท้ายที่สุดแล้วเจียงเสี่ยวไป๋ยังคงเป็นลูกเขยของเขา
หลินต้าเหว่ยแอบถอนหายใจ เกรงว่าเขาจะไม่สามารถพูดเรื่องนี้ได้อีกแล้ว !