ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 507 : พบกับหลินเจียจวินอีกครั้ง
ตอนที่ 507 : พบกับหลินเจียจวินอีกครั้ง
หลินต้าเหว่ยอยากจะพูดออกไปตามตรงว่า ก็ลูกนั่นแหละที่ทำให้พ่อมีปัญหาและเกือบจะต้องล้มการประชุมกลางคัน แต่หลังจากฟังคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็ยิ้มอ่อน “กินข้าวก่อน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยุดถาม เขาวางจานอาหารในมือลงและกลับไปที่ห้องครัวต่อ เพื่อเสิร์ฟอาหารจานต่อไป
หลินต้าเหว่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าจู่ ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ก็หยุดถาม
เดิมทีเขาคิดว่าเจียงเสี่ยวไป๋กังวลเกี่ยวกับผลการประชุม แต่เขาไม่คิดว่าเสี่ยวไป๋จะไม่ถามต่อไม่พอ แต่เขายังดูเหมือนจะไม่สนใจอีกด้วย
สิ่งนี้ทำให้เขากังวลเกี่ยวกับกำไรและการขาดทุนอีกครั้ง เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถเข้าใจความคิดของลูกเขยได้เลย
เจียงเสี่ยวไป๋เตรียมอาหารเย็นอย่างสมบูรณ์ วันนี้เขาทำเมนูทั้งไก่ผัดเผ็ด หัวปลาราดพริก หูหมูผัดเผ็ด ฯลฯ ซึ่งเป็นอาหารจานโปรดของหลินต้าเหว่ยทั้งนั้น
ด้วยมื้ออาหารที่พร้อมพรั่งทั้งเหล้าเหมาไถชั้นดีและอาหารดี ๆ พ่อตาและลูกเขยจึงดื่มด้วยกันในขณะที่ทานอาหารไปด้วย
แม้ว่าจะมีเหล้าเหมาไถจำนวนมากในบ้านของหลินต้าเหว่ย แต่เขามักจะนิยมดื่มเหล้าข้าวโพดเจี้ยนหยางมากกว่า
ครั้งนี้เขายังคงดื่มเหล้าข้าวโพดเจี้ยนหยางที่ผลิตในปี 1980
หลังจากเทเหล้า หลินต้าเหว่ยก็กล่าวว่า “พ่อตกหลุมพรางของลูกแล้วสินะ ลูกซื้อเหล้าข้าวโพดเจี้ยนหยางปี 1980 ไปหมดแล้ว และนี่เป็นขวดสุดท้ายที่พ่อมี
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ “ตอนนี้ของปี 1980 ไม่เหลือแล้วครับ แต่เหล้าปี 1981 ในโกดังยังมีอีกเยอะ คราวที่แล้วผมซื้อไปแค่ 5,000 ขวด น่าจะเหลืออีกกว่า 10,000 ขวดนะครับ”
หลินต้าเหว่ยกล่าวว่า “ไม่ได้ ครั้งหน้าถ้าลูกมาที่นี่ ช่วยนำเหล้าที่ผลิตในปี 1980 มาให้พ่อสักสองสามลัง”
เจียงเสี่ยวไป๋แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและพูดว่า “พ่อครับ ทำไมพ่อไม่ไปทักทายโรงกลั่นเหล้า แล้วบอกให้พวกเขาขายเหล้าข้าวโพดที่ผลิตในปี 1981 ให้ผมอีกสักหนึ่งหมื่นขวดล่ะ หรือไม่ก็ขายให้ผมทั้งหมดเลยก็ได้”
หลินต้าเหว่ยกลอกตาใส่ลูกเขยของตนเอง เจ้าเด็กคนนี้ ฉันบอกให้เขาเอาเหล้าข้าวโพดปี 1980 มาให้สัก 2-3 ลัง เขาไม่ยอมพูดอะไร แต่กลับคิดอยากจะกว้านซื้อเหล้าข้าวโพดของปี 1981 ที่เหลือในโกดังไปจนหมดอีก
ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงอยากสะสมเหล้าข้าวโพดไว้มากมายขนาดนี้ ?
เขาพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “เอาล่ะ วันหลังพ่อจะลองคุยกับผู้อำนวยการจ้าว ถ้าเขาตกลงก็ขายทั้งหมดให้ลูก”
เจียงเสี่ยวไป๋ดีใจมาก “ผมซื้อมาไว้ให้พ่อนั่นแหละ ปกติผมไม่ดื่มเหล้า”
หลินต้าเหว่ยตกใจเล็กน้อย จึงพูดว่า “พ่อชักจะแปลกใจแล้ว ลูกไม่ค่อยดื่ม แต่ทำไมถึงซื้อเหล้าข้าวโพดเก็บไว้มากมายขนาดนั้น ? ”
หลินเจียอินพูดจากด้านข้างว่า “พ่อคะ เสี่ยวไป๋เขาบอกว่าในอนาคต มูลค่าของเหล้าจะเพิ่มขึ้น แต่หนูไม่รู้ว่ามันจะจริงไหม ? ”
หลินต้าเหว่ยพูดด้วยความประหลาดใจว่า “มูลค่าของเหล้าจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ? ”
หลินเจียอินกล่าวว่า “เขาบอกว่าในอนาคต เหล้าเหมาไถสามารถขายได้ในราคาขวดละหลายร้อยหรือหลายพันหยวน ตอนนี้เราเปิดทั้งร้านกุ้งอบน้ำมัน ร้านหัวปลาหม้อไฟ ร้านข้าวต้มหัวปลา แต่เรากลับไม่ขายเหล้าเหมาไถในร้านเลย เหล้าเหมาไถที่เขาซื้อไปทั้งหมดถูกนำไปเก็บที่ห้องใต้ดิน”
หลินต้าเหว่ยและหลิวอี้ถิงต่างก็มองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจ เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อเหล้าเหมาไถไว้มากมาย แต่กลับเอาไปเก็บสะสมไว้ที่ห้องใต้ดินงั้นหรือ ?
ที่จริงหลินเจียอินยังพูดได้ไม่หมด
เพราะร้านอาหารของเจียงเสี่ยวไป๋ไม่เพียงแต่ไม่ขายเหล้าเหมาไถเท่านั้น แต่ปัจจุบันในเมืองชิงโจวมีเหล้าเหมาไถเหลืออยู่น้อยมาก
เพราะตราบใดที่มีเหล้าเหมาไถวางขาย คนของเจียงเสี่ยวไป๋ก็จะจัดการไปกว้านซื้อเหล้าเหมาไถทั้งหมดมาเก็บไว้ทันที
และมีแค่ตอนเลี้ยงต้อนรับผู้นำเท่านั้น เขาจึงจะนำเหล้าเหมาไถออกไปให้ความบันเทิงแก่แขก หากเป็นตอนปกติ ต่อให้พวกผู้นำอยากดื่มก็หาซื้อไม่ได้
เมื่อเห็นพ่อตาและแม่ยายจ้องมองมาที่ตัวเอง เจียงเสี่ยวไป๋จึงพูดว่า “ยิ่งเราเก็บเหล้าเหมาไถไว้นานเท่าไร ตัวเหล้าก็จะยิ่งมีกลิ่นหอมมากขึ้นเท่านั้น และในอนาคต มูลค่าของเหล้าเหมาไถจะเพิ่มขึ้นตามอายุของมัน”
หลังจากได้ยินแบบนี้ หลินต้าเหว่ยจึงเกิดความจะซื้อเหล้าหมาไถมาสะสมไว้ด้วย
ระหว่างทานข้าวเย็น เขาคุยกับเจียงเสี่ยวไป๋เกี่ยวกับการสะสมเหล้าเหมาไถ
พอทานข้าวเสร็จ หลินต้าเหว่ยได้ชวนเจียงเสี่ยวไป๋ออกไปเดินย่อยและสูบบุหรี่ข้างนอก
จุดบุหรี่แล้ว หลินต้าเหว่ยได้กล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ ลูกบอกว่าจะตั้งโรงงานในหมู่บ้านต้าชิ่ง ลูกวางแผนที่จะตั้งโรงงานประเภทไหน ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวหน้ายิ้มว่า “พ่อครับ ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ารอจนกว่าผมจะกลับมาจากเจียงเฉิง”
หลินต้าเหว่ยเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “เปิดเผยสักหน่อยไม่ได้เหรอ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เหลือบมองพ่อตาของเขาแล้วพูดว่า “ทำไมล่ะครับ ? หรือพ่อถูกต่อต้านในระหว่างการประชุม ? ”
หลินต้าเหว่ยสะบัดหน้าหนีและพูดว่า “ไม่มีการต่อต้าน แผนที่ลูกพูดถึงได้รับการอนุมัติไปแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “แล้วทำไมพ่อถึงกังวลล่ะ ? รอจนกว่าผมจะกลับมาจากเจียงเฉิง รับรองเลยว่าผมจะทำให้พ่อพอใจแน่นอน”
เมื่อหลินต้าเหว่ยได้ยินที่เจียงเสี่ยวไป๋พูด เขาไม่รู้ว่าจะถามต่อไปอย่างไร
เขาเองก็หมดความสนใจจะพูดแล้ว เขาสูบบุหรี่เสร็จและกลับบ้านด้วยความหงุดหงิดใจ
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋เข้าไปในบ้าน เขาก็โทรหาหลินเจียจวิน เพื่อแจ้งให้ทราบถึงกำหนดการเดินทางของเขา
เมื่อรู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋อยู่เจี้ยนหยาง หลังจากที่หลินเจียจวินคุยกับเจียงเสี่ยวไป๋ เสร็จแล้ว เขาจึงคุยกับหลินต้าเหว่ยและหลินเจียอินอยู่พักหนึ่งก่อนจะวางสายไป
หลังจากนั้น ทั้งครอบครัวก็เข้านอน
เช้าวันรุ่งขึ้น เจียงเสี่ยวไป๋พาเจียงชานออกเดินทางสู่เจียงเฉิง
ทั้งสองยังคงพักที่หวงโจวหนึ่งคืนและมาถึงเกสท์เฮาส์หงซานตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น
“ฮ่าฮ่า ในที่สุดนายก็มาถึงที่นี่ ! ”
หลินเจียจวินดูมีความสุขมากที่ได้พบเจียงเสี่ยวไป๋ เขาเข้าสวมกอดทันทีที่ทั้งพบหน้ากัน
เจียงเสี่ยวไป๋แกล้งพูดด้วยสีหน้าขยะแขยงว่า “ผู้ชายตัวโตอย่างเรา ๆ ไม่ควรสวมกอดกันอย่างโจ่งแจ้งแบบนี้”
หลินเจียจวินพูดด้วยความไม่พอใจว่า “นี่เรียกว่าความหลงใหล อีกอย่างนายกับฉันก็โตแล้ว ฉันไม่ได้กอดกับผู้หญิงนี่ จริงไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กลอกตา นี่มันเทียบกันได้ด้วยเหรอ ?
เขาคร้านจะเถียงแล้ว จึงพูดว่า “พี่บอกว่าพี่ยุ่งมากไม่ใช่เหรอ ? แล้วทำไมพี่ยังมีเวลามารอผมอยู่ที่เกสท์เฮาส์ล่ะ”
หลินเจียจวินมุ่ยปาก “ใครบอกว่าฉันกำลังรอนาย ฉันกำลังรอชานชานต่างหากล่ะ”
จากนั้น เขาก็พูดกับเจียงชานว่า “ชานชาน หนูชอบลูกสุนัขที่ลุงรองมอบให้เมื่อครั้งที่แล้วหรือเปล่า ? มันโตขึ้นมากใช่ไหม ? ”
เจียงชานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มันชื่อเจียงซือค่ะ และตอนนี้มันก็ตัวใหญ่มาก ! ” ขณะที่พูด เธอก็ทำท่าทางกะขนาดตัวของมันให้เขาดู
“ซอมบี้หรือ ? (ภาษาจีนออกเสียงว่า เจียงฉือ)” หลินเจียจวินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “ทำไมถึงตั้งชื่อมันแบบนั้น ป่าป๊าของหนูเป็นคนตั้งชื่อมันใช่ไหม ? ”
เจียงชานโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “หนูตั้งชื่อนี้เอง แซ่ของเจียงซือคือ ‘เจียง’ ชื่อของมันคือ ‘ซือ’ ซึ่งแปลว่าสิงโต มันคือเจียงซือ ! ไม่ใช่ซอมบี้ ! ”
หลินเจียจวินได้ยินจึงโล่งใจ “คำว่า ‘ซือ’ ที่มาจากสิงโตนี่ ดี นี่เป็นชื่อที่ดี สิงโตสง่างาม ! ”
“แน่นอนค่ะ ! ” เจียงชานพูดอย่างภาคภูมิใจ
หลังจากพูดคุยกันได้สักพัก หลินเจียจวินก็พาเจียงเสี่ยวไป๋และเจียงชานไปที่ห้องที่เขาเปิดรอทั้งสองไว้แล้ว
มันยังคงเป็นห้องเดียวกันกับครั้งที่แล้ว
หลังจากที่ทั้งสองอาบน้ำเสร็จแล้ว หลินเจียจวินก็พูดว่า “ออกไปกินข้าวกันไหม ? ”
“คุณลุงคะ เราจะกินอะไรกันดี ? ”
หลินเจียจวินยิ้ม “ก็ต้องไปกินปูนึ่งอยู่แล้ว ครั้งนี้เราไปกินที่ร้านอาหารของเราเอง”
“ค่ะ ! ” เจียงชานขานรับอย่างมีความสุข
พวกเขาทั้งสามออกจากเกสท์เฮาส์หงซาน และหลินเจียจวินยังคงจับมือของเจียงชาน แล้วเดินไปข้างหน้า
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “ไม่ต้องขับรถไปเหรอ ? ”
หลินเจียจวินกล่าวว่า “ไม่ต้อง มีร้านของเราตั้งอยู่บนถนนปาอี อยู่ไม่ไกลมาก ใช้เวลาเดินไปที่นั่นเพียงไม่กี่นาที”
ท้องฟ้าในเดือน 11 นี้ แม้พระอาทิตย์จะอยู่บนฟ้า แต่อากาศไม่ร้อนเลย
ทั้งสามคนเดินคุยกัน และไม่นาน พวกเขาก็มาถึงที่ร้าน
เจียงเสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าร้านซีฟู๊ดกว้างขวางและสว่างไสว โดยมีโต๊ะลูกค้าหลายโต๊ะนั่งอยู่ที่นั่น บริกรทุกคนสวมเครื่องแบบทหารเกษียณอายุประเภท 65 (ไม่มีดาวสีแดงและตราปกเสื้อ) ทั้งชายและหญิงสวมชุดทหาร มีเข็มขัดคาดเอว พนักงานเสิร์ฟชายมองดูเขาอย่างร่าเริง และบริกรทุกคนก็ให้บริการลูกค้าดีมาก
“คนที่พี่จ้างมาก็ไม่เลว ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดชม
หลินเจียจวินหัวเราะ “พวกเขาเคยเป็นทหารใต้บังคับบัญชาของฉัน ถึงพวกเขาจะเปลี่ยนงานแล้ว พวกเขาก็ยังอยากติดตามฉันอยู่”
ในขณะที่พูด เจียงเสี่ยวไป๋และเจียงชานก็ถูกเชิญเข้าไปในร้าน