ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 51 :ไม่อยากโดดเด่นในหมู่พวกพ้อง
ตอนที่ 51 :ไม่อยากโดดเด่นในหมู่พวกพ้อง
ภายในภัตตาคารประจำเมือง
“น้องเจียง นายช่างมีน้ำใจจริง ๆ ”
ฟู่เต๋อเจิ้งมองดูขวดใส่ซอสสูตรลับที่เจียงเสี่ยวไป๋นำมาให้บนโต๊ะพลางพูดด้วยความทึ่ง
อาหารของภัตตาคารนี้อร่อยจริง ๆ หลังจากเอาเนื้อแกะสไลด์ในหม้อมาจุ่มลงในซอสสูตรลับ มันช่วยเพิ่มรสชาติของเนื้อแกะให้อร่อยยิ่งขึ้นไปหลายระดับ
ทำให้เนื้อแกะสไลด์กลายเป็นอาหารอันโอชะ
“หากท่านประธานชอบ เอาครึ่งขวดที่เหลือกลับไปก่อน แล้วผมจะเอามาให้อีกภายหลัง” เจียงเสี่ยวไป๋พูด
สำหรับซอสสูตรลับที่เขานำมา เจียงเสี่ยวไป๋ขอถ้วยเล็กสามใบจากบริกร ตักซอสสูตรลับสองช้อนเต็มจากขวดลงในถ้วยใบเล็ก จากนั้นตักซุปเนื้อแกะหนึ่งช้อนเล็กใส่ลงไป แล้วขอให้บริกรหั่นต้นหอมซอยบาง ๆ ใส่ชาม ทำเป็นน้ำจิ้ม
ฟู่เต๋อเจิ้งรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งและกล่าวว่า: “งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ ฉันชอบรสชาตินี้จริง ๆ ”
ขณะที่เขาพูด เขาก็รีบปิดฝาขวดทันที ราวกับว่ามันคือของล้ำค่า
เซี่ยงเฉียนจิ้นพูดติดตลก “ท่านประธาน อย่าเพิ่งรีบปิดครับ ผมยังอยากขอเพิ่มอีกช้อน”
ฟู่เต๋อเจิ้งโบกมือปฏิเสธและพูดอย่างรังเกียจ “ไป ไป ถ้านายอยากกินก็ไปขอที่น้องเจียง อย่ามาแย่งที่ฉัน”
เจียงเสี่ยวไป๋ที่นั่งดูอยู่ด้านข้างยิ้มรับ แล้วเทเหล้าเหมาไถให้พวกเขา
พวกเขาดื่มกินอย่างอิ่มหนำ พูดคุยกันพอประมาณแล้ว
ฟู่เต๋อเจิ้งเองก็บอกถึงเหตุผลที่แท้จริงที่ต้องการพบเจียงเสี่ยวไป๋
ในช่วงต้นปี 1980 หลังรัฐบาลมีการประกาศใช้ “ระเบียบว่าด้วยการจดทะเบียนและการจัดการครัวเรือนอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมส่วนบุคคลในเขตเมือง” แล้ว ร้านแผงลอยของชาวเมืองที่ขายของใช้ประจำวันเช่นพวกเสื้อผ้า รองเท้า ขนม ฯลฯ จะไม่เพียงแต่ไม่อยู่ภายใต้เงาของการเก็งกำไรเท่านั้น แต่ทางรัฐบาลยังแสดงท่าทีสนับสนุนร้านค้าประเภทนี้อีกด้วย
และเมื่อฟู่เต๋อเจิ้งรู้ว่าชามและแก้วกระดาษแบบใช้แล้วทิ้งเป็นความคิดของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็มั่นใจว่าเจียงเสี่ยวไป๋นั้นเป็นคนมองการณ์ไกล มีวิสัยทัศน์ ยิ่งหลังจากได้กินผัดมันฝรั่งของเจียงเสี่ยวไป๋และได้ยินว่าธุรกิจของเขากำลังเฟื่องฟู เขาก็เริ่มสนใจในตัวเจียงเสี่ยวไป๋มากขึ้น
หลังจากทำความเข้าใจแล้ว เขาคิดว่าเขาน่าจะเขียนบทความเรื่องที่เจียงเสี่ยวไป๋สามารถนำมันฝรั่งลูกเล็กมารังสรรค์เมนูจนสามารถขายได้ในราคาตกชั่งละ 8 เหมาเพื่อเป็นต้นแบบของนวัตกรรมทางการตลาด นอกจากนี้ยังสามารถมีบทบาทในการหารือเกี่ยวกับการปฏิรูปเศรษฐกิจและนวัตกรรมในท้องถิ่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการยกระดับอุตสาหกรรมและเพิ่มมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์
หลังจากรู้เหตุผลแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็หัวเราะออกมา
ตามความเข้าใจของเขา เขารู้แต่แรกแล้วว่าฟู่เต๋อเจิ้งคงไม่อยากเจอพ่อค้าธรรมดาอย่างเขาแน่นอน
ฟู่เต๋อเจิ้งคงมีความคิดอะไรบางอย่าง
ต้องบอกเลยว่าในฐานะที่ฟู่เต๋อเจิ้งเป็นคนในแวดวงสำนักข่าว เขามีความหยั่งรู้สูงและเห็นความลึกซึ้งที่คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเจียงเสี่ยวไป๋ก็ปฏิเสธคำเชิญของฟู่เต๋อเจิ้งในการเขียนรายงานนี้อย่างสุภาพ
แม้ว่านโยบายของประเทศกำลังเปลี่ยนไป แต่เจียงเสี่ยวไป๋ยังไม่อยากโดดเด่นในหมู่พวกพ้อง
เขาต้องการแค่โฆษณา แต่ไม่ต้องการเป็นข่าว
การโฆษณาสามารถเปิดลู่ทางการขายผลิตภัณฑ์ของเขา และทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มหาศาล
แต่ข่าวมีแต่จะผลักดันเขาไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมเท่านั้น
ในฐานะที่เป็นคนสองชาติ เขารู้ว่าเมื่อใดควรรุกและเมื่อใดควรถอย
หลังจากแสดงความคิดของเขาอย่างเป็นมีเหตุมีผลต่อฟู่เต๋อเจิ้งอย่างสุภาพแล้ว แม้ว่าฟู่เต๋อเจิ้งจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่เขาก็มองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋อย่างชื่นชม
เป็นเรื่องยากที่คนหนุ่มสาวสมัยนี้จะมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้และรู้วิธีรุกและถอยอย่างมีชั้นเชิง
บุคคลเช่นนี้มีค่าควรแก่การคบค้าสมาคม
จากนั้น ทั้งสามก็พูดคุยกันอย่างออกรสระหว่างดื่มเหล้าเหมาไถ ในระหว่างนี้ เจียงเสี่ยวไป๋หาข้ออ้างเพื่อไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์
ทั้งหมดนี้ราคา 19 หยวน รวมเหล้าเหมาไถ 2 ขวดแล้ว
สำหรับเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ถือว่าราคาสูงอะไร แต่เงิน 19 หยวนสำหรับคนในยุคสมัยนี้คือเงินเดือนหนึ่งเดือนสำหรับคนงานส่วนใหญ่
หลังจากแยกทางกับฟู่เต๋อเจิ้งและเซี่ยงเฉียนจิ้นแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ปั่นจักรยานกลับบ้าน
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ไม่สามารถทำอาหารเย็นให้ภรรยาและลูกสาวกินได้ ในขณะที่ตัวเขาได้กินเนื้อและดื่มกินอย่างอิ่มหนำสำราญอยู่นอกบ้าน
“อืม กลับไปต้องชดเชยให้พวกเธอแล้ว”
เมื่อนึกถึงภรรยาและลูกสาวของเขา เจียงเสี่ยวไป๋จึงรีบปั่นจักรยานกลับบ้านอย่างรวดเร็ว
ทว่าเมื่อเขาไปถึงหน้าบ้าน เขาเห็นว่าประตูล็อคอยู่
ภรรยาและลูกสาวไม่อยู่บ้าน
เจียงเสี่ยวไป๋เป็นกังวล เขารีบหยุดรถและวิ่งไปที่บ้านพ่อแม่ของเขา
ประตูบ้านของเจียงไห่หยางเปิดอยู่ และเมื่อเจียงเสี่ยวไป๋วิ่งไปที่ประตู เขาก็เห็นพ่อแม่และน้อง ๆ ของเขาอยู่ที่นั่น
หลินเจียอินและเจียงชานก็อยู่ที่นั่นด้วย
เพียงแต่ตอนนี้หลินเจียอินกำลังร้องไห้ ส่วนใบหน้าเล็ก ๆ ของเจียงชานมีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่
ภรรยาและลูกสาวของเขาถูกรังแกมา
ใบหน้าของเจียงเสี่ยวไป๋มืดมน และในขณะเดียวกันเขาก็โทษตัวเอง ถ้าเขาไม่ได้ไปทานอาหารเย็นกับฟู่เต๋อเจิ้ง ถ้าเขาอยู่กับภรรยาและลูกสาว พวกเธอจะไม่ถูกรังแกอย่างแน่นอน
“มันเกิดอะไรขึ้น ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เดินจ้ำเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็วและถามหลินเจียอิน
“ป่าป๊า ลุงหลิวแกล้งหม่าม๊า”
ก่อนที่หลินเจียอินจะทันได้พูด เจียงชานเห็นเขากลับมาจึงวิ่งไปหาเจียงเสี่ยวไป๋แล้วร้องไห้
แกกล้าดียังไงมารังแกเมียฉัน ?
เจียงเสี่ยวไป๋โกรธเมื่อได้ยินลูกสาวพูด แต่เขารู้ว่าถ้าเขาถามลูกสาวคงไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน เขาจึงหันไปถามเจียงไห่หยางแทน “พ่อครับ มันเกิดอะไรขึ้น ? ”
เจียงไห่หยางถอนหายใจและเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเย็นให้เขาฟัง
ในหมู่บ้านเจียงวานมีบ้านเรือนหลายครัวเรือน บ้านของหลิวซือกั๋วและหลิวซือหมิงอยู่บนทางลาดลงเขาใกล้กับถนนลูกรัง ในขณะที่บ้านของเจียงไห่หยางอยู่บนเนินสูงสุดโดยห่างกันราว 400-500 เมตร
กว่าเจียงไห่หยางและคนอื่นจะรู้เรื่องนี้ หลินเจียอินได้ทะเลาะกับพี่น้องตระกูลหลิวแล้ว
ท้ายที่สุด เป็นเจียงไห่หยางและเจียงเสี่ยวเฟิงที่ไปด่าพี่น้องตระกูลหลิว และพาหลินเจียอินกับเจียงชานกลับมา
“คุณกับลูกรอผมอยู่ที่นี่ ผมจะไปหาเขา”
พี่น้องตระกูลหลิวกล้ามารังแกภรรยาของเขา เจียงเสี่ยวไป๋จะต้องไปคิดบัญชีกับพวกเขาอย่างสาสมแน่นอน
“จะไปมีเรื่องกันอีกทำไม ! ”
เจียงไห่หยางเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะไปหาหลิวซือกั๋วด้วยท่าทีโมโห เขารีบยืนขึ้นแล้วตะโกนไปที่ประตู
“พ่อครับ ผมจะไปคุยกับเขา”
เจียงเสี่ยวเฟิงกังวลว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะไปเผชิญหน้ากับคนตระกูลหลิวเพียงลำพัง ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นและเดินตามไป
“แม่ พ่อฝากดูเจียอินและคนอื่นด้วย เดี๋ยวฉันจะไปกับเสี่ยวเฟิง” เจียงไห่หยางพูดและเดินตามเขาออกไปที่ประตู
“ผมไปด้วย”
เจียงเสี่ยวเหลยรีบตามหลังเจียงไห่หยางและเจียงเสี่ยวเฟิงไป
พอเจียงเสี่ยวไป๋มาถึง บ้านของหลิวซือกั๋วก็ปิดประตูไปแล้ว
“ปัง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เตะประตูส่งเสียงดัง ทำให้ประตูสั่นกึกกึก
“ใครน่ะ ? ”
ภายในบ้าน หลิวซือกั๋วและจูเยี่ยนผิงภรรยาของเขากำลังสบถด่าทอหลินเจียอิน แต่แล้วพวกเขาก็ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเตะประตู ทั้งคู่ตกใจมาก
“หลิวซือกั๋ว เปิดประตูให้ฉัน”
เจียงเสี่ยวไป๋คำรามอยู่ข้างนอก
“เจียงเสี่ยวไป๋ ! ”
จูเยี่ยนผิงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้น
ภายนอกเธอเป็นคนแข็งแกร่งไม่ยอมใคร แต่ที่จริงแล้วเธอเป็นคนขี้ขลาด ดังนั้นตอนนี้เธอจึงกลัวมาก
หัวใจของหลิวซือกั๋วเต้นไม่เป็นจังหวะ แม้ว่าเขาจะเป็นคนเจ้าเล่ห์มากแผนการ แต่เขาก็ยังเป็นชาวนาคนหนึ่งที่ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องอื่นมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ามากนัก
เขาไม่ได้คาดหวังว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะบุกมาหาเขาถึงบ้านแบบนี้
เขารวบรวมสติและกระซิบอย่างไม่เต็มใจ “อย่ากลัวเลย น้องรองอยู่ข้างบ้านเรานี้เอง ถ้าต้องมีเรื่องกันขึ้นมา อย่างน้อยฝั่งเราก็มีฉันกับน้องรอง”
จากนั้น เขาหันไปตะโกนใส่ทางประตู “เจียงเสี่ยวไป๋ นายคิดจะทำอะไร ? ”