ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 521 : ไม่เจ้าเล่ห์ขี้โกง ไม่ใช่นักธุรกิจ
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 521 : ไม่เจ้าเล่ห์ขี้โกง ไม่ใช่นักธุรกิจ
ตอนที่ 521 : ไม่เจ้าเล่ห์ขี้โกง ไม่ใช่นักธุรกิจ
หลังจากพูดถึงประสบการณ์ในการทำร้านอาหารแล้ว หลินเจียจวินก็หันไปมองเจียงเสี่ยวไป๋แล้วถามว่า: “เรื่องโครงการนั้นที่หวังเคอเสนอให้นายไปก่อนหน้านี้ ทำไมนายถึงไม่ตอบรับล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กลับถามย้อนว่า “พี่คิดว่าผมควรตอบรับงั้นเหรอ ? ”
หลินเจียจวินคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า: “ถ้าเป็นไปตามที่เขาพูด ทำเลที่ตั้งของที่ดินตรงนั้นถือว่าดีมาก ถ้านายได้มันมา นายน่าจะสามารถทำเงินได้มากกว่าที่ชิงโจว”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ: “พูดตามตรง ผมเองก็สนใจที่ดินผืนนั้นเหมือนกัน แต่ก่อนปีใหม่นี้ ผมไม่มีเรี่ยวแรงพอจะไปทำโปรเจกต์ใหม่แล้วจริง ๆ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ผมกำลังพุ่งความสนใจไปที่ชิงโจว หากไม่ใช่เป็นเพราะมีพี่อยู่ที่เจียงเฉิง ผมก็คงไม่เริ่มธุรกิจที่นี่เร็วขนาดนี้”
หลินเจียจวินยิ้มอย่างภาคภูมิใจหลังจากได้ยินสิ่งนี้ “ฮ่าฮ่า ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าฉันสำคัญ ! ” หัวเราะจบ เขาก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แล้วนายไม่กังวลว่าจะพลาดโอกาสนี้เหรอ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างใจเย็นว่า “ไม่ต้องกังวล หวังเคอเป็นคนมีความทะเยอทะยาน ในเมื่อที่ดินอยู่ในมือของเขา และเขาก็อยากทำโครงการอาคารสูงของผม ถึงอย่างไรที่ดินผืนนั้นก็หนีผมไปไม่พ้นหรอก”
หลินเจียจวินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพูดด้วยความประหลาดใจ “เขาไม่ได้บอกว่าที่ดินผืนนั้นเป็นของเพื่อนเขาเหรอ ? ทำไมนายถึงบอกว่าที่ดินอยู่ในมือของเขาล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เหลือบมองหลินเจียจวินแล้วพูดว่า “พี่จวิน พี่ยังซื่อเกินไป ปกติเวลาคนเราไม่สะดวกพูดถึงตัวเอง เขาก็จะอ้างเพื่อนขึ้นมา……”
“แม่เจ้า ! ” หลินเจียจวินสบถออกมาอย่างอดไม่ได้
เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยขณะพูดต่ออีกว่า “ยิ่งกว่านั้น ต่อให้ที่ดินผืนที่หวังเคอกล่าวถึงจะไม่ได้อยู่ในมือของเขาในตอนนี้ แต่หลังจากที่ผมแสดงความตั้งใจที่จะร่วมมือ ที่ดินก็จะตกไปอยู่ในมือของเขาในไม่ช้า”
หลินเจียจวินมองเจียงเสี่ยวไป๋อย่างเหลือเชื่อและพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ที่นายจงใจบอกว่าไว้คิดหลังปีใหม่ นั่นเป็นเพราะนายต้องการให้เวลาเขาไปเตรียมการใช่ไหม ? ”
“นาย……นายนี่มันเจ้าเล่ห์จริง ๆ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงพูดอย่างใจเย็นว่า “นักธุรกิจไง ไม่เจ้าเล่ห์ขี้โกง ไม่เป็นนักธุรกิจ ! ”
หลินเจียจวินกระตุกมุมปากอย่างแรง “ยิ่งคุยกับนายมากเท่าไร ฉันยิ่งรู้สึกว่าสงครามการค้าน่ากลัวกว่าสงครามในสนามรบเสียอีก ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ใช่แล้ว ในสนามรบสามารถแบ่งแยกได้อย่างชัดเจนว่าใครคือมิตรคือศัตรู อย่างมากศัตรูก็จะแค่ฆ่าเราให้ตาย แต่สนามการค้าไม่ใช่สนามรบ มันล้ำลึกกว่านั้น คนที่ฆ่าพี่ไม่ได้มีเพียงแค่คู่ต่อสู้เท่านั้น แต่อาจยังรวมถึงตัวพี่เองด้วย”
หลินเจียจวินได้ยินดังนั้นก็ขับรถไปเงียบ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดว่า “ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าการไม่เกรงกลัวคนโง่หมายความว่าอย่างไร ต่อไปฉันจะต้องตั้งใจศึกษาด้านนี้ให้มากขึ้น”
ต่อมา เจียงเสี่ยวไป๋ได้เล่าเคล็ดลับทางธุรกิจมากมายให้หลินเจียจวินฟัง เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งสองได้ขับรถมาถึงบ้านพักของตระกูลหลิน
“ฉันไม่เข้าไปนะ ฉันจะออกไปทำธุระก่อน แล้วตอนบ่ายจะไปรับลุงโฮ่วกับจวิ้นเจี๋ยแล้วถึงจะกลับมา” หลังจากจอดรถแล้ว หลินเจียจวินก็กล่าว
“อืม พี่ไปทำธุระของพี่เถอะ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดแล้วก็ลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้านไป
มู่เสี่ยวหวานเห็นเขากลับมาคนเดียวจึงถามว่า “เหล่าซานล่ะ ? เขาไม่ได้กลับมาพร้อมกันหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ร้านอาหารยังมีงานอยู่บ้างครับ เขาไปหลังจากส่งผมแล้ว ตอนบ่ายเห็นบอกจะไปรับลุงโฮ่วแล้วถึงค่อยมา”
มู่เสี่ยวหวานพยักหน้าแล้วพูดว่า “พูดถึงแล้ว เหล่าซานเขาดูสงบขึ้นมากหลังจากทำงานกับเธอ เล่าหลินและฉันอยากจะขอบคุณเธอที่พาเขาไปทำธุรกิจด้วย ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีอะไรทำทั้งวัน ฉันและเหล่าหลินเป็นกังวลมาโดยตลอด แต่ก็ยากที่จะพูดให้เขาเข้าใจ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ป้าสะใภ้รองกังวลเกินไปแล้ว ที่จริงพี่จวินมีความสามารถสูงมาก ก่อนหน้านี้เขาแค่ยังไม่เจองานที่ใช่น่ะครับ”
มู่เสี่ยวหวานได้ยินก็รู้สึกสบายใจ เธอยิ้มและเชื้อเชิญให้เจียงเสี่ยวไป๋นั่งลงพักผ่อนก่อน
“ป่าป๊ากลับมาแล้วหรือ ! ”
เจียงชานที่กำลังเล่นอยู่กับหลินเจียลี่และหลินเจียหงเห็นเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว เธอก็รีบวิ่งมานั่งตักเขา พลางพูดด้วยความคิดถึง
หลินเจียลี่โกรธมากจนกัดฟัน
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มแล้วพูดว่า “อืม กลับมาแล้ว ลูกกำลังเล่นอะไรกับน้าเจียลี่หรือ ? ”
เจียงชานกล่าวว่า “หนูกำลังบอกน้าเจียลี่และน้าเจียหงว่าหนูแก้ปริศนาเก้าห่วงและเล่นรูบิคเป็น แต่น้าเจียลี่กับน้าเจียหงไม่เชื่อค่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “ก็แค่แก้เก้าห่วงปริศนากับรูบิคไม่ใช่หรือ ? ของเล่นเด็กน้อย ชานชานเล่นจนชำนาญนานแล้ว ไม่มีอะไรต้องอวดหรอก”
“ใช่ค่ะ ! ” หนูน้อยพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวเปลือก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่มว่า “หนูจะเล่นอันที่ยากกว่านี้แล้ว”
พูดจบ เขาก็หันกลับไปหาหลินเจียลี่อย่างภาคภูมิใจและพูดว่า “น้าเจียลี่ดูสิ ป่าป๊าก็บอกแล้วว่าหนูทำได้ แต่น้าก็ไม่เชื่อ ! ”
หลินเจียลี่ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ขนาดเธอยังไม่สามารถแก้เก้าห่วงปริศนาได้เลย แต่หลานสาวของเธอกลับแก้ปริศนาได้แล้ว
มันไม่ได้มีอะไรมากกว่าการบอกว่าหลานสาวของเธอฉลาดมาก
แต่ที่น่าโมโหคือเจียงเสี่ยวไป๋นั่นแหละ เขากล้าพูดได้อย่างไรว่ามันคือของเด็กเล่น !
เธอเป็นถึงนักศึกษามากพรสวรรค์แห่งมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง แต่กลับไม่สามารถแก้ปริศนาของเด็กเล่นได้ แบบนี้มันไม่ใช่คำด่าหรือไง ?
ไม่ได้ ฉันจะต้องไปซื้อเก้าห่วงปริศนามาเล่นแล้ว !
ฉันจะต้องแก้ปริศนาของมันให้ได้ !
หลินเจียลี่มองค้อนเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความโมโหและตัดสินใจอย่างเงียบ ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋หยอกล้อลูกสาวของเขาไปสักพัก เมื่อเห็นว่าเวลาใกล้จะจวนเจียนบ่ายสามแล้ว เขาจึงพูดว่า “ชานชาน ลูกไปเล่นกับน้าเจียลี่เถอะ เดี๋ยวพ่อจะไปทำอาหาร”
“ได้ค่ะ ! ”
หนูน้อยตอบรับเสียงใส เธอกระโดดฮึบลงมาจากตักของเจียงเสี่ยวไป๋แล้ววิ่งไปหาหลินเจียลี่
“น้าเจียลี่ พวกเรามาเล่นด้วยกันเถอะ ! ”
หลินเจียลี่โมโหแล้วจริง ๆ หลานสาวของเธอช่างใจร้ายเหลือเกิน ตอนมีพ่ออยู่ด้วยก็ไปเล่นกับพ่อ แต่พอพ่อไม่มีเวลาว่างก็มาหาเธอแทน
แต่ถึงแม้จะโกรธ แต่สุดท้ายเธอก็ทำใจระบายใส่หลานสาวสุดน่ารักของตนเองไม่ได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องเล่นเป็นเพื่อนหนูน้อย
เจียงเสี่ยวไป๋เดินไปยังห้องครัว แม่บ้านอู๋จึงถามว่า “ให้ป้าช่วยอะไรไหมคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ป้านอู๋พักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมทำเอง”
แม่บ้านอู๋พูดอย่างเกรงใจว่า “เช่นนั้นป้าคงต้องรบกวนคุณแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋เดินเข้าไปในห้องครัวแล้วนำวัตถุดิบที่ซื้อมาเมื่อเช้าไปล้างให้สะอาด จากนั้นก็เริ่มรังสรรค์เมนูอาหาร
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ
จนกระทั่งเวลาประมาณห้าโมงเย็น หลินจื้อหยวนและหลินจื้อเสวียกลับมาจากเลิกเรียน ทั้งสองเข้าไปทักทาหลินเจียลี่และเจียงชาน จากนั้นก็ไปเขียนการบ้านในห้องหนังสือ
พวกเขาเป็นเด็กที่ประพฤติตัวดีและไม่ต้องการให้ผู้ใหญ่กังวลเรื่องการเรียนของตนเอง
เวลาประมาณหกโมงเย็น หลินเจียปิงเลิกงานกลับมาบ้านก่อนใคร หลังจากนั้นไม่นาน หลินต้ากั๋วก็เลิกงานกลับมาบ้านเช่นกัน
เมื่อเขาเข้ามาในบ้านและเห็นเจียงชาน ใบหน้าของชายชราก็ประดับด้วยรอยยิ้มใจดี “ชานชานมาแล้วหรือ มาให้ตาอุ้มหน่อย ! ”
“คุณตารอง ! ”
หนูน้อยตะโกนเรียกเขาอย่างน่ารัก แล้ววิ่งเข้าไปให้หลินต้ากั๋วอุ้มอย่างรู้งาน
หลินต้ากั๋วกล่าวว่า “แล้วพ่อของหนูล่ะ ? ”
“ป่าป๊าทำอาหารอยู่ในครัว”
“อ่า ชานชานรู้ไหมว่าวันนี้พ่อของหนูทำของอร่อยอะไร ? ” หลินต้ากั๋วถามด้วยรอยยิ้ม
เจียงชานส่ายหน้า “ถึงอย่างไรอาหารที่ป่าป๊าทำก็ต้องเป็นของอร่อยอยู่แล้ว หนูเลยไม่ได้ถาม หากคุณตารองอยากรู้ หนูจะไปถามมาให้”
หลินต้ากั๋วได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะฮ่าฮ่า “ไม่ต้อง ไม่ต้อง ให้เขาทำไปเถอะ”
หลังจากแกล้งหนูน้อยเจียงชานไปสักพัก เขาก็หันไปถามมู่เสี่ยวหวาน “เสี่ยวซานล่ะ ? ไปรับเหล่าโฮ่วกับภรรยาแล้ว ? ”
มู่เสี่ยวหวานกล่าวว่า “เขามาส่งเสี่ยวไป๋ที่นี่ตอนประมาณบ่ายสองโมงกว่า ๆ แล้วบอกว่าจะกลับมาหลังจากรับพวกเหล่าโฮ่ว อีกเดี๋ยวคงใกล้จะมากันแล้วล่ะ ! ”
หลินต้ากั๋วพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “นับตั้งแต่ที่เขาเปิดร้านอาหาร เขาก็ดูมีความกระตือรือร้นขึ้นมาก”
เห็นได้ชัดว่าระยะนี้เขาค่อนข้างพอใจกับพฤติกรรมของลูกชายตนเอง
พูดจบ เขายังถามต่ออีกว่า “จริงสิ แล้วแผลที่หน้าผากของเขาดีขึ้นหรือยัง ? ”