ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 522 : เพื่อนเก่ามาแล้ว
ตอนที่ 522 : เพื่อนเก่ามาแล้ว
หลินต้ากั๋วถามถึงบาดแผลบนหน้าผากของหลินเจียจวิน หลินเจียหงจึงกล่าวว่า: “หน้าหนาขนาดนั้น เขาแค่เป็นแผลตื้น ๆ เองค่ะ ? ”
“อีกสองวันน่าจะหายแล้ว แผลแค่นั้นไม่ทำให้เป็นแผลเป็นหรอก”
มู่เสี่ยวหวานพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มีใครเขาว่าพี่สามเหมือนลูกกันบ้าง ? หากเขามีรอยแผลเป็นบนหน้าผาก แบบนี้เขาจะแต่งภรรยาได้อย่างไร ? ”
หลินเจียหงได้ยินดังนั้น เธอก็รีบพูดว่า “แม่ หนูไปดูก่อนนะว่าน้องเสี่ยวไป๋ทำเมนูอะไรบ้าง ? ”
หลินเจียจวินไม่ใช่คนเดียวที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่ยังรวมถึงตัวเธอเองด้วย
เธอกลัวว่าแม่จะลามมาถึงเธอด้วย
หลินต้ากั๋วและมู่เสี่ยวหวานมองหน้ากันก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
หลินเจียปิงกล่าวว่า “พ่อกับแม่อย่าไปถือสาสองคนนั้นเลย รอให้พวกเขาเที่ยวเล่นให้หนำใจแล้ว พวกเขาก็จะแต่งงานสร้างครอบครัวเอง”
มู่เสี่ยวหวานถอนหายใจออกมา “ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานไหม ต่างก็อายุ 30 กว่าปีกันแล้ว ลูกดูสิ ขนาดเสี่ยวไป๋เด็กกว่าพวกเขา แต่ตอนนี้เจียงชานโตจนใกล้จะแขวนขวดซีอิ๊วได้แล้ว”
เจียงชานได้ยินก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “คุณยายคะ ตัวหนูไม่ได้มีไว้แขวนขวดซีอิ๊วนะคะ ! ”
คำพูดนี้ทำให้หลินต้ากั๋ว มู่เสี่ยวหวาน และหลินเจียปิงต่างขบขันด้วยความเอ็นดู
นอกจากนี้ หลินเจียหงยังวิ่งเข้าไปในครัวด้วยความรู้สึกเซ็ง เธอปิดประตูห้องครัวแล้วถอนหายใจราวกับรอดพ้นจากภัยพิบัติแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นเธอมีท่าทีแปลก ๆ จึงพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ทำอะไรน่ะ ? ”
หลินเจียหงรีบปรับท่าทางของตนเองทันที “ไม่มีอะไร ฉันแค่จะมาดูว่านายทำอาหารอะไรบ้าง ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋มุ่ยปาก ทำหน้าเหมือนกับจะบอกว่า ‘เชื่อก็แปลกแล้ว ! ’
หลินเจียหงเป็นแบบนั้นจึงพูดอย่างไม่พอใจ “นายทำท่าทางแบบนี้กับพี่สาวหรือไง ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หมดคำจะพูด เพราะพี่สาวคนนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน เอะอะโน่นนี่ก็เรียกตัวเองว่าพี่สาว ทำราวกับว่าตัวเองแก่กว่าเขาหลายปีอย่างนั้นแหละ
แต่เรื่องการแบ่งอายุนี้ ต่อให้ห่างกันเพียงเล็กน้อยก็ยังถือว่าเป็นพี่อยู่ดี
เขาจึงพูดอย่างจนใจว่า “โอเค พี่เป็นพี่สาว พอใจหรือยัง ? หลบอะไรเสร็จแล้วก็รีบออกไปเถอะ อย่ามาทำให้ผมเสียเวลาทำอาหาร”
หลินเจียหงหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ “น้องชาย ไหนฉันขอดูหน่อยสิว่านายทำเมนูอะไรบ้าง ? ”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เมนูซุปกระดูกหมู ไส้เป็ดเก้าเลี้ยว ซี่โครงหมูอบ เนื้อฝอยรสเผ็ด ปลาต้มเซียงฉุ่ย……”
เจียงเสี่ยวไป๋ร่ายชื่ออาหารออกมา หลินเจียหงฟังจนน้ำลายเกือบไหลออกมา เธอพูดอย่างร้อนใจว่า “เร็วเข้า รีบเอามาให้ฉันชิมเลย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ให้ผมเปิดประตูห้องครัว แล้วให้พวกเขาดูพี่กินดีไหม ? ”
หลินเจียหงไม่พอใจ เธอบ่นพึมพำว่า “เจ้าเด็กคนนี้ อีกเดี๋ยวก็ได้กินแล้วไม่ใช่หรือ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็ออกจากครัวด้วยความโกรธ
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นเธอเดินออกไปก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
วันนี้มีอาหารต้องทำเยอะมากและหลายเมนูก็กินเวลา ตอนนี้มีหลินเจียหงมาก่อปัญหาที่นี่อีก อีกเดี๋ยวก็จะทานอาหารเย็นช้าหรอก
หลินเจียหงออกจากห้องครัว หลินเจียปิงจึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวหง เจียงเสี่ยวไป๋ทำเมนูอะไรบ้าง ? ”
หลินเจียหงยิ้มกริ่ม “เขาทำหลายเมนูเลย เฮอะ ๆ ฉันไม่บอกพี่หรอก”
ที่จริงเธอกำลังโมโหเจียงเสี่ยวไป๋ เธอไม่แสดงความอับอายออกมา แต่เธอจะแสร้งทำเป็นว่าตัวเองได้ชิมมาก่อน แล้วปล่อยให้พวกเขาอิจฉาเธอ
ในตอนนี้เอง เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากด้านนอกประตู
หลินต้ากั๋วนึกว่าโฮ่วเซียนเนี่ยนและภรรยามาแล้ว เขาหันไปมองกลับเห็นเป็นจางอ้ายผิงเลิกงานกลับมาบ้าน
“พ่อคะ วันนี้พ่อกลับบ้านเร็วจัง ! ”
จางอ้ายผิงเห็นหลินต้ากั๋วกลับมาก่อนแล้วจึงกล่าวทักทาย
หลินต้ากั๋วพยักหน้า “ลุงโฮ่วกับป้าสะใภ้ของลูกจะมาทานมื้อเย็นด้วย พ่อจึงกลับเร็ว”
จางอ้ายผิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “แต่น่าเสียดายที่ลุงโฮ่วเขาไม่ดื่ม ไม่อย่างนั้นพ่อคงจะดื่มกับเขาแล้ว”
หลินต้ากั๋วกล่าวว่า “แต่ยังมีเสี่ยวไป๋ไม่ใช่หรือ ? เขาเองก็ดื่มเป็นเพื่อนพ่อได้เหมือนกัน ! ”
จางอ้ายผิงกล่าวว่า “ใช่ค่ะ วันนี้เสี่ยวไป๋ทำอาหารด้วย ไม่ดื่มเสียหน่อยคงเสียดายแย่”
“ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ ! ”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงแตรดังขึ้นนอกบ้าน
หลินต้ากั๋วดูสดชื่นขึ้นมา เขากล่าวว่า “ครั้งนี้เป็นพวกเหล่าโฮ่วแน่นอน”
พูดแล้ว เขาก็เดินช้า ๆ ไปที่ประตู
พอออกไปข้างนอกก็เห็นโฮ่วเซียนเนี่ยนและเซินติงจื่อเดินลงมาจากรถจี๊ป นอกจากนี้ยังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินตามลงมาด้วย
หลินต้ากั๋วมีความจำดีเลิศ เขามองดูเด็กหนุ่มแล้วจำได้ว่าเคยเห็นที่ชิงโจว เขาจำได้ว่าชื่อติงจวิ้นเจี๋ย เป็นเลขาของจางอี้เต๋อ
เขามองหลินเจียจวินด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพาติงจวิ้นเจี๋ยมาที่บ้านด้วย
แต่ในเวลานี้ เขาไม่ได้สนใจมากนักและทักทายโฮ่วเซียนเนี่ยนด้วยรอยยิ้ม
“พี่เซียนเนี่ยน เผลอแป๊บเดียวไม่เจอกันมานานครึ่งปีแล้ว ยินดีต้อนรับสู่บ้านหลังเล็ก ๆ ของผม”
พูดจบ เขาก็หันไปทักทายเซินติงจื่อ “สวัสดีครับพี่สะใภ้ ! ”
โฮ่วเซียนเนี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้มมาก “ตอนนี้นายงานยุ่ง ไม่ได้ว่างเหมือนคนเกษียณอย่างฉันเสียหน่อย ฉันมาวันนี้คงไม่ได้รบกวนเวลาของนายใช่ไหม ? ”
หลินต้ากั๋วหัวเราะพลางกล่าวว่า “พี่เซียนเนี่ยน พี่ชอบพูดแบบนี้อีกแล้วนะ”
โฮ่วเซียนเนี่ยนถอนหายใจออกมา “เฮ้อ……มะรืนนี้ฉันต้องไปเทียนจิงแล้ว คงไม่มีโอกาสต่อปากต่อคำกับนายแล้วล่ะ”
หลินต้ากั๋วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ที่เทียนจิง ทั้งยังมีลูก ๆ คอยดูแล ไม่ต้องมาคอยต่อปากต่อคำผมอีกแล้ว”
โฮ่วเซียนเนี่ยนหัวเราะแล้วหันไปมองติงจวิ้นเจี๋ยที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นก็หันไปพูดกับหลินต้ากั๋วว่า: “มัวแต่คุยกับนาย จนฉันลืมไปเลยว่ามีน้องชายอีกคนอยู่ด้วย”
ติงจวิ้นเจี๋ยรีบหันไปโค้งคำนับหลินต้ากั๋ว “สวัสดีครับท่านผู้นำ ! ”
หลินต้ากั๋วพยักหน้า “ตอนนี้อยู่ที่บ้าน ไม่ต้องเกรงใจ ทำตัวตามสบายเถอะ”
ในตอนนี้เอง หลินเจียจวินได้ยกลังนมถั่วเหลืองลงมาจากท้ายรถจี๊ป “พ่อ จวิ้นเจี๋ยเป็นเพื่อนของผม ผมชวนเขามาเอง”
หลินต้ากั๋วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “พวกเรารู้จักกันแล้ว เคยนั่งกินหม้อไฟด้วยกันที่เจียงวาน”
หลินเจียจวินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ดีเลยที่รู้จักกันแล้ว ไปกันเถอะ เข้าไปในบ้านกัน”
จากนั้นทุกคนก็เดินเข้าไปในบ้าน หลังจากถามไถ่ทุกข์สุขกันระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาถึงได้นั่งลง
โฮ่วเซียนเนี่ยนรู้ว่าเจียงชานเป็นลูกสาวของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาจึงกวักมือเรียกหนูน้อยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “หนูชื่อชานชานเหรอ ? มานี่สิ มาหาปู่มา ปู่กับพ่อของหนูเป็นเพื่อนสนิทกัน”
เจียงชานเดินไปอย่างเชื่อฟัง
หลินต้ากั๋วพูดกับเจียงชานว่า “หนูเรียกว่าปู่โฮ่วได้ ! ”
“สวัสดีค่ะปู่โฮ่ว ! ”
เจียงชานทักทายอย่างมีมารยาท หนูน้อยมองเหล่าโฮ่วด้วยดวงตากลมโตแล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่มว่า “คุณปู่เป็นเพื่อนกับป่าป๊าของหนูตั้งแต่ตอนไหน ? ทำไมหนูไม่เห็นรู้เรื่องเลย ? ”
ชายชราโฮ่วได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะชอบใจ “เมื่อวานนี้ไง ปู่และพ่อของเธอเพิ่งคบกันเป็นเพื่อนเมื่อวานนี้”
เจียงชานพยักหน้ารับแล้วกล่าวต่ออีกว่า “เมื่อวานหนูไปเที่ยวมามหาวิทยาลัยเจียงเฉิงกับน้าเจียลี่ ก็ว่าทำไมหนูถึงไม่รู้เรื่องนี้”
ชายชราโฮ่วกล่าวว่า “หนูเคยไปเที่ยวที่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงมาก่อนด้วย ที่นั่นเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมาก ถ้าหนูตั้งใจเรียน ในอนาคตหนูจะสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงได้อย่างแน่นอน”
เจียงชานยืดคอขึ้นเหมือนหงส์น้อยที่ภาคภูมิใจในตนเอง “แต่ป่าป๊าบอกว่ายังมีมหาวิทยาลัยที่ดีกว่ามหาวิทยาลัยเจียงเฉิง ในอนาคตหนูจะไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด”
พอเธอพูดแบบนี้ออกมา ทุกคนก็พากันหัวเราะทันที
ชายชราโฮ่วถึงกับเอ่ยชมไม่ขาดปาก “ใช้ได้ ใช้ได้เลย! เด็กดีมีความทะเยอทะยาน ต่อไปนี้ต้องตั้งใจเรียนนะ ในอนาคตจะได้สอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเทียนจิงได้ ! ”
“แน่นอนค่ะ ! ”
เจียงชานกล่าวอย่างมั่นใจ
ในขณะนี้ ประตูห้องครัวเปิดออก เจียงเสี่ยวไป๋เดินออกมาและพูดว่า “กินข้าวกันเถอะ”