ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 527 : คุยต่ออีกสักพัก
ตอนที่ 527 : คุยต่ออีกสักพัก
ติงจวิ้นเจี๋ยคิดไปพลางพูดไป: “ทักษะการพูดประเภทนี้สามารถใช้ได้แทบทุกสายงาน ไม่เพียงแต่ในงานบริการเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ในการจัดการกับปัญหาในการทำงานประจำวันและแม้แต่ในการเจรจาต่อรอง”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “นี่เรียกว่าทักษะการถามแบบเปิดและทักษะการถามแบบปิด เวลาพูด เราควรดูว่าเมื่อใดควรใช้ทักษะการถามแบบเปิด เมื่อใดควรใช้ทักษะการถามแบบปิด แบบนี้จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการสื่อสารและช่วยให้เราสื่อสารได้ดียิ่งขึ้น”
หลังจากได้ยินคำอธิบาย หลินเจียจวินจึงกล่าวอย่างชื่นชมว่า “ได้เรียนรู้แล้ว ! ได้เรียนรู้แล้ว ! ”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน พนักงานเสิร์ฟก็นำอาหารมา เธอแจกชามให้พวกเขาทั้งสี่คน จากนั้นทั้งสี่คนก็เริ่มรับทานอาหาร
เจียงชานมองเต้าหู้เหม็นสีดำแล้วถามว่า “ป่าป๊า นี่คืออะไรคะ ทำไมมันมีกลิ่นแปลก ๆ อาหารบูดหรือเปล่าคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เมนูนี้มีชื่อว่าเต้าหู้เหม็น เป็นอาหารจานพิเศษทางตอนใต้ของมณฑลหูหนาน และเป็นของว่างที่โด่งดังมาก ถึงแม้กลิ่นจะแย่ แต่รสชาติอร่อย”
“จริงหรอคะ ? ”
เจียงชานตาเป็นประกาย เจียงเสี่ยวไป๋คีบเต้าหู้เหม็นขึ้นมาหนึ่งชิ้น จิ้มน้ำจิ้มพริก จากนั้นก็วางลงในชามของเธอ “ชิมดูสิ ลองชิมดูว่าอร่อยไหม”
พอได้ลองชิมไปหนึ่งคำ หนูน้อยถึงกับยิ้มหวานจนดวงตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
“ป่าป๊า เต้าหู้เหม็นอร่อยมากจริง ๆ ไม่เหม็นเลยค่ะ”
หลินเจียจวินและติงจวิ้นเจี๋ยต่างลองชิมคนละชิ้นเช่นกัน หลินเจียจวินกล่าวว่า “ฉันว่านะ ต้องให้เจียงเสี่ยวไป๋เป็นคนสั่งอาหารนี่แหละ ฉันมากินที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นชื่อเมนูเต้าหู้เหม็นก็ไม่กล้าสั่ง ที่แท้เต้าหู้เหม็นอร่อยขนาดนี้เลยนี่เอง”
เจียงชานกล่าวว่า “ป่าป๊า ป่าป๊าทำเต้าหู้เหม็นเป็นไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ทำได้สิ”
เจียงชานรีบพูดขึ้นว่า “งั้นถ้าวันไหนหนูอยากกินเต้าหู้เหม็นในชิงโจว ป่าป๊าก็ทำให้หนูกินได้น่ะสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “ต่อไปนี้ถ้าลูกอยากกินเต้าหู้เหม็นตอนอยู่ที่ชิงโจว ไม่ต้องรอให้พ่อทำหรอก เพราะอีกไม่นานถนนของกินที่ตลาดนัดกลางคืนจะเปิดทำการแล้ว ภายในจะต้องมีร้านขายเต้าหู้เหม็นหลายร้านแน่นอน”
หลินเจียจวินถามด้วยความประหลาดใจว่า “เต้าหู้เหม็นมีหลายแบบหรอ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบกลับ “ใช่แล้ว เต้าหู้เหม็นมีหลายแบบ แต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น เต้าหู้เหม็นเทียนจิง เต้าหู้เหม็นหูหนาน เต้าหู้เหม็นฮุ่ยโจว เต้าหู้เหม็นเจาซิ่ง เต้าหู้เหม็นเฉียนโจว แต่ละที่มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง”
“เย่ ดีจังเลย ต่อไปนี้หนูจะได้กินบ่อย ๆ ! ” เจียงชานพูดอย่างตื่นเต้น
หลินเจียจวินและติงจวิ้นเจี๋ยมองหน้ากันด้วยความงุนงง พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเจียงเสี่ยวไป๋ถึงได้รู้อะไรมากมายขนาดนี้ ราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับทุกส่วนของประเทศ
เป็นไปได้ไหมว่าเขาเคยไปเที่ยวทั่วประเทศ ?
แต่พวกเขาไม่กล้าถามคำถามนี้
หลังจากกินเสร็จ หลินเจียจวินก็ไปจ่ายค่าอาหาร
แต่เจ้าของร้านที่นี่ไม่ได้ถามคำถามเหมือนเจ้าของร้านภัตตาคารปลา เขาแค่รับเงินและจบเรื่อง
หลังจากขึ้นรถแล้ว หลินเจียจวินก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้าของร้านนี้ไม่ช่ำชองด้านธุรกิจเท่าเจ้าของร้านภัตตาคารปลา วันนี้ฉันตั้งใจจะมาเรียนรู้เสียหน่อย แต่กลับไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ปลอบใจเขาแล้วพูดว่า “คนโบราณบอกว่าเมื่อเห็นคนมีคุณธรรมก็ต้องไตร่ตรองดู เมื่อเห็นคนไม่คู่ควรก็ควรใคร่ครวญตัวเอง การไม่ได้เรียนรู้คือการได้เรียนรู้แล้ว”
หลินเจียจวินระเบิดหัวเราะ “นายนี่เจ้าบทเจ้ากลอนดีจริง”
เจียงชานถามจากด้านข้างอย่างสงสัย “ป่าป๊า เมื่อเห็นคนมีคุณธรรมก็ต้องไตร่ตรองดู เมื่อเห็นคนไม่คู่ควรก็ควรใคร่ครวญตัวเองหมายถึงอะไรหรือคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายให้ลูกสาวฟังอย่างละเอียดทันที ตั้งแต่ที่มาของประโยคจนถึงความหมายและข้อคิด
หลังจากฟัง เจียงชานก็พยักหน้าเหมือนนึกออก “ประโยคนี้มีความหมายคล้ายกับประโยคที่ป่าป๊าเคยสอนไว้ก่อนหน้านี้เลยค่ะ ที่ว่าทบทวนตนเองวันละสามครั้ง ความหมายของทั้งสองประโยคนี้ล้วนแต่ตักเตือนให้คนไตร่ตรองตัวเอง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “ชานชาน มันเป็นแบบนี้แหละ ! ”
“งั้นหนูก็เข้าใจแล้วค่ะ ! ” หนูน้อยดีใจมาก วันนี้เธอได้เรียนสำนวนเพิ่มแล้ว
หลินเจียจวินกล่าวว่า “ที่แท้นายก็สอนลูกสาวแบบนี้นี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชานชานถึงรู้เรื่องราวมากมายขนาดนั้น ไม่ได้ล่ะ ในอนาคตถ้าฉันแต่งงาน ฉันต้องมีลูกสาว กว่าจะถึงตอนนั้นนายคงแก่พอดี นายจะได้มาช่วยสอนลูกสาวให้ฉัน”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินก็ขบขัน “นี่พี่จะแต่งงานตอนผมแก่หรือ ! ”
หลินเจียจวินกล่าวว่า “มีปัญหาอะไรไหม ? ”
“ไม่มี ! ไม่มีครับ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋รีบโบกมือปฏิเสธ “แต่พี่ต้องสอนลูกสาวของพี่เอง ผมขี้เกียจสอนแล้ว ตอนแก่ ผมอยากเดินทางท่องเที่ยว ไม่อยากอยู่บ้านเลี้ยงลูกแล้ว”
พวกเขาพูดคุยหัวเราะกัน ไม่นานรถก็ใกล้จะถึงถนนปาอี
หลินเจียจวินกล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่เย็นมาก เราไปดื่มชาและคุยกันต่อที่โรงน้ำชาจิงเฉอดีไหม ? ”
ติงจวิ้นเจี๋ยอยากอยู่พูดคุยกับทั้งสองอีกสักพัก เขาจึงพูดว่า “ฉันไม่มีปัญหา”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่คัดค้านเช่นกัน
หลินเจียจวินขับรถไปจอดที่โรงน้ำชาจิงเฉอ
“คุณเจียง ยินดีต้อนรับค่ะ”
เมื่อเดินเข้าประตูโรงน้ำชา เจ้าของร้านก็เข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม
หลินเจียจวินเห็นแบบนี้ก็ไม่พอใจ: “เฮ้ ๆ ๆ ……ผมก็มาเมื่อวานเหมือนกัน ทำไมคุณถึงต้อนรับแค่เขา แต่ไม่ต้อนรับผมล่ะ ? ”
เจ้าของร้านเม้มปากหัวเราะ “ยินดีต้อนรับคุณเช่นกันค่ะ ! ”
หลินเจียจวินยิ้ม แต่ไม่นานก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เถ้าแก่เนี้ย ทำไมคุณถึงสองมาตรฐานแบบนี้ล่ะ ? ” พูดแล้ว เขาก็ชี้ไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ “คุณเรียกเขาว่าคุณเจียง แต่เรียกผมว่า ‘คุณ’ อย่างเดียว นี่……มันแตกต่างกันเกินไปแล้ว ! ”
เจ้าของร้านชะงักไปครู่หนึ่ง เธอไม่เคยเห็นลูกค้าคนไหนที่จริงจังขนาดนี้มาก่อนเลย
เธอจึงพูดขอโทษเขา “ต้องขอโทษด้วยค่ะ ฉันยังไม่รู้ชื่อของคุณเลย ? ”
เมื่อวันก่อน เจียงเสี่ยวไป๋บอกชื่อของเขาให้เจ้าของร้านตอนที่จะให้เธอพาติงจวิ้นเจี๋ยมาที่ห้องส่วนตัว แต่หลินเจียจวินไม่ได้พูดชื่อของตนเอง
ดังนั้นเธอจึงรู้จักแค่ชื่อของเจียงเสี่ยวไป๋ แต่ไม่รู้จักชื่อของหลินเจียจวิน
หลินเจียจวินหัวเราะแล้วพูดชื่อของตนเองออกมา เขายังไม่ลืมที่จะเน้นย้ำเธอว่า “ครั้งหน้าตอนผมมาดื่มชาที่ร้าน ก็อย่าลืมเรียกชื่อผมด้วยล่ะ”
เจ้าของร้านพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แล้วนำพวกเขาเข้าไปในห้องส่วนตัว
“คุณหลิน ไม่ทราบว่าวันนี้คุณจะดื่มชาอะไร ? ”
ครั้งนี้เจ้าของร้านไม่ได้ถามเจียงเสี่ยวไป๋ แต่หันไปยิ้มถามหลินเจียจวินแทน
หลินเจียจวินรู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที เขาไม่ค่อยชำนาญเรื่องชา เขาจะตอบเธออย่างไร
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เคยเป็นผู้บัญชาการกองทัพมาก่อน ความคิดของเขายังคงละเอียดอ่อน เขาไม่แสดงท่าทีประหม่า แต่กลับพูดอย่างใจเย็นว่า “ชาที่ดื่มเมื่อวันก่อนรสชาติดีทีเดียว วันนี้ดื่มเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“ค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันเสิร์ฟชาต้าหงเผาให้ค่ะ” เจ้าของร้านพูด
ชาต้าหงเผา !
หลินเจียจวินจำชื่อนี้ไว้
ไม่นาน เจ้าของร้านก็ยกอุปกรณ์ชงชาและใบชามาให้ เจียงเสี่ยวไป๋จึงเริ่มต้มชา
เจียงชานเพิ่งมาที่โรงน้ำชาเป็นครั้งแรก เธอเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ต้มชาด้วยท่าทีพลิ้วไหวสง่างาม หนูน้อยจึงรู้สึกว่ามันสนุก
“ป่าป๊า เขาต้มชากันแบบนี้เองหรอคะ ? ”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวสนใจเรื่องชา เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวว่า “นี่เรียกว่าศาสตร์การชงชา ถ้าอยากเรียน พ่อจะสอนให้ ! ”
“ได้เลยค่ะ ! ”
เจียงชานพูดอย่างตื่นเต้น แล้วเริ่มตั้งใจดูขั้นตอนการชงชาของเจียงเสี่ยวไป๋ ซึ่งเจียงเสี่ยวไป๋ก็ต้มชาไปด้วยพลางอธิบายไปด้วย
ไม่ใช่แค่เจียงชานเท่านั้น แม้แต่หลินเจียจวินและติงจวิ้นเจี๋ยยังฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน