ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 528 : ชีวิตก็เหมือนชา
ตอนที่ 528 : ชีวิตก็เหมือนชา
ระหว่างที่พูด ชาได้ที่พอดี เขาเทน้ำชาลงในถ้วยแก้วขนาดพอดี สามารถมองเห็นน้ำชาสีส้มใส กลิ่นหอมของชาลอยขึ้นตามความร้อนชวนให้ดื่มด่ำ
เจียงเสี่ยวไป๋แบ่งชาออกเป็นถ้วยเล็ก
หลังจากมีประสบการณ์เมื่อวานแล้ว คราวนี้หลินเจียจวินค่อย ๆ บรรจงดื่มชา เขาจิบชาคำเล็ก ๆ แต่กลับได้ลิ้มรสและความหอมของชาที่อบอวลอยู่ในปากอย่างเต็มที่
“ชานี้ต้องค่อย ๆ จิบถึงจะได้รสชาติจริงด้วย”
หลินเจียจวินพูดขณะที่จิบชา
เจียงชานจิบชาเช่นกัน หนูน้อยกล่าวว่า “ป่าป๊า ชานี้หอมมากเลย ทำไมชาที่เราดื่มเมื่อก่อนถึงไม่หอมขนาดนี้ล่ะคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ชาที่เราดื่มในชิงโจวคือชาเขียว แต่เดิมชาเขียวหอมน้อยกว่าชาแดง ชาอู่หลง และชาดำเล็กน้อย ประกอบกับวิธีการชงที่แตกต่างกัน ทำให้ลูกคิดว่ามันไม่ได้หอมขนาดนั้น”
เจียงชานได้ยินแบบนั้นก็สงสัย “ชาแบ่งสีได้หลายสีหรอคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ด้วยเทคนิคการผลิตใบชาที่ต่างกัน ทำให้ชามีทั้งหมด 6 ประเภท ได้แก่ ชาเขียว ชาขาว ชาเหลือง ชาแดง ชาอู่หลง และชาดำ ”
“ป่าป๊า แล้วชาที่เราดื่มวันนี้คือชาอะไรหรอคะ ? ” เจียงชานถาม
เจียงเสี่ยวไป๋ยังไม่ได้ตอบ หลินเจียจวินก็ชิงพูดขึ้นว่า “ชานชาน วันนี้เราดื่มชาต้าหงเผา ฟังจากชื่อก็รู้แล้วว่าต้องเป็นชาแดงแน่นอน ฮ่าฮ๋า……”
เจียงเสี่ยวไป๋มองค้อนเขา เจ้าหมอนี้ไม่รู้แล้วยังแสร้งทำเป็นรู้อีก
เขาพูดอย่างใจเย็นว่า “ชานชาน ชาต้าหงเผาผลิตจากภูเขาหวู่อี๋ แม้ว่าชื่อของมันจะมีคำว่า ‘หง’ ที่แปลว่าสีแดง แต่ชาต้าหงเผาไม่ใช่ชาแดง มันคือชาอู่หลง”
พูดจบ เขาก็หันไปพูดกับหลินเจียจวินว่า “พี่จวิน พี่เกือบเข้าใจผิดแล้วนะ ! ”
หลินเจียจวินหน้าเจื่อนทันที เขาพูดอย่างเขินอายว่า “ฉันคิดเร็วไปหน่อยน่ะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ไม่ใช่แค่พี่คนเดียวหรอก ที่จริงยังมีอีกหลายคนที่นึกว่าชาต้าหงเผาคือชาแดง เพราะชื่อของมันทำให้คนเข้าใจผิด”
ติงจวิ้นเจี๋ยกล่าวว่า “พี่เจียง ในเมื่อชาต้าหงเผาคือชาอู่หลง แล้วทำไมพวกเขาถึงตั้งชื่อมันว่าชาต้าหงเผาล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “จะว่าไปก็มีเรื่องเล่าอยู่เหมือนกัน ว่ากันว่าในปีที่ 18 ของรัชศกหงอู่ในราชวงศ์หมิง มีจวี่เหรินผู้หนึ่งนามว่าติงเสี่ยน ได้เดินทางเข้าไปสอบในเมืองหลวง ระหว่างที่เขาผ่านภูเขาหวู่อี๋ เขาเกิดป่วยมีอาการปวดท้องจนยากที่จะทนไหว พระภิกษุจากวัดเทียนซินหยงเล่อบังเอิญมาพบเขา จึงพาเขาไปที่วัดแล้วนำชาที่ซ่อนไว้ออกมาต้มให้ดื่ม ดื่มแล้วความเจ็บปวดก็ทุเลาลง ติงเสี่ยนสอบได้จอหงวนจึงกลับไปที่วัดนั้นอีกครั้งเพื่อขอบคุณพระภิกษุรูปนั้นที่ช่วยชีวิตเขาไว้ และได้ถามพระภิกษุว่าชาที่ต้มให้เขาดื่มครานั้นชื่อชาอะไร พระภิกษุจึงพาติงเสี่ยนไปที่ด้านหน้าต้นชา ติงเสี่ยนจึงถอดชุดคลุมสีแดงของเขาคลุมไปบนต้นชาต้นนั้น และนับแต่นั้นมา ชาชนิดนี้ก็ถูกเรียกว่าชาต้าหงเผา”
หลินเจียจวินได้ยินก็เข้าใจได้ในทันที “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ! ”
ติงจวิ้นเจี๋ยกล่าวว่า “พี่เจียง ในเมื่อพูดถึงเรื่องชาแล้ว งั้นพี่ก็ช่วยอธิบายชาทั้ง 6 ประเภทให้พวกเราฟังหน่อยได้ไหม วันหลังเวลาพวกเราไปดื่มชาด้านนอกจะได้ไม่เข้าใจผิดอีก”
“ได้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยินดีและเริ่มอธิบายให้ฟัง
ขั้นแรก เขาพูดถึงพื้นฐานการจำแนกประเภทชาหลัก 6 ประเภท ซึ่งค่อนข้างซับซ้อน เขาจึงอธิบายเพียงสั้น ๆ เท่านั้น ชาหลัก 6 ประเภทแบ่งตามกระบวนการผลิต กระบวนการผลิตส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับระดับของการเกิดออกซิเดชันของโพลีฟีนอลในชา ชาเขียวเป็นชาที่ไม่ผ่านกระบวนการหมัก ชาขาวคือชาที่ถูกทิ้งไว้ให้สลด แต่ไม่บ่ม ชาเหลืองคือชาที่ผ่านกระบวนการหมักน้อยมาก ชาอู่หลงเป็นชาที่ผ่านกระบวนการกึ่งหมัก ชาแดงผ่านกระบวนการหมักนานกว่าชาอู่หลง ชาดำเป็นชาที่หมักหลังกระบวนการ
จากนั้น เขาก็พูดถึงชื่อชาที่เป็นตัวแทนของชาทั้ง 6 ประเภท
ยกตัวอย่างเช่น ชาหลงจิ่งซีหู ชาปี้หลัวชุน ชาซิ่นหยางเหมาเจี้ยน และชาไป๋อันจี๋คือชาที่ขึ้นชื่อในหมู่ชาเขียว; ชาไป๋หาวอิ๋นเจินและชาก้งเหมยคือชาที่ขึ้นชื่อในหมู่ชาขาว; ชาเหมิงติ่งหวงหยาและชาเข็มเงินจวินซานเป็นชาเหลืองที่ขึ้นชื่อ; ชาแดงขึ้นชื่อคือชาแดงเตียนหง ชาแดงฉีหง ชาเจิ้งซานเสียวจ่ง; ชาอู่หลงขึ้นชื่อมีชาทิกวนอิม ชาตานฉง และชาเหยียนฉา; ชาดำที่ขึ้นชื่อคือชาผู่เอ๋อร์เป็นต้น
ในบรรดานั้นมีชาไป๋อันจี๋ที่คล้ายกับชาต้าหงเผา
ชื่อของชาต้าหงเผามีคำว่า ‘หง’ แต่กลับเป็นชาอู่หลง; ชาไป๋อันจี๋มีคำว่า ‘ไป๋’ ที่แปลว่าสีขาว แต่กลับเป็นชาเขียว
ชาทั้งสองประเภทนี้เป็นชาที่คนเข้าใจผิดมากที่สุดในโลก
หลังจากพูดจบ เจียงเสี่ยวไป๋จึงกล่าวว่า “ที่จริงแล้วนอกจากชาหลัก 6 ประเภทแล้ว ยังมีชาอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่าชาดอกไม้”
เจียงชานถามทันทีว่า “ชาดอกไม้ เป็นชาประเภทไหน ? ทำจากดอกไม้หรือเปล่า ?”
เห็นได้ชัดว่าหนูน้อยสนใจเรื่องดอกไม้มาก
เจียงเสี่ยวไป๋ยิัม “ชาดอกไม้มีอยู่ 2 แบบ แบบแรกใส่ดอกไม้ผสมกับใบชา เช่น ชาดอกมะลิที่คนเสฉวนชอบดื่ม อีกแบบคือใช้ดอกไม้โดยตรง เช่น ชาดอกเก็กฮวย”
เจียงชานตาเป็นประกาย “ชาดอกไม้ฟังดูน่าอร่อยนะคะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ว่ากันว่าชีวิตก็เหมือนชา บางคนผสมผสานชากับประสบการณ์ชีวิตตามลักษณะพิเศษของชา”
หลินเจียจวินได้ยินสิ่งนี้ เขาก็พูดด้วยความสนใจ “รีบพูดมาสิว่าผสมผสานอย่างไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋จิบชาแล้วพูดว่า “ชีวิตคนเราก็เหมือนชา อย่างคนวัย 15-16 ปีก็เหมือนกับชาดอกไม้ ที่จะได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่เข้มข้นเป็นพิเศษก่อนนำมันไปต้มดื่ม ใบชาและดอกไม้ผสมผสานกันสวยงาม ชวนให้หลงใหล”
“และกลิ่นชาดอกไม้จะคงอยู่ได้ไม่นาน”
“หลังจากต้มดื่มไปสักสามน้ำ มันก็จะจืดเหมือนน้ำต้มสุก”
“ลักษณะนี้เหมือนเป็นวัยรุ่นที่สดใส เปี่ยมไปด้วยพลังอ่อนเยาว์ แต่จิตใจยังไม่โต ศรัทธายังไม่มั่นคง สิ่งที่ขาดคือประสบการณ์ชีวิต”
ขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋กำลังพูด เจ้าของร้านสาวก็บังเอิญเข้ามาเติมน้ำพวกเขาพอดี หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาดอกพีชของเธอก็เป็นประกายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เธอเป็นคนชอบดื่มชา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินคำพูดนี้
หลังจากเติมน้ำในหม้อแล้ว เธอก็พูดว่า “คุณเจียง น่าสนใจมากที่ได้ยินคุณพูดถึงชา ฉันขอฟังมันด้วยได้ไหมคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ “เถ้าแก่เนี้ยอยากฟังก็ฟังได้ แต่อย่าหัวเราะที่ผมพูดไปเรื่อยก็พอครับ”
เจ้าของร้านสาวเม้มปากหัวเราะ “ฉันจะกล้าได้อย่างไรกันคะ ? ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็นั่งลงเงียบ ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวต่ออีกว่า “ชาดอกไม้จบแล้ว ต่อไปเรามาพูดถึงชาเขียวกันเถอะ”
“ทุกคนเคยดื่มชาเขียวกันหมดแล้ว หลังจากแช่ชาด้วยน้ำร้อนในภาชนะแก้วแล้ว ใบชาจะเป็นสีเขียวสวย น้ำชาจะเป็นสีใส เมื่อชงครั้งแรกจะมีกลิ่นหอมฟุ้งไปในอากาศ แต่ไม่เข้มข้นเท่ากลิ่นชาดอกไม้”
“แต่ชาเขียวแช่น้ำร้อนได้บ่อยกว่าชาดอกไม้ หลังจากแช่ไปสี่หรือห้าครั้งก็ยังคงมีกลิ่นคล้ายชาอยู่”
“ชาเขียวก็เหมือนกับคนหนุ่มสาวในวัยยี่สิบ พวกเขายังเยาว์วัย สวยงาม เต็มไปด้วยพลังอ่อนเยาว์ และเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กวัย 15-16 ปี”
พูดถึงชาเขียวจบไปแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดถึงชาแดงต่อ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน เขายังขอให้เจ้าของร้านสาวชุดต้มชาแดงมาให้หนึ่งชุด เพื่อให้หลินเจียจวิน ติงจวิ้นเจี๋ย และเจียงชานดู
“เห็นไหมว่าเมื่อเทียบกับชาเขียวแล้ว รูปลักษณ์ของชาแดงดูมีสีเข้มกว่าเล็กน้อย และตัวใบยังดูหยาบกว่ามากอีกด้วย”
ติงจวิ้นเจี๋ยและคนอื่นพยักหน้า มันเป็นเช่นนั้นจริง
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวต่ออีกว่า: “รูปลักษณ์ของชาแดงไม่ได้ดูสวยเหมือนชาเขียว ก็เหมือนกับคนที่เลยผ่านช่วงวัย 20 ปี ก้าวสู่วัย 30 ปีแล้ว รูปร่างหน้าตาของพวกเขาไม่สวยงามสดใสอีกต่อไป พวกเขาจะดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย”
“หลังจากแช่ชาแดงแล้ว ตัวชาจะมีกลิ่นหอมมากกว่าชาเขียว และมีสีที่เข้มกว่าชาเขียว และชาแดงยังสามารถแช่น้ำได้หลายครั้งกว่าชาเขียวด้วย”
“ชาดอกไม้แช่ดื่มไปสัก 3 น้ำก็จืดชืดแล้ว ชาเขียวแช่ดื่มไปสัก 4-5 น้ำก็เริ่มไม่เหลือกลิ่นชา แต่ชาแดงแช่ดื่มไป 6-7 น้ำก็ยังคงมีกลิ่นของชาหลงเหลืออยู่”
“เหมือนกับคนในวัย 30 ปีขึ้นไปที่มีประสบการณ์มากกว่า มีความรู้มากกว่าและมั่งคั่งมากกว่า”