ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 529 : โชคชะตา
ตอนที่ 529 : โชคชะตา
หลินเจียจวินอยู่ในวัยสามสิบ เขานึกย้อนถึงสมัยวัยเรียนตอนเป็นวัยรุ่น เข้าร่วมกองทัพตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม และเริ่มต้นธุรกิจเมื่ออายุสามสิบ เมื่อเทียบกับประสบการณ์ในอดีต สิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดนั้นเป็นเรื่องจริงอย่างยิ่ง
ติงจวิ้นเจี๋ยเองก็อายุ 26-27 ปีแล้ว นับว่าผ่านประสบการณ์มาพอสมควร และเขาค่อนข้างประทับใจกับการเติบโตในช่วงนี้ของชีวิต
เจ้าของร้านสาวสวีม่านชานยิ่งไม่ต้องพูดถึง เธออยู่ในวัยสามสิบกว่า ๆ แต่ประสบการณ์ของเธอนั้นซับซ้อนกว่าคนส่วนใหญ่ ตั้งแต่เด็กสาวไปจนถึงวัยเยาว์และเป็นผู้ใหญ่ในวัยสามสิบ เธอมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งถึงความไม่เที่ยงของชีวิต และรู้สึกว่าคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋นั้นเป็นจริง
เจียงชานยังเด็กอยู่และไม่สามารถสัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดได้ แต่หนูน้อยก็คิดว่าสิ่งที่พ่อพูดนั้นน่าสนุกดี
เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงพูดต่อ “คนเราจะรู้สึกตั้งตนได้เมื่ออยู่ในวัยสามสิบ วัยสี่สิบจะเริ่มมีอารมณ์ที่มั่นคง พอหลังจากสี่สิบไปแล้วก็จะเหมือนกับชาอู่หลง”
“ลักษณะของชาอู่หลงดูหยาบกว่าชาดำ และใบชาที่ใช้ก็แตกต่างจากชาเขียวเช่นกัน ชาเขียวทำจากใบอ่อนและดอกตูม ในขณะที่ชาอู่หลงทำจากใบที่แก่แล้ว”
“เหมือนกับคนในวัยสี่สิบ ตอนนี้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความกดดันของชีวิตรายล้อมอยู่รอบตัวพวกเขา หากไม่ประสบความสำเร็จ พวกเขาก็จะตกอยู่ในความผันผวนของชีวิต พวกเขาไม่มีลมหายใจแห่งความเยาว์วัยอีกต่อไป”
“เมื่อเทียบกับชาแดง ชาอู่หลงสามารถแช่ได้นานมากกว่า น้ำชามีสีที่เข้มกว่าและมีกลิ่นหอมเข้มข้นมากกว่า”
“เพราะเมื่อคุณอายุสี่สิบ ความรู้และประสบการณ์ของคุณจะสูงกว่าตอนที่คุณอายุสามสิบ และคุณจะมีเข้าใจต่อชีวิตลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น”
หลังจากพูดถึงชาอู่หลงไปแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดถึงชาดำต่อ
“ทุกคนอาจไม่เคยเห็นชาดำมาก่อน แต่ผมเคยเห็นมาแล้ว”
“ชาดำส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบอัดเป็นก้อนกลมหรือเป็นแท่ง ภายในมีก้านชาอยู่ด้วย ซึ่งหยาบกว่าชาอู่หลง”
“จากรูปลักษณ์ภายนอก อาจกล่าวได้ว่าชาดำมีภาพลักษณ์เหมือนคนแก่อายุเกินหกสิบปี มีริ้วรอยและมีรอยด่างตามวัย ซึ่งดูไม่สวยงามเลย”
“แต่หลังจากต้มชาดำแล้ว สีของน้ำชาจะเข้มกว่าชาอู่หลง มีกลิ่นหอมเข้มข้น และแช่น้ำร้อนดื่มได้นานหลายครั้งมาก”
“ว่ากันว่าหากในครอบครัวมีคนเฒ่าคนแก่ก็เหมือนมีสมบัติ ชาดำก็เหมือนคนแก่ที่มีประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปี”
“……”
หลินเจียจวิน ติงจวิ้นเจี๋ย และเจ้าของร้านสาวสวีม่านชานฟังคำอธิบายของเจียงเสี่ยวไป๋จบแล้วต่างก็รู้สึกทึ่งกันทั้งนั้น
สวีม่านชานกล่าวว่า “คุณเจียง คุณเปรียบเทียบชีวิตกับเอกลักษณ์ของชาแต่ละชนิดได้เฉียบคมมาก ฉันได้เรียนรู้บทเรียนแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือปัด “มันเป็นแค่เรื่องตลก อย่าไปจริงจัง ! ”
สวีม่านชานกล่าวว่า “มองจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วงและลมในฤดูใบไม้ผลิ เหล้าขุ่นหนึ่งไหสังสรรค์ เก่าใหม่กี่เรื่อง ก็แค่เรื่องตลกในวงสนทนาไม่ใช่หรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋สะดุ้งเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณพูดถูก เก่าใหม่กี่เรื่อง ก็แค่เรื่องตลกในวงสนทนา ! ”
สวีม่านชานหัวเราะ “คุณเจียง ฉันไม่รบกวนเวลาดื่มชาของพวกคุณแล้ว พวกคุณเชิญดื่มชาไปเถอะ ฉันขอตัวก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า
สวีม่านชานออกจากห้องส่วนตัวไปแล้ว หลินเจียจวินก็มองเจียงเสี่ยวไป๋อย่างอิจฉา “เสี่ยวไป๋ คำพูดของนายเมื่อครู่นี้ทำให้เจ้าของร้านมองนายอย่างชื่นชม ชิชะ……ดูสายตาที่เธอมองนายสิ แทบอยากจะจับนายมาหลอมละลายแล้ว……”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบตัดบทเขาทันที “พี่พูดอะไรน่ะ ! ”
หลินเจียจวินสะดุ้ง เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเจียงชานยังอยู่ตรงนี้เช่นกัน
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด หนูน้อยมองเขาด้วยดวงตากลมโต “คุณลุงคะ คุณลุงบอกว่าเจ้าของร้านจะทำอะไรกับป่าป๊างั้นหรอ ? ”
หลินเจียจวินร้องไห้ในใจ เขาแสร้งทำเป็นพูดอย่างสงบ “ลุงบอกว่าพ่อของหนูมีความรอบรู้ดี เจ้าของร้านยังมองดูเขาด้วยความชื่นชม”
เจียงชานหัวเราะคิกคัก “แน่นอนค่ะ ป่าป๊าของหนูเก่งอยู่แล้ว หนูยังชื่นชมเลย”
หลินเจียจวินรู้สึกละอายใจ เขาเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
หลังจากพูดคุยกันนานกว่าครึ่งชั่วโมง ทั้งสี่คนก็ออกจากห้องส่วนตัวและออกไปจ่ายเงิน
เจียงเสี่ยวไป๋ถามว่า “ค่าชาราคาเท่าไหร่ครับ ? ”
สวีม่านชานกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณเจียง เงินค่าชาชำระแล้วค่ะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและหันหน้าไปมองหลินเจียจวิน หลินเจียจวินยักไหล่ “ไม่ใช่ฉัน”
จากนั้นทั้งสองจึงหันไปมองติงจวิ้นเจี๋ย ติงจวิ้นเจี๋ยรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “ผมอยู่กับพวกพี่มาตลอด ครั้งนี้ไม่ใช่ผมจริง ๆ นะ ! ”
ในเมื่อทั้งสองคนไม่ได้จ่ายเงิน แล้วใครเป็นคนจ่าย ?
เจียงเสี่ยวไป๋ถามด้วยความสงสัย สวีม่านชานเม้มริมฝีปากแล้วยิ้มอย่างเก้อเขิน “ฉันได้ยินคำพูดของคุณเจียงในห้องและรู้สึกซาบซึ้งมาก ดังนั้นจึงใช้มันแทนค่าน้ำชาวันนี้ค่ะ ! ”
หลินเจียจวินได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมา “แบบนั้นก็แทนค่าชาได้ด้วยหรอ ? เจ้าของร้าน งั้นคุณช่วยเปิดห้องส่วนตัวให้อีกสักห้อง แล้วผมจะเล่าเรื่องการต้มชาให้คุณฟังดีไหม ? ”
สวีม่านชานกล่าวว่า “ได้สิคะ ถ้าคุณเปรียบเปรยชากับสิ่งต่าง ๆ ได้โดนใจ ฉันก็ไม่คิดค่าชาเหมือนกันค่ะ”
หลินเจียจวินรีบโบกมือปฏิเสธทันที “งั้นก็ช่างมันเถอะ ผมไม่มีความรู้เรื่องชา พูดเรื่องพวกนั้นไม่ได้หรอก แต่หากคุณให้ผมสอนเรื่องจับปืน ผมสอนคุณได้ทั้งคืนเลยล่ะ”
“อุ๊บ ฮ่าฮ่า ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กลั้นขำไม่ได้แล้ว
หลินเจียจวินมองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยสีหน้าแปลก ๆ พลางถามด้วยความสงสัย “น่าขำตรงไหน ? ”
ติงจวิ้นเจี๋ยและสวีม่านชานต่างมองไปที่เขาด้วยความสงสัยเช่นนั้น เพราะไม่เข้าใจว่าเขาขำอะไร
“ไม่มีอะไร ! ไม่มีอะไร ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบโบกมือปฏิเสธ เขารู้ว่าหลินเจียจวินพูดจริงจัง แต่เป็นเขาที่คิดมันไปในความหมายอื่นเอง เขารีบพูดกับสวีม่านชานว่า “เจ้าของร้าน คำพูดเหล่านั้นของผมไม่คู่ควรกับเงินค่าชุดชาหรอก คุณคิดราคามาเถอะ”
สวีม่านชานกล่าวว่า “ไม่เป็นไรค่ะคุณเจียง คิดเสียว่าวันนี้ฉันเลี้ยงเอง ถือเป็นการแสดงน้ำใจในการผูกมิตรค่ะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร หลินเจียจวินจึงพูดว่า “ผมก็อยากผูกมิตรกับเจ้าของร้านเหมือนกัน ว่าแต่คุณเจ้าของร้านชื่ออะไรหรอครับ ? ”
“สวีม่านชาน ! ” สวีม่านชานบอกชื่อตัวเอง
หลินเจียจวินหัวเราะ “สวีแปลว่าช้า ม่านก็แปลว่าช้า ชานก็แปลว่านุ่มละมุน คุณสวี ทำไมชื่อของคุณถึงมีแต่คำว่า ‘ช้า’ นะ ? ”
สวีม่านชานกลอกตาใส่เขา “คุณหลิน ชื่อคุณก็มีแต่ไม้เหมือนกันนั่นแหละ ! ”
หลินเจียจวินกลอกตาใส่เขา “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ผมแซ่หลินกันล่ะ ? ”
สุดท้ายหลังจากที่ตบมุขตลกใส่กันแล้ว เขาก็พูดว่า “เถ้าแก่เนี้ยสวี ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้ว คุณรับเงินค่าชาไปเถอะ ! ”
ขณะที่เขาพูดอย่างนั้น เขาก็หยิบธนบัติสิบหยวนออกมาแล้วยื่นให้
สวีม่านชานจึงต้องพูดว่า “ได้ค่ะ ปกติค่าชาอยู่ที่ชุดละ 3 หยวน งั้นฉันคิดคุณแค่ 2 หยวนแล้วกัน ถือเป็นราคามิตรภาพ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณคุณสวี ! ”
หลินเจียจวินไม่ปฏิเสธส่วนลด
ทันใดนั้น ชานเจียงก็พูดขึ้นมาว่า “ป่าป๊า ชาเมื่อกี้นี้อร่อยมาก เราซื้อกลับไปกันเถอะค่ะ ! ”
สวีม่านชานได้ยินหนูน้อยเรียกเจียงเสี่ยวไป๋ว่า ‘ป่าป๊า’ เธอจึงอดหันไปมองหนูน้อยไม่ได้ เธอมักจะรู้สึกว่าหนูน้อยคนนี้ช่างน่ารักน่าชังเหมือนตุ๊กตาหยก ยิ่งได้ยินหนูน้อยชมว่าชาของร้านเธอรสชาติดี เธอก็รู้สึกชื่นชอบหนูน้อยมากยิ่งขึ้น “หนูน้อย หนูชื่ออะไรจ๊ะ ? ”
“สวัสดีค่ะป้าสวี หนูชื่อเจียงชาน ! ” เจียงชานกล่าวทักทายอย่างสุภาพและบอกชื่อของตัวเอง
สวีม่านชานหัวเราะ “ชื่อของหนูมีคำว่า ‘ชาน’ ด้วย ชื่อของป้าก็มีคำว่า ‘ชาน’ เหมือนกัน นี่คือโชคชะตาแน่ ๆ เลย ! ”
“หนูชอบดื่มชาต้าหงเผาใช่ไหม งั้นน้าให้หนู”
เจียงชานมองเธอด้วยดวงตากลมโต “ชื่อของหนูมีอักษร ‘หวัง’ เป็นอักษรข้าง [1] คือ ‘ชาน’ ที่แปลว่า ประการัง แล้วชื่อของคุณป้าใช่ตัวเดียวกันไหมคะ ? ”
สวีม่านชานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม: “ชื่อของป้ามีอักษร ‘หนี่ว์’ เป็นอักษรข้างจ้ะ”
เจียงชานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “งัันชื่อของพวกเราก็คนละตัวแล้วค่ะ คุณน้าไม่ต้องให้ใบชาหนูหรอก ป่าป๊าหนูจะซื้อค่ะ ! ”
[1] อักษรข้าง (字旁) เป็นการบอกหมวดนำอักษรจีน ใช้บอกความหมายของคำศัพท์ว่าอยู่ในหมวดประเภทนั้น ๆ เช่นคำว่า ‘姗’ อักษรข้างคือ ‘女’ มีความหมายว่า ผู้หญิง คำว่า ‘姗’ จึงมีความหมายว่า เยื้องย่างช้า ๆ หรือ นุ่มละมุน เป็นคำที่ใช้บรรยายลักษณะการเดินของผู้หญิง