ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 572 : ทุกคนไปช่วย
ตอนที่ 572 : ทุกคนไปช่วย
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “นี่คือไก่ฟ้าสีทอง เราจะเอามาทำอาหารในตอนเย็น”
“ว้าว ดีจังเลย ! ” พอพูดถึงอาหารอร่อย เจ้าตัวเล็กก็เอาแต่เชียร์ด้วยความดีใจและน้ำลายไหลออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นหนูก็ต้องดูแล……เจียงซือให้ดี อย่าให้มันเอาไปกินได้”
เดิมทีเขาจะพูดว่า ‘หมาตัวนี้’ แต่ทุกครั้งที่เขาพูดว่า ‘หมาตัวนี้’ เจียงชานจะต้องชี้แจงกับเขาว่ามันชื่อเจียงซือ ดังนั้นเขาจึงต้องเปลี่ยนคำเรียกและเน้นย้ำไปว่า “ไม่เช่นนั้นเราจะไม่มีอะไรกินเย็นนี้แน่”
“ไม่มีปัญหาค่ะ ! ”
เจ้าตัวน้อยรับคำสั่งและรีบคว้าเจียงซือออกมาทันที เธอตบหัวของมัน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวานว่า “นี่คือของกินของฉันเย็นนี้ แกจะเอาไปกินไม่ได้หรอก”
“โฮ่ง ๆ ! ”
เจียงซือก้มหน้าลงด้วยความคับข้องใจและเห่าออกมาสองสามครั้ง ดูเหมือนจะระบายความไม่พอใจของมันออกมา
เจียงชานลูบหัวมันอีกครั้ง แล้วพูดว่า “เมื่อถึงเวลา ฉันจะให้แกกินเนื้อเอง และจะเอากระดูกให้แกกินด้วย ! ”
“โฮ่ง ๆ ๆ ! ”
เจียงซือเห่าอีกสองสามครั้ง ก่อนจะละสายตาจากไก่ฟ้าสีทองตัวนั้น
ดูเหมือนจะเข้าใจทุกสิ่งที่เจ้านายน้อยของมันพูด
“ป่าป๊าคะ เรียบร้อยแล้วค่ะ ! ”
เจียงชานยืนขึ้นและพูดอย่างภาคภูมิใจ
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นหนูก็พามันไปเล่นที่สวนหลังบ้านเถอะ พ่อจะออกไปช่วยคุณยายเก็บฟืนกลับมา แล้วเราจะทำอาหารเย็นกินกัน”
“ได้ค่ะ ! ”
เจียงชานเชื่อฟังด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณป่าป๊ามาก ๆ นะคะที่ยอมลำบากเพื่อครอบครัว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม ก่อนจะเอาไก่ฟ้าสีทองเข้าไปไว้ในห้องครัว แล้วล็อคประตู
ไม่นาน เขาก็มาถึงบนภูเขาอีกครั้ง
“เสี่ยวไป๋ ยังจะเก็บฟืนไปอีกหรือเปล่า ? ”
“เสี่ยวไป๋ แม่ของนายได้ฟืนไปกี่มัดแล้ว ? ”
“เสี่ยวไป๋ รอฉันก่อน เดี๋ยวฉันจะช่วยถือมันลงไป”
“ยังมีอีกเยอะไหม ? ฉันก็จะไปเก็บเหมือนกัน”
“……”
เมื่อผู้คนในหมูบ้านเห็นเจียงเสี่ยวไป๋แบกตระกร้าไว้บนหลังแล้วขึ้นไปบนภูเขา พวกเขาต่างก็ทักทาย
เจียงเสี่ยวไป๋พูดไม่ออกเล็กน้อย ก่อนจะตอบไปว่า ‘’เหลือไม่มากแล้วครับ ทุกคนไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้หรอก”
เฉินหยวนชางพูดว่า “นายไม่ต้องเกรงใจเราขนาดนี้ก็ได้ ป้าหวังคงตัดไว้เยอะแน่ ๆ เธอเดินผ่านประตูบ้านของฉันทุกวัน ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง”
หูฉางจวินยังกล่าวอีกว่า “ใช่ ๆ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันจะไปช่วยนายยกฟืนกลับลงมา”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พี่ยังยุ่งกับงานสร้างบ้านใหม่อยู่เลย ไปทำงานของตัวเองก่อนเถอะ ไม่ใช่ว่าผมไม่มีกำลังอะไรขนาดนั้น”
“ไม่เป็นไร แค่สร้างบ้านล่าช้าไปหนึ่งวัน ไปช่วยกันขนฟืนกลับมาก่อนเถอะ” เฉินหยวนชางพูดแล้ววิ่งกลับบ้านเพื่อไปเอาตระกร้า
เช่นเดียวกับหูฉางจวินและคนอื่นที่อยู่แถวนี้ ในตอนนั้นพวกเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว ในช่วงเวลาสั้น ๆ คนมากกว่ายี่สิบคนก็สะพายตระกร้าไว้บนหลัง
ขบวนนี้เปรียบเสมือนกองทัพที่พร้อมจะออกรบ
เจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงปล่อยเลยตามเลย ก่อนจะยื่นบุหรี่ให้กับพวกเขาคนละมวน
ทว่าบุหรี่ที่เขาพกมาเหลืออยู่เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น จึงแจกจ่ายได้ไม่ครบคน
เฉินหยวนชางหัวเราะ “เอานี่ไป สูบของฉันก่อนก็ได้ ! ” ขณะที่เขาพูด เขาก็โยนบุหรี่ไปให้หนึ่งซอง
เจียงเสี่ยวไป๋รับมันมา และเห็นว่ามันเป็นบุหรี่ยี่ห้ออาซือหม่า
“พี่หยวนชาง ไม่เป็นไร เราเปลี่ยนกันสูบก็ได้ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
เฉินหยวนชางโบกมือ “บุหรี่ของฉันอาจจะสู้ของนายไม่ได้ แต่ฉันก็อยากสูบบุหรี่มียี่ห้อบ้าง ตอนนี้พอมีเงินบ้างแล้ว ฉันจึงยกระดับมาสูบยี่ห้อนี้”
“เป็นแบบนี้นี่เอง ! ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม
ในเวลานี้ หูฉางจวินก็เข้ามาและพูดว่า “บุหรี่ที่พี่หยวนชางให้ผมมา ผมเดาว่าพี่คงไม่ได้สูบยี่ห้อนี้เป็นประจำ แต่เปลี่ยนยี่ห้อบ้างเป็นครั้งคราวก็ดี ลองเอาของผมไปสูบสิ”
ขณะที่เขาพูด เขาก็ยื่นบุหรี่ให้
เจียงเสี่ยวไป๋มองดู ก็พบว่ามันคือบุหรี่ยี่ห้อหงต้าชาน
เฉินหยวนชาง หูฉางจวินและคนอื่นเดินมาข้าง ๆ เจียงเสี่ยวไป๋ พวกเขาพากันเดินขึ้นไปบนภูเขาขณะที่สูบบุหรี่ไปด้วย
“เสี่ยวไป๋ ผู้อำนวยการหลิวของสำนักงานการเกษตรขอให้นายก่อตั้งบริษัทขายผัก นายคิดเห็นอย่างไร ? ” เฉินหยวนชางถามขึ้นมา
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ช่วงนี้ผมยุ่งมาก และยังไม่ได้ไปพบกับผู้อำนวยการหลิวเลย”
เฉินหยวนชางกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ นายต้องรีบหน่อยนะ มีแค่นายเท่านั้นที่เราอยากให้ก่อตั้งบริษัท เราไว้ใจแค่นายเท่านั้น”
หูฉางจวินยังกล่าวอีกว่า “เรามั่นใจได้ถ้าเราทำงานกับนาย”
ทุกคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็เห็นด้วยเช่นกัน
“ใช่แล้ว ถ้าคนอื่นตั้งบริษัทขายผัก เขาอาจกดราคาเราลงก็ได้”
“การกดราคาอาจเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ฉันกังวลว่าจะขายได้หรือเปล่านี่สิ”
“เสี่ยวไป๋ ต้องเป็นนายเท่านั้น”
“น้องชาย เราทุกคนต้องพึ่งพานาย ! ”
“……”
เจียงเสี่ยวไป๋สัมผัสได้ว่าสิ่งที่เฉินหยวนชางและคนอื่นพูดนั้นมาจากใจจริง และเขาไม่ต้องการทำให้ทุกคนผิดหวัง ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “อย่ากังวลไปเลยทุกคน ผมจะก่อตั้งบริษัทขายผักขึ้นมาอย่างแน่นอน”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดที่เขาพูด ทุกคนก็มีความสุขขึ้นมาทันที
ทว่าคำพูดถัดไปของเจียงเสี่ยวไป๋กลับทำให้พวกเขาตกใจอีกครั้ง
เจียงเสี่ยวไป๋พูดว่า “แต่การตั้งบริษัทขายผักคราวนี้ ผมจะลงทุน 51% เพื่ออำนวยความสะดวกในการจัดการ ในอนาคต พวกพี่จะมีโอกาสได้ถือหุ้นส่วนที่เหลือ 49% ตราบใดที่ทุกคนยินดีลงทุน ก็สามารถถือหุ้นในบริษัทได้มากขึ้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการลงทุน ”
เฉินหยวนชางตกตะลึงและอุทานออกมา “เสี่ยวไป๋ นายพูดจริงเหรอ ? ”
คนอื่นก็หยุดเดินและถามไถ่เรื่องนี้เช่นกัน
“พี่เจียง เราถือหุ้นด้วยได้ไหม ? ”
“เสี่ยวไป๋ เราต้องใช้เงินเท่าไหร่ในการลงทุน ? ”
“เสี่ยวไป๋ หากเราอยากลงทุน เราต้องทำอย่างไรบ้าง ? ”
“พี่เจียง เราทั้งสองคนปลูกผักและลงทุนในบริษัทขายผักนี้ด้วยได้ไหม ? ”
“ใช่แล้ว ถ้าเราทุกคนลงทุนมัน จะไม่กลายเป็นข้าวหม้อใหญ่เหรอ ? ”
“อีกอย่างผักก็ขายได้เยอะเหมือนกัน ถ้าพวกเราลงทุนกันเยอะ ๆ จะมีประโยชน์อะไร ? ”
“เสี่ยวไป๋…”
“พี่เจียง…”
“……”
เมื่อฟังคำถามของทุกคน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ยิ้ม นี่เป็นการตัดสินใจกะทันหันของเขาที่ให้คนทั้งเจียงวานมาร่วมลงทุนในบริษัทขายผัก
เพราะทุกคนช่วยกันขนฟืนมาให้บ้านเขา มันทำให้เขาอบอุ่นหัวใจ
การทำแบบนี้ เขาต้องสละหุ้นบางส่วน เพื่อผูกคนเจียงวานทั้งหมดเข้าด้วยกัน จากนั้นทุกคนก็จะเจริญรุ่งเรืองและประสบความสำเร็จ และชาวเจียงวานก็จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขาอย่างสมบูรณ์
ส่วนปัญหาที่เฉินหยวนชางและคนอื่นกังวล เขาไม่กังวลเลย เขาพูดเสียงดังว่า “ทุกคนไม่ต้องกังวลกับหุ้นจำนวนเล็กน้อยที่คุณถืออยู่นี้ และไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะรับซื้อผักได้น้อย”
“เพราะบริษัทขายผักไม่เพียงแต่ขายผักในเจียงวานเท่านั้น ! ”
“ขณะนี้ เทศบาลเมืองชิงโจวกำลังส่งเสริมการปลูกผักเรือนกระจกอย่างจริงจังทั่วทั้งเมือง ในฐานะบริษัทขายผักแห่งเดียว เราจะรับซื้อผักจากทั้งเมือง ในอนาคตเราอาจจะส่งผักออกไปขายได้หลายสิบล้านหรือหลายร้อยล้านหยวนต่อปี”
“ด้วยยอดขายที่มหาศาลเช่นนี้ แม้ว่าจะถือหุ้นเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ แต่ทุกคนก็จะได้รับเงินปันผลไปหลายหมื่นหรือหลายแสนหยวนต่อปี”