ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 585 : มาถึงบ้านของหลี่เกิน
ตอนที่ 585 : มาถึงบ้านของหลี่เกิน
เสียงเห่าของสุนัขเตือนคนที่อยู่ในบ้าน ไม่นานหลี่เกินก็เดินออกมา
เขาสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “ชานชาน หนูมาแล้วเหรอ ไม่คิดว่าจะมากันเร็วขนาดนี้ ฉันบอกว่าฉันจะไปรับพวกเธอที่สี่แยกไม่ใช่เหรอ”
“สวัสดีค่ะลุงหลี่ ! ”
เจียงชานเห็นหลี่เกินจึงกล่าวสวัสดีอย่างสุภาพ
หลี่เกินตอบรับ ก่อนจะดุสุนัขสีเหลืองข้าง ๆ เขา และรีบเข้าไปหยิบสิ่งที่เจียงชานถืออยู่
“หนูบอกว่าหนูเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก ๆ แต่ทำไมถึงได้ถือของมามากมายขนาดนี้ ! ”
หลี่เกินกล่าวในขณะที่เขารับของมาจากเจียงชาน
เจียงชานหัวเราะคิกคัก “ป่าป๊าถือคนเดียวไม่ไหว หนูเลยต้องช่วยป่าป๊าถือค่ะ”
หลี่เกินส่ายหัวและเดินไปหยิบสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋ถืออยู่
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ไม่เป็นไรครับ ผมถือมันเข้าบ้านเองได้ เสียเวลาเปลี่ยนไปมาเปล่า ๆ ”
หลี่เกินพูดว่า “ดูสิ ทำไมคุณถึงเอาของมากมายมาขนาดนี้ ! ”
ในเวลานี้ หลัวซิ่วลี่ก็ออกมาพร้อมกับคนแก่อีกสองคนและลูกสองคนของเธอ
เด็กชายดูเหมือนอายุราว ๆ 10 ขวบ ส่วนเด็กผู้หญิงก็ดูจะอายุประมาณ 7-8 ขวบ เด็กทั้งสองไม่ค่อยกล้าแสดงออก แม้ว่าจะเห็นคนแปลกหน้ามาที่บ้าน แต่พวกเขาก็ดูจะไม่สนใจและคอยหลบอยู่แต่ข้างในบ้าน
มีคนแก่ชายหญิงสองคน ผู้ชายอายุเกือบเจ็ดสิบปี ขาข้างหนึ่งของเขาดูเหมือนจะเจ็บ เขาสวมเสื้อคลุมที่ทำจากฝ้ายเก่าและสวมหมวกบอมเบอร์
หมวกบอมเบอร์เป็นหมวกกันหนาวที่ทำจากผ้าฝ้าย มันจัดอยู่ในชุดฤดูหนาวของทหารประเภท 55 เรียกอีกอย่างว่าหมวกสักหลาด และมีชื่อเสียงในเหล่ยเฟิง
หมวกชนิดนี้ทำมาเผื่อปิดหูทั้ง 2 ข้าง เมื่อใส่ไปแล้ว สามารถปิดครึ่งหน้าเพื่อป้องกันลมและหิมะได้
ส่วนคนแก่ผู้หญิงก็มีอายุพอกันกับผู้ชาย ใบหน้ามีริ้วรอยเหี่ยวย่น มีผ้าคลุมสีขาวคลุมศีรษะไว้ ผมหงอก หลังที่ค่อมเกือบ 40 องศา ยากที่จะยืดตัวให้ตรงขึ้นได้
เจียงเสี่ยวไป๋เข้าไปในห้องหลัก และในขณะที่หลัวซิ่วลี่กำลังเก็บข้าวของที่เขานำมา เธอก็แนะนำว่า “แม่ พ่อ นี่คือเสี่ยวเจียงที่ฉันเล่าให้ฟัง”
ชายชราชื่อหลี่ต้าหนิวหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “โอ้ เขาคือเสี่ยวเจียงเหรอ เขามาจากเมืองใหญ่อย่างชิงโจวถือเป็นแขกจากแดนไกล ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ทักทายอย่างสุภาพ “สวัสดีครับคุณลุง ชิงโจวไม่ใช่เมืองใหญ่อะไร ถู่เฉิงยังใหญ่กว่า ดูสิ ขนาดผมยังมาทำธุรกิจที่นี่เลย”
หลี่ต้าหนิวกล่าวว่า “ถู่เฉิงมีอะไรดี มันก็เหมือนชื่อของมันนั่นแหละ ทั้งทุรกันดาร ทั้งยากจน”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ในอนาคตถู่เฉิงจะไม่ยากจนอีกต่อไป หลังจากนี้มันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ”
เขาพูดความจริง ตามประวัติศาสตร์ของถู่เฉิง ก๊าซธรรมชาติได้รับการพัฒนาในอีกสิบปีต่อมา ในเวลานั้น ผู้คนในถู่เฉิงจะมั่งคั่งเหมือนประเทศที่มีบ่อน้ำมัน พวกเขาจะร่ำรวยมาก
อย่างไรก็ตาม หลี่ต้าหนิวคิดว่าคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋นั้นเป็นแค่คำพูดปลอบใจ เขาจึงหัวเราะและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะจำคำพูดดี ๆ ของคุณไว้”
เขาหันไปมองเจียงชานแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่คือลูกสาวของคุณที่ชื่อชานชานใช่ไหม ! ช่างเป็นสาวน้อยที่น่ารักและรู้ความจริง ๆ ”
“สวัสดีค่ะคุณปู่ ! ”
เจียงชานกล่าวทักทายอย่างสุภาพ จากนั้นก็กล่าวสวัสดีหญิงชราต่อ “สวัสดีค่ะคุณย่า ! ”
หญิงชราชื่อเฉินชุนฮวา เธอยิ้มแล้วพูดว่า “โอ้ ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดมาก ! ”
หลี่เกินเห็นว่าเจียงชานกล่าวทักทายสองเฒ่าแล้ว แต่ลูก ๆ ของเขายังคงดูแปลกใจและไม่มีปฏิกิริยาใด เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความโกรธ “เฟิงเฟิง ผิงผิง อาเจียงมา มัวทำอะไรกันอยู่ ไม่สวัสดีอาเจียงเหรอ ? ”
“สวัสดีครับอาเจียง ! ”
“สวัสดีค่ะอาเจียง ! ”
หลี่เฟิงและหลี่ผิงต่างทักทายด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า
จากนั้น หลี่เกินก็ยิ้มและบอกให้เจียงเสี่ยวไป๋และเจียงชานไปอยู่ข้าง ๆ เตาเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
ในชนบทมักจะมีห้องที่ใช้สำหรับผิงไฟโดยเฉพาะ เนื่องจากเตาผิงไฟจะถูกขุดเป็นหลุมลงไป ห้องจึงถูกเรียกว่า “ห้องหลุมไฟ”
เมื่อเดินเข้าไปในห้องหลุมไฟ ภายในจะมืดสลัว มีหลุมไฟอยู่กลางห้องด้านในสุด ใช้รากต้นไม้แห้งที่สูงเกือบ 40 เซนติเมตรในการเผาไหม้ และยังมีท่อนไม้เล็ก ๆ เป็นเชื้อเพลิง
มีหมูตากแห้งห้อยอยู่เหนือหลุมไฟ แต่ละชิ้นไม่ใหญ่มาก แต่มีประมาณสิบชิ้น นอกจากนี้ยังมีไส้หมู หัวใจ และปอด เป็นต้น ข้าง ๆ มีตะกร้าไม้ไผ่อยู่สองใบ มีเต้าหู้แห้งและของแห้งมากมายอยู่ในนั้น
ดูเหมือนว่าห้องนี้จะเพิ่งทำได้ไม่นาน มันยังไม่เปลี่ยนสี และมีคราบจาระบีหยดอยู่เป็นระยะ
ตรงกลางหมูตากแห้งที่แขวนอยู่เหนือหลุมไฟ มีไม้ไผ่สีดำที่ถูกควันรม ด้านล่างมีตะขอไม้ และมีหม้อแขวนอยู่ น้ำในหม้อกำลังเดือดเป็นไอ
สิ่งนี้เรียกว่า “ท่อหด” ที่เคยพบเห็นได้ทั่วไปในชนบทสมัยก่อน สามารถยกขึ้นลงได้ เมื่อต้มน้ำให้ลดระดับลงใกล้กับผิวไฟ เมื่อไม่ใช้งานก็ยกขึ้นได้โดยไม่ต้องโดนความร้อนมากนัก
เพราะเขาเคยเห็นของแบบนี้อยู่ในบ้านหลังเก่าของเจียงไห่หยาง
พวกเขามานั่งลงข้างหลุมไฟ เจียงเสี่ยวไป๋หยิบบุหรี่ออกมาและยื่นบุหรี่ให้หลี่ต้าหนิว แต่หลี่ต้าหนิวก็ปฏิเสธ “คุณมาที่บ้านของเรา ทำไมยังพกบุหรี่มาอีกล่ะ มานี่มา สูบของฉัน”
พอพูดจบ เขาก็หยิบบุหรี่ออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “มันก็เหมือนกันแหละครับ ลองสูบของผมก่อน แล้วค่อยสูบของคุณทีหลัง”
หลี่ต้าหนิวถึงได้หยิบบุหรี่ขึ้นมา
เจียงเสี่ยวไป๋ยื่นมวนหนึ่งให้เฉินชุนฮวาแล้วพูดว่า “คุณป้า คุณก็ลองสูบดูสิ”
นี่เป็นนิสัยตามปกติของเขา ตราบใดที่มีคนอยู่ เขาก็จะยื่นสูบบุหรี่ให้เสมอ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะสูบบุหรี่หรือไม่ก็ตาม
แต่ใครจะไปคิดว่าเฉินชุนฮวาจะรับมันมาและพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นฉันก็จะไม่เกรงใจละนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋สะดุ้งเล็กน้อย ในยุคนี้ ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะสูบบุหรี่ แต่ผู้หญิงไม่ค่อยสูบบุหรี่ ทว่าก็ยังมีผู้หญิงสูงอายุบางคนในชนบทที่สูบบุหรี่อยู่
และเขาก็เพิ่งบังเอิญเจอผู้หญิงที่เป็นหนึ่งในนั้น
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดี ที่ได้เจอคนชอบสูบบุหรี่เหมือนกัน จะได้ไม่ทิ้งใครไว้ตามลำพัง ไม่เช่นนั้นเขาคงจะทำให้อีกคนขุ่นเคืองได้
เฉินชุนฮวาหยิบบุหรี่ขึ้นมา และหลี่ต้าหนิวก็คีบถ่านร้อนสีแดงชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากหลุมไฟ แล้วยื่นมันออกไปต่อหน้าเจียงเสี่ยวไป๋ “เอานี่ เสี่ยวเจียง จุดบุหรี่ก่อน “
วิธีการจุดบุหรี่แบบนี้เป็นเรื่องปกติในชนบท ซึ่งเจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้แปลกใจ เขาเข้ามาใกล้โดยมีบุหรี่อยู่ในปาก วางก้นบุหรี่ไว้บนถ่าน แล้วสูดลมสองครั้ง จากนั้นบุหรี่ก็จุดติด
“ขอบคุณครับลุง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างสุภาพ จากนั้นหลี่ต้าหนิวก็ยื่นถ่านร้อนให้ภรรยาของเขาต่อ รอให้เธอจุดบุหรี่ก่อน แล้วค่อยมาจุดให้ตัวเอง
จากนั้น หลี่เกินก็เดินออกมาจากห้องหลักโดยถือซองบุหรี่มาด้วย
“ขอโทษที่มาช้า จนทุกคนสูบบุหรี่กันไปแล้ว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋เคยเอาบุหรี่ให้เขาครั้งล่าสุดที่บ้านของหลัวฉางเซิง ซึ่งเขาไม่ได้สูบมันเลย พอกลับมาก็เอาวางไว้ในห้องนอน
ในขณะนี้ เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋มาที่บ้าน เขาจึงเข้าไปเอาบุหรี่ในห้องนอน แต่เมื่อเขาออกมา เจียงเสี่ยวไป๋ พ่อและแม่ของเขาก็สูบบุหรี่กันแล้ว
แต่เขาก็ยังยื่นให้เจียงเสี่ยวไป๋ไปมวนหนึ่ง
เจียงเสี่ยวไป๋รับไปแบบยิ้ม ๆ คนในชนบทก็แบบนี้ ใส่ใจเรื่องมารยาท ถ้าไม่รับก็คงจะไม่ดี