ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 586 : ตามไปด้วย
ตอนที่ 586 : ตามไปด้วย
หลี่เกินกำลังสูบบุหรี่และเขาก็ดึงเก้าอี้ขึ้นมานั่งลงข้าง ๆ หยิบกาน้ำชาขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหลุมไฟมาเท แล้วยื่นให้เจียงเสี่ยวไป๋ “คุณดื่มชาก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋รับมันมา ซึ่งน้ำชาที่อยู่ในแก้วก็ร้อนมาก
เขาวางมันลงแล้วพูดว่า “ไว้ค่อยดื่มทีหลังครับ”
หลังจากสูบบุหรี่และจิบชาแล้ว การต้อนรับแขกผู้มาเยือนของคนในชนบทก็สิ้นสุดลง พวกเขารวมตัวกันรอบกองไฟ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พี่หลี่ ปีนี้พวกพี่ล้มหมูเร็วมาก ! ”
หลี่เกินยิ้ม “ก็จริง มันเร็วกว่าปีที่แล้วสองสามวัน ถึงอย่างไรก็ต้องเชือดอยู่ดี ตอนนี้ไม่มีอาหารให้พวกมันพอดี ดังนั้นพวกมันจึงถูกเชือดเร็วกว่าเดิม”
เจียงเสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้นมองแล้วพูดว่า “ล้มหมูหนึ่งตัว แบบนั้นก็พอกินแล้วใช่ไหมครับ ? ”
หลี่เกินพูดว่า “เมื่อก่อนเราไม่ได้ล้มหมูกินในช่วงปีใหม่ด้วยซ้ำ เพิ่งได้ล้มกินเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง แค่นี้ก็พอใจแล้วล่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า อันที่จริงทุกครัวเรือนในยุคนี้มีความคล้ายคลึงกัน เขาจึงถามว่า “แล้วหมูที่จะเอามาเชือดจะต้องมีน้ำหนักเท่าไรเหรอครับ ? ”
หลี่เกินตอบ “ก็ประมาณ 55 กิโลกรัม”
“โอ้ ก็ถือว่าไม่ได้เล็กเกินไป ! ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวชื่นชม
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 จะไม่เหมือนกับยุคหลัง ๆ ที่จะมีการเชือดหมูตัวใหญ่น้ำหนักประมาณร้อยถึงร้อยห้าสิบกิโลกรัมเป็นเรื่องปกติ และบางตัวมีน้ำหนักมากถึงสองร้อยกิโลกรัมด้วยซ้ำ
เพราะในช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1980 นั้น หมูเติบโตช้า หากในช่วงปีใหม่บ้านไหนสามารถล้มหมูที่มีน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัมได้ ก็ถือว่าเป็นหมูตัวใหญ่แล้ว พวกเขามักจะเอามาพูดอวดกันด้วยความภาคภูมิใจ
หลี่เกินจึงถามว่า “พวกคุณยังไม่ได้ล้มหมูที่จะเอาไว้กินปีใหม่นี้ใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “น่าจะไม่ใช่เร็ว ๆ นี้หรอกครับ ยังเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งเดือน”
โดยทั่วไป ยิ่งเป็นหมู่บ้านบนภูเขาสูงเท่าไร หมูที่จะเอาไว้กินตอนปีใหม่ จะถูกเชือดเร็วขึ้นไปด้วย
เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวจัด ผู้คนไม่แม้แต่จะออกไปหาหญ้ามาให้หมูกิน จึงทำให้ไม่มีอาหารให้หมูกิน
ถู่เฉิงอยู่ในระดับความสูงที่สูงกว่าชิงโจว ดังนั้นหมูที่จะเอาไว้กินในช่วงปีใหม่จึงถูกเชือดค่อนข้างเร็ว ในขณะที่ชิงโจวมีความสูงเป็นอันดับสอง ดังนั้นหมูที่จะเอาไว้กินในช่วงปีใหม่จึงมักจะถูกเชือดในช่วงกลางเดือน 12 ตามปฏิทินสุริยคติ
หากใครไม่อยู่ในชนบท จะไม่สามารถพูดถึงกิจวัตรประจำวันเหล่านี้ได้
หลี่เกินพูดว่า “แล้วปีใหม่นี้ที่บ้านของคุณล้มหมูกี่ตัว”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ที่บ้านของผมน่าจะเลี้ยงหมูไว้สี่ถึงห้าตัว ! ”
เขาไม่เคยเลี้ยงหมูที่บ้านเลย เจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋เป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ เขาไม่เคยแม้แต่จะไปที่คอกหมูเพื่อดูว่ามีหมูกี่ตัว
เพียงแต่เจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋มักจะเลี้ยงหมูสี่ถึงห้าตัวเท่านั้นในปีที่ผ่านมาก โดยปกติแล้วพวกเขาจะขายหมูประมาณสองถึงสามตัวในเดือนตุลาคม และจะเชือดหมูไว้กินในช่วงปีใหม่เพียงตัวเดียว
แต่ปีนี้ครอบครัวของเขามั่งคั่งขึ้นมามากกว่าเดิม จึงไม่ได้ขายหมูออกไปแม้แต่ตัวเดียว และคาดว่าจะต้องเชือดหมูทั้งหมด เพราะเลี้ยงต่อไปก็ต้องเชือดพวกมันอยู่ดี
หลี่ต้าหนิวมีความสุขหลังจากฟังคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋ “เสี่ยวเจียง คุณคงไม่ได้รับผิดชอบในการเลี้ยงหมูสินะ ไม่อย่างนั้นคุณคงจะรู้ว่าเหลือหมูให้ฆ่าในช่วงปีใหม่กี่ตัว”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มเจื่อน “พ่อแม่ของผมเป็นคนรับผิดชอบ และผมเองก็ไม่มีเวลาดูแลงานบ้านสักเท่าไหร่ครับ”
หลี่ต้าหนิวหัวเราะเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ถือว่าเป็นคนที่มีความสุขกับชีวิตมาก”
พวกเขาสองสามคนคุยกัน ไม่นานหลังจากนั้น หลัวซิ่วลี่ก็ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “เสี่ยวเจียง นั่งคุยกันต่อเลยนะ ฉันจะไปทำอาหารก่อน”
ในตอนนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็จำบางอย่างขึ้นมาได้ และพูดว่า “พี่สะใภ้ นายอำเภอหลัวบอกว่าวันนี้จะมาที่บ้านของพี่ เขาบอกว่าเขาจะมาตอนเที่ยง เตรียมอาหารเผื่อไว้อีกสองที่สำหรับพวกเขาสองคนด้วยนะครับ”
หลี่ต้าหนิวได้ยินแบบนั้นจึงพูดอย่างเหลือเชื่อ “นายอำเภอหลัว……กำลังจะมางั้นเหรอ ? ”
เขาไม่ได้เกรงกลัวเจียงเสี่ยวไป๋สักเท่าไหร่ แม้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะร่ำรวย แต่เขาก็ยังเป็นคนธรรมดาเหมือนกัน ทว่าต่างจากนายอำเภอหลัว เขาเป็นถึงข้าราชการระดับสูง และไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเขา
ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่ใช่เพราะหลัวฉางเซิงยังคงเป็นนายอำเภอ ในปีก่อน ๆ เขาคงจะเป็นข้าราชการระดับมณฑลไปแล้ว
เขาได้ดำรงตำแหน่งนี้มานานหลายปี จนความรู้ความเข้าใจของเขาถูกจารึกไว้ในกระดูกของเขา บัดนี้ แม้ว่าจะเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว แต่ความคิดบางอย่างยังคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และเขาก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที
หลัวซิ่วลี่เองก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยและมองไปที่หลี่เกิน “นายอำเภอหลัวกำลังมา เราควรทำอย่างไรดี ? ”
ท้ายที่สุดแล้ว หลี่เกินก็เป็นผู้ชาย หลังจากตกตะลึงเล็กน้อย เขาก็พูดว่า “แค่หุงข้าวเพิ่มอีกก็พอ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “พี่สะใภ้ คุณเคยไปบ้านนายอำเภอหลัวมาแล้ว เขาเป็นคนง่าย ๆ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกกดดันอะไรหรอก”
หลัวซิ่วลี่ดูจะผ่อนคลายลงมาก และรีบไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหาร
เธอยังเรียกหลี่เฟิงมาช่วยจุดไฟด้วย
ผู้คนในชนบท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทศวรรษที่ 1970-1980 เด็ก ๆ ไม่ได้ถูกเลี้ยงมาอย่างเจ้าชายและเจ้าหญิง เมื่ออายุ 6 ขวบขึ้นไป พวกเขาจะต้องหัดช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้ใหญ่ โดยมักจะเริ่มจากการทำอาหารก่อน
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่แปลกใจกับสิ่งนี้ ในครอบครัวของเขา เจียงเสี่ยวเหล่ยน้องชายคนที่ห้าของเขา และเจียงเสี่ยวหยูน้องสาวคนสุดท้องของเขาก็ถูกเลี้ยงมาแบบนี้เหมือนกัน
และเขายังสอนให้เจียงชานทำงานบ้านง่าย ๆ ด้วย
……..
เวลาที่เร่งรีบตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง หลังจากที่หลัวฉางเซิงทำงานที่สำนักงานเสร็จ เขาก็กำลังจะออกไป แต่หม่าหลี่ก็เดินเข้ามาก่อน “นายอำเภอหลัว เที่ยงนี้จะไปที่ไหนบ้างครับ ? ”
หลัวฉางเซิงพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “เจียงเสี่ยวไป๋ไปที่บ้านของหลี่เกิน และฉันก็กำลังจะไปที่นั่นเหมือนกัน”
เมื่อหม่าหลี่ได้ยินดังนั้น เขาก็พูดว่า “งั้นผมตามไปด้วยคนสิ”
หลัวฉางเซิงยิ้มและพูดว่า “เจียงเสี่ยวไป๋และฉันจะไปขอบคุณพวกเขา คุณจะตามไปทำไม ? ”
หม่าหลี่พูดว่า “ครั้งล่าสุดที่ผมดื่มกับเขาที่บ้านของคุณ เราก็ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว นอกจากนี้เขากำลังจะก่อตั้งโรงงานเกาลัดคั่วร่วมกับเจียงเสี่ยวไป๋ด้วย ผมเป็นรองนายอำเภอที่รับผิดชอบในเรื่องการก่อตั้งกิจการ สุดท้ายแล้วผมก็ต้องได้ติดต่อกับเขาอยู่ดี ! ”
หลัวฉางเซิงพูดด้วยความโกรธ “ฉันคิดว่าคุณแค่อยากไปกินข้าวฟรีเท่านั้น”
หม่าหลี่ยิ้มและไม่ได้จริงจังกับมัน “ถือว่าเป็นการแวะไปกินข้าวระหว่างทางแล้วกัน”
หลัวฉางเซิงกล่าวว่า “การไปบ้านของเขาไม่เหมือนการไปบ้านของฉัน คุณไม่สามารถไปมือเปล่าได้”
หม่าหลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร ? ”
เมื่อเห็นว่าเขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะไป หลัวฉางเซิงจึงพูดว่า “งั้นก็ไปกันเถอะ ฉันจะกลับไปรับพี่สะใภ้ของคุณก่อน”
หม่าหลี่พูดว่า “คุณกลับไปรับพี่สะใภ้แล้วตรงไปที่นั่นก่อนเลยครับ ผมต้องไปแวะซื้อของฝากติดไม้ติดมือก่อน แล้วผมจะตามไป ไว้พบกันที่บ้านของหลี่เกิน”
หลัวฉางเซิงกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องขับรถไปเองหรอก คุณต้องการซื้ออะไร ฉันจะแวะให้”
หม่าหลี่โบกมือ “ไม่ ไม่ ผมจะไปถามเหล่าหยินด้วย เผื่อว่าเขาอยากจะไป”
หลัวฉางเฉิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ทำไมคุณถึงต้องชวนเขาไปอีกคนด้วย ? เดี๋ยวคนก็เยอะหรอก”
หม่าหลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “คนเยอะยิ่งมีชีวิตชีวา ถึงอย่างไรผมก็ไปแล้ว จะขาดเหล่าหยินได้อย่างไร”
หลัวฉางเซิงส่ายหัว “งั้นก็แล้วแต่คุณเถอะ ฉันจะออกไปก่อนแล้ว”
เขาโทรหาคนขับเพื่อกลับบ้านไปรับเซี่ยงหงจวี๋
เมื่อรู้ว่าจะไปบ้านของหลี่เกินตอนเที่ยง เซี่ยงหงจวี๋จึงไปหาซื้อของขวัญมากมาย รวมทั้งอาหาร เสื้อผ้า และของใช้ต่าง ๆ ซึ่งมีราคามากถึงหนึ่งร้อยหยวน
เมื่อหลัวฉางเซิงมารับเธอ เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเมื่อเห็นเธอถือของมากมายในมือ ทั้งถุงใบเล็กใบใหญ่ “ทำไมคุณถึงซื้อของมากมายขนาดนี้”
เซี่ยงหงจวี๋กล่าวว่า “แน่นอนว่าฉันก็เอามันไปขอบคุณเสี่ยวหลี่ ถ้าไม่ใช่เพราะสองคนนั้น ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าจะเอาหน้าที่ไหนไปเจอเจียงเสี่ยวไป๋”
หลัวฉางเซิงรู้ดีว่าเหตุการณ์ที่ชานชานต้องประสบพบเจอในครั้งนั้นเป็นหนามแหลมที่ทิ่มแทงจิตใจภรรยาของเขามาโดยตลอด ไม่ต้องพูดถึงเซี่ยงหงจวี๋ที่รู้สึกขอบคุณหลี่เกินและภรรยาของเขา เพราะแม้แต่เขาเองก็รู้สึกขอบคุณมากเช่นกัน หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเจียงชานในเวลานั้น คงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะอธิบายให้เจียงเสี่ยวไป๋ฟัง
“คุณพูดถูก เอาของไปเยอะ ๆ นั่นแหละดีแล้ว ”
หลัวฉางเซิงกล่าวขณะช่วยเซี่ยงหงจวี๋เอาของมาไว้ที่ท้ายรถจี๊ป
หลังจากที่พวกเขาเก็บของเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ขึ้นรถแล้วคนขับก็ขับรถไปที่บ้านของหลี่เกิน
ในเวลาเดียวกัน หม่าหลี่และหยินซื่อก็ได้แวะซื้อของด้วย จากนั้นหยินซื่อก็เป็นคนขับรถตรงไปที่ปันหลี่ผิง