ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 587 : เจ้าหมาระวังตัวอยู่เสมอ
“นายอำเภอหลัว เราจะจอดรถที่ไหนกันดี ? ”
คนขับถามขณะที่รถจี๊ปกำลังขับเข้ามาในหมู่บ้าน
หลัวฉางเซิงกล่าวว่า “ขับเข้าไปต่อเถอะ”
เซี่ยงหงจวี๋มองไปที่หลัวฉางเซิงและพูดด้วยความประหลาดใจ “คุณรู้ไหมว่าบ้านของหลี่เกินอยู่หลังไหน ? ”
หลัวฉางเซิงส่ายหัว “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“แล้วทำไมคุณถึงบอกให้เสี่ยวหลิวขับรถไปต่อ ! ” เซี่ยงหงจวี๋พูดด้วยท่าทีโมโหและพูดกับคนขับรถไปว่า “เสี่ยวหลิว อีกเดี๋ยวถามที่อยู่บ้านของหลี่เกินจากชาวบ้านระหว่างทางด้วย”
“ครับ”
คนขับเสี่ยวหลิวตอบรับ
หลัวฉางเซิงยิ้ม “เสี่ยวหลิว ไม่ต้องถาม แค่ขับไปข้างหน้าก็พอ หากคุณเห็นรถจี๊ปริมถนนที่ไหน ให้หยุดตรงนั้น”
เซี่ยงหงจวี๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจและพูดด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้อง ถนนไปปันหลี่ผิงมีเพียงสายเดียวเท่านั้น เจียงเสี่ยวไป๋ไปที่นั่นก่อน ที่ที่เขาจอดรถจะต้องอยู่ใกล้บ้านของหลี่เกินแน่นอน”
เสี่ยวหลิวกล่าวชื่นชมเขาทันที “นี่ใช่ไหมครับ วิธีคิดของคนที่เป็นผู้นำ ! ”
พูดแล้วก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม นี่ไม่ใช่การประจบหัวหน้า แต่เป็นการทำให้ภรรยาของหัวหน้าต้องขุ่นเคือง เขาจึงรีบกล่าวเสริมว่า “พี่สะใภ้ คุณเองก็ไหวพริบเร็ว สามารถเข้าใจเจตนาของท่านผู้นำทันที ถ้าคุณไม่ได้พูดอะไร ผมยังคิดไม่ออกเลยครับ”
นี่คือความอ่อนน้อมถ่อมตนของคนตัวเล็ก ๆ พวกเขาใช้ชีวิตด้วยความกลัวทุกวินาทีราวกับเดินบนน้ำแข็งบาง ๆ ทุกคำพูดที่พูดออกมาต้องคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นและต้องทำให้ผู้อื่นพอใจอยู่เสมอ
คำพูดสรรเสริญเยินยอพวกนี้ ถือเป็นสิ่งหรูหราสำหรับพวกคนใหญ่คนโต
ในไม่ช้า เสี่ยวหลิวก็เห็นรถจี๊ปที่จอดอยู่ข้างต้นเกาลัดต้นใหญ่ตรงหน้า จึงถามว่า “นายอำเภอหลัว คือรถคันนั้นหรือเปล่าครับ ? ”
หลัวฉางเซิงมองดูแล้วพูดว่า “ใช่ เข้าไปจอดข้าง ๆ เลย”
หลังจากเสี่ยวหลิวจอดรถ เขาก็รีบลงจากรถแล้วเปิดประตูด้านหลัง หลังจากที่หลัวฉางเซิงและเซี่ยงหงจวี๋ลงจากรถ เขาก็ไปเปิดท้ายรถทันทีและช่วยเอาของที่อยู่ข้างในลงมา
“นายอำเภอหลัว ผมจะรอคุณอยู่ในรถนะครับ”
หลังจากเอาของให้กับหลัวฉางเซิงและเซี่ยงหงจวี๋แล้ว เสี่ยวหลิวก็พูดด้วยท่าทางระมัดระวัง
หลัวฉางเซิงกล่าวว่า “เสี่ยวหลิว คุณไม่ต้องรอฉันหรอก กลับไปที่ออฟฟิศก่อนเถอะ ฉันจะกลับพร้อมเจียงเสี่ยวไป๋เอง”
“ได้ครับ ! ” เสี่ยวหลิวรับคำสั่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ออกไปทันที เขาจะรอจนกว่าหลัวฉางเซิงและเซี่ยงหงจวี๋เดินเข้าไปก่อน ถึงค่อยขับรถกลับ
หลัวฉางเซิงมองไปรอบ ๆ และเห็นว่ามีเพียงซอยเล็ก ๆ ข้างต้นเกาลัดใหญ่ เขาจึงเรียกเซี่ยงหงจวี๋ “ลองไปทางนี้ดู ! ”
ทั้งสองเดินขึ้นเนินไปตามทาง เสี่ยวหลิวรอจนทั้งสองเดินห่างออกไป จึงเลี้ยวรถและมุ่งหน้ากลับไปที่ถู่เฉิง
เมื่อขับออกมาได้ไม่ไกล ก็พบกับรถของหยินซื่อที่ขับสวนเข้ามา
ถนนลูกรังในหมู่บ้านค่อนข้างแคบ รถทั้งสองคันจึงต้องค่อย ๆ ขับหลบเพื่อไม่ให้ชนกัน ในเวลานี้ หม่าหลี่ต้องลงจากรถเพื่อดูทางให้ ไม่อย่างงั้นรถอาจตกลงไปในคูน้ำข้างทางโดยไม่รู้ตัว
หลังลงจากรถแล้ว หม่าหลี่ก็ถามว่า “เสี่ยวหลิว อีกไกลไหม ? ’
เสี่ยวหลิวกล่าวด้วยความเคารพ “รองนายอำเภอหม่า ขับไปอีกไม่ไกลหรอก หากก้าวไปข้างหน้า คุณจะเห็นต้นเกาลัดขนาดใหญ่ริมถนน รถของเจียงเสี่ยวไป๋จอดอยู่ที่นั่น แล้วก็เดินเข้าซอยที่อยู่ข้างต้นเกาลัดนั้น”
หม่าหลี่ขอบคุณแล้วขึ้นรถไป
หยินซื่อบีบแตรหลายครั้ง เสี่ยวหลิวก็บีบแตรตอบด้วย จากนั้นรถทั้งสองคันก็ขับแยกกันออกไป
การบีบแตรถือเป็นวิธีทักทายอย่างสุภาพของคนที่ขับรถ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
หยินซื่อพูดขณะขับรถว่า “ถนนในหมู่บ้านแคบเกินไป โชคดีที่เป็นรถของเสี่ยวหลิว ถ้าเจอรถบรรทุกขนถ่านหิน ฉันคงต้องถอยกลับไปอีกไกลเพื่อหาที่หลบ”
หม่าหลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ก็คงจะดีถ้ามันยังมีถนนให้คุณขับต่อไปนะ”
หยินซื่อยิ้ม “ถูกต้อง ถ้าฉันต้องเดิน ฉันไม่อยากจะออกไปข้างนอกในสภาพอากาศที่หนาวเย็นแบบนี้เลย”
หม่าหลี่พูดว่า “เอาล่ะ ไปกันเถอะ อีกนิดก็จะถึงแล้ว ฉันลงจากรถไปแปปเดียว มือแข็งหมดเลย”
หยินซื่อยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร เมื่อไปถึงบ้านของหลี่เกิน คุณก็จะได้ผิงไฟแล้ว พวกเขาอาจใช้ฟืนซึ่งดีกว่าเตาถ่านหินในสำนักงาน”
หม่าหลี่ถอนหายใจ “ใช่ การเผาฟืนสะดวกกว่าก็จริง แต่ถ้าทุกคนเลือกที่จะใช้ฟืนกันหมด คุณจะขายถ่านหินได้อย่างไร”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงใต้ต้นเกาลัดต้นใหญ่
หยินซื่อจอดรถไว้ด้านหลังรถของเจียงเสี่ยวไป๋ จากนั้นทั้งสองก็เอาของที่ซื้อมาลงจากรถ และเดินไปตามทาง
บนเนินเขามีบ้านหลายหลัง หยินซื่อจึงถามว่า “แล้วมันบ้านหลังไหนกัน ? ”
ขณะที่เขากำลังพูด เสียงของหลี่เกินก็ดังขึ้นมาทักทาย “รองนายอำเภอหม่า ! ”
ปรากฎว่าหลังจากที่หลัวฉางเซิงมาถึง เขาก็บอกหลี่เกินว่าหม่าหลี่ก็จะมา ดังนั้นหลี่เกินจึงมารออยู่ที่หน้าบ้าน เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องถามทางเหมือนนายอำเภอหลัว
หม่าหลี่ตอบหยินซื่อว่า “ดูนั่น เหล่าหยิน บ้านหลังนั้น ไม่ต้องถามทางแล้ว”
หยินซื่อยิ้มและพูดว่า “ง่ายดี ! และคุณก็ไม่ต้องกลัวว่าสุนัขของเขาจะกัดด้วย ! ”
ในเมืองถู่เฉิง ผู้คนส่วนใหญ่ชอบเลี้ยงสุนัขเฝ้าบ้าน แต่สุนัขเฝ้าบ้านนั้น เนื้อของมันจะแข็ง เพราะมีมันแทรกน้อย
ระหว่างที่พูดคุยกัน พวกเขาก็มาถึงหน้าบ้าน
“โฮ่ง ๆ ๆ ! ”
หลังจากเห็นคนแปลกหน้า สุนัขพันธุ์พื้นเมืองสีเหลืองตัวใหญ่ก็เห่าสองสามครั้งแล้วซุกตัวอยู่ที่เชิงกำแพง ในวันที่อากาศหนาว มันก็ไม่กล้าที่จะยืนขึ้นมาเพื่อให้ลมสัมผัสตัวมัน
หยินซื่อเห็นสุนัขสีเหลืองตัวใหญ่เห่าเขา จึงพูดด้วยรอยยิ้ม “ไป ไป หยุดเห่าซะ แกไม่รู้หรอกว่ามีหนูน้อยที่อยู่ในบ้านของแกชอบกินเนื้อสุนัขตากแห้งมาก”
บางครั้ง ผู้พูดก็ไม่มีเจตนา แต่ผู้ฟังนั้นจำไม่เคยลืม
หลี่เกินพูดว่า “ผู้อำนวยการหยิน ชานชานชอบกินเนื้อสุนัขตากแห้งงั้นเหรอ ? ”
หยินซื่อพูดด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ “ใช่ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอกินมัน เธอบอกว่าเนื้อสุนัขอร่อยมาก นอกจากนี้เธอยังกินเนื้อสุนัขที่บ้านของนายอำเภอหลัวเมื่อคืนนี้ ฉันคิดว่าเธอน่าจะชอบมันมาก ๆ ! ”
หลี่เกินหันหน้าไปมองต้าหวงแล้วพูดว่า “เอาล่ะ งั้นพรุ่งนี้ฉันจะฆ่ามัน เอาเนื้อมันมาตากแห้ง ช่วงก่อนปีใหม่จะได้ส่งไปให้เธอกิน แล้วไว้แบ่งพวกคุณด้วย”
หยินซื่อตกใจเมื่อได้ยินประโยคนี้ จึงรีบพูดว่า ‘’พี่หลี่ อย่าฆ่ามันเลย ฉันแค่พูดเล่น”
หม่าหลี่ยังกล่าวอีกว่า “สุนัขที่เลี้ยงมากับมือจะฆ่ามันลงได้ยังไง พี่หลี่ คุณอย่าฆ่ามันเชียวนะ ผู้อำนวยการหยินเตรียมเนื้อสุนัขไว้มาให้ชานชานแล้ว เขาซื้อสุนัขมาถึงสองตัว”
หลี่เกินตั้งใจที่จะฆ่าต้าหวง สุนัขของเขาจริง ๆ
เพราะเขาเองก็ไม่มีอะไรจะตอบแทนแขกเหล่านี่ ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอหลัว รองนายอำเภอหม่า ผู้อำนวยการหยิน หรือเจียงเสี่ยวไป๋ ทุกคนมาที่บ้านของเขาพร้อมของขวัญชิ้นใหญ่ ดูเหมือนว่าแต่ละคนจะใช้เงินไปเป็นจำนวนมาก
เขาไม่มีอะไรจะตอบแทนน้ำใจคนเหล่านั้น ในเมื่อมีคนชอบกินเนื้อสุนัข ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องฆ่าต้าหวง
คนในชนบทก็เป็นแบบนี้ ไม่ชอบติดหนี้บุญคุณของใคร
ไม่ใช่ว่าคนอื่นขอให้คุณตอบแทน แต่เป็นเพราะคนอื่นปฏิบัติต่อคุณอย่างดี ดังนั้นต้องตอบแทนความดีของพวกเขา
ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกไม่สบายใจ
หยินซื่อมองความคิดของหลี่เกินออก และแอบรำคาญตัวเองที่เป็นคนพูดอะไรไม่คิด
หม่าหลี่ถึงกับบ่นให้เขาว่า “ดูสิ คงจะแย่ถ้าเจ้าของฆ่าสุนัขเฝ้าบ้านของตัวเองจริง ๆ ”