ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 590 : อย่าฆ่ามันเลย
ตอนที่ 590 : อย่าฆ่ามันเลย
หลี่เฟิงยังกล่าวอีกว่า “พ่อ อย่าฆ่าต้าหวงได้ไหมครับ?”
เมื่อเผชิญกับคำถามและคำร้องขอของลูก ๆ หลี่เกินยังคงไม่ไหวติงและยังคงพูดแทบจะไม่เป็นคำ “ฆ่า……พ่อต้องฆ่า ! ”
เมื่อเห็นว่าหลี่ผิงกำลังจะร้องไห้ เจียงชานก็ดึงเธอมา แล้วถามว่า “พี่ผิงผิง ใครคือต้าหวง ทำไมคุณลุงถึงอยากฆ่าเขา ? ”
หลี่ผิงพูดทั้งน้ำตาว่า “ต้าหวงอยู่นอกประตูนั่นไง มันน่ารักมาก ฉันไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ พ่อถึงบอกว่าอยากจะฆ่ามัน”
ในที่สุด เจียงเสี่ยวไป๋และคนอื่นก็เข้าใจในเวลานี้ว่าต้าหวงคือสุนัขที่พวกเขาเลี้ยงไว้ !
ก็คิดว่ากำลังพูดถึงใครอยู่ ?
มันเกือบจะทำให้พวกเขาตกใจ
หลังจากดูท่าทางของหลี่เกินแล้ว เขาคงจะเมามาก จนพูดแทบไม่เป็นคำ ดังนั้นเขาจึงถามหยินซื่อไปว่า “ผู้อำนวยการหยิน ทำไมคุณถึงพูดเรื่องการฆ่าสุนัขออกมาได้ ? ”
หยินซื่อเหลือบมองหม่าลี่แล้วถอนหายใจ “ฉันผิดเองที่พูดอะไรไม่คิดตอนที่เข้าประตูมา ฉัน……”
ต่อหน้าเจียงเสี่ยวไป๋ เขารู้สึกละอายใจที่จะบอกว่า เป็นเพราะเขาบอกว่าชานชานชอบกินเนื้อสุนัข หลี่เกินจึงตัดสินใจที่จะฆ่าต้าหวง ซึ่งมันทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออกทันที
ดังนั้นหม่าลี่จึงเป็นคนเล่าเรื่องราวออกมาเพียงสั้น ๆ
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อเขารู้เหตุผล แต่การบอกหลี่เกินในเวลานี้เห็นทีว่าจะไม่ได้ผล ดังนั้นเขาจึงต้องพูดกับหลี่ต้าหนิวว่า “คุณลุง อย่าปล่อยให้พี่หลี่ฆ่าต้าหวงเลยนะครับ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่กล้ามาเยี่ยมพวกลุงอีกแล้ว”
หยินซื่อยังกล่าวอีกว่า “ใช่ ใช่ ผมคงไม่กล้ามาที่นี่อีกแล้ว”
เมื่อเห็นทุกคนพูดแบบนี้ หลี่ต้าหนิวก็พยักหน้า “ได้ ๆ ฉันจะบอกเขาให้เอง”
เจียงชานรู้ว่าสาเหตุของเรื่องนี้มาจากเธอ ที่ทำให้ลุงหลี่ตัดสินใจฆ่าต้าหวง เธอจึงพูดว่า “คุณปู่คะ อย่าฆ่าต้าหวงเลย ที่บ้านของหนูก็เลี้ยงสุนัขเหมือนกัน มันน่ารักมาก”
หลี่ผิงกล่าวว่า “ใช่แล้ว ต้าหวงมันเชื่อฟังมาก มันไม่เคยกัดใครเลย”
ในเวลานี้ หลี่เกินไม่ได้ยินคำพูดของใครแล้ว หัวของเขาเอียงซบลงบนเก้าอี้ และกรนออกมาเสียงดัง
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูแล้วพูดว่า “พาพี่หลี่ไปนอนที่เตียงเถอะครับ ไม่งั้นถ้าปล่อยให้นอนอยู่แบบนี้ เขาจะเป็นหวัดได้”
หยินซื่อพยักหน้า และช่วยเจียงเสี่ยวไป๋พยุงหลี่เกินไปที่ห้องนอนแล้ววางเขาลงบนเตียง
“ตัวเขาหนักจริง ๆ ! ”
หลังจากที่พาหลี่เกินไปนอนแล้ว หยินซื่อก็หอบหายใจออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ผู้อำนวยการหยิน คุณต้องออกกำลังกายบ้าง การดื่มเป็นอันตรายต่อร่างกาย ถ้าคุณไม่ออกกำลังกาย อีกไม่นานร่างกายของคุณก็จะพัง”
หยินซื่อกล่าวอย่างเมินเฉยว่า “ชีวิตและความตายเป็นของคู่กัน ความมั่งคั่งและเกียรติยศนั้นสูงส่ง อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ฉันไม่คิดมากหรอก”
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัวและหยุดเตือนเขาทันที
บางที แม้แต่เจ้าตัวยังไม่ตระหนักถึงการให้ความสำคัญกับตัวเอง ไม่ว่าคนอื่นจะเตือนอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
ต้องให้พวกเขาได้สัมผัสถึงผลลัพธ์ของมันกับตัวเองเท่านั้นถึงจะรู้
แม้แต่เจียงเสี่ยวไป๋เองก็คงไม่ตระหนักถึงหลายสิ่งหลายอย่าง หากเขาไม่เคยมีประสบการณ์การตายแล้วเกิดใหม่
บางที ความมหัศจรรย์ของชีวิตก็เป็นแบบนี้
เพราะมันไม่เคยเปิดโอกาสให้ผู้คนได้กลับไปแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดพลาดในอดีต มันถึงดูล้ำค่าเป็นพิเศษ
หากชีวิตเป็นเหมือนการเล่นเกม ที่สามารถบันทึกและรีเซ็ตใหม่ได้ซ้ำ ๆ ชีวิตนั้นก็อาจจะสูญเสียความหมายของมันไปอย่างสิ้นเชิง
ระหว่างที่ถอนหายใจ ทั้งสองก็กลับมาที่ห้องหลุมไฟ
หลี่ต้าหนิวกล่าวว่า “แขกไม่เมา แต่เจ้าบ้านเมาก่อน ฉันต้องขอโทษที่ทำให้พวกคุณต้องมาเห็นอะไรแบบนี้ แต่เขาเป็นคนที่คออ่อนมากจริง ๆ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมืออย่างไม่ถือสา “คุณลุง ไม่ต้องคิดมากไปหรอกครับ”
หลี่ต้าหนิวพูดอีกครั้งว่า “ขาฉันมันไม่ดี จึงต้องรบกวนพวกคุณให้อุ้มเขาไปนอน มา มานั่งลงข้างกองไฟก่อน สูบบุหรี่กันก่อนเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น”
เมื่อพูดอย่างนั้น เขาก็ยื่นบุหรี่ให้เจียงเสี่ยวไป๋และหยินซื่อคนละมวน
หยินซีรับมันแล้วพูดว่า “ลุงหลี่ ขาของคุณเป็นอะไรเหรอครับ ? ”
หลี่ต้าหนิวกล่าวว่า “ตอนที่ฉันยังหนุ่ม ฉันขึ้นไปเก็บเกาลัด แต่ก็พลาดตกต้นไม้มาจนขาหัก” หลังจากนั้น เขาก็ยิ้มแล้วกล่าวต่อ “เป็นเรื่องดีที่ขาหักในครั้งนั้น ไม่อย่างนั้นฉันอาจถูกกองทัพเกณฑ์ไปเป็นทหารและอาจจะตายในสนามรบแล้วก็ได้”
ดูเหมือนหลี่ต้าหนิวจะรู้สึกสะเทือนใจมาก เขาพูดต่ออีกว่า “ในเวลานั้น คนในปันหลี่ผิงถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารมากกว่า 20 คน แต่มีแค่หยางกั๋วจู่ที่มีชีวิตรอดกลับมาเพียงคนเดียว”
พูดแล้วก็อดสะเทือนใจไม่ได้
เจียงเสี่ยวไป๋และคนอื่นไม่ได้อยู่ในช่วงเวลานั้นของประวัติศาสตร์ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงพูดปลอบใจเท่านั้น
หลัวฉางเซิงยกข้อมือขึ้นเพื่อดูเวลาแล้วพูดว่า “ลุงหลี่ ฉันต้องไปทำงานตอนบ่ายต่อ ต้องขอตัวกลับก่อน”
หม่าลี่และหยินซื่อก็ยืนขึ้นเช่นกัน
หลี่ต้าหนิวพูดอย่างสุภาพว่า “นั่งอีกสักพักก่อนสิ จะรีบไปทำงานทำไม”
หลัวฉางเซิงยิ้มและพูดว่า “เป็นไปไม่ได้หรอก ฉันเองก็ต้องทำงานให้ตรงเวลาด้วย”
หลี่ต้าหนิวไม่ได้บังคับให้เขาอยู่ต่อ และพูดว่า “ไม่เป็นไร ค่อย ๆ กลับ หากมีเวลาเมื่อไหร่ก็มาอีกนะ”
“แน่นอนครับ ! ”
หลัวฉางเซิงยิ้มและรับปาก ก่อนจะหันไปถามเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “แล้วคุณล่ะ คุณจะกลับพร้อมเราหรือจะอยู่ที่นี่อีกสักพัก ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดว่าหลังจากนี้ก็ไม่มีอะไรทำ เมื่อกลับไปที่ถู่เฉิงก็คงได้แต่อยู่ในห้องทำงานของหลัวฉางเซิง ซึ่งมันอาจเป็นการรบกวนการทำงานของเขาเปล่า ๆ เขาจึงพูดว่า “ผมว่าจะอยู่ที่นี่สักพักก่อน รอจนกว่าจะหายมึนหัว แล้วค่อยขับรถออกไป”
หลัวฉางเซิงพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณพูดเรื่องเมาแล้วขับทุกวัน เป็นแบบนี้ฉันคิดว่าคุณควรจ้างคนขับรถนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ผมขับรถเองได้ ไม่ต้องมีคนขับหรอกครับ”
หยินซื่อกล่าวว่า “หากจะอยู่ที่นี่สักพักก็ไม่เป็นไร อย่าลืมกลับเข้าเมืองในตอนเย็นล่ะ ? เราจะรอคุณอยู่ที่ห้องทำงานของนายอำเภอหลัว เจอกันตอนห้าโมงเย็น”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าตกลง
หลัวฉางเซิง เซี่ยงหงจวี๋ หม่าลี่ และหยินซื่อกล่าวลาและออกไป หลี่ต้าหนิวที่ขามีปัญหาก็ยืนกรานที่จะออกไปส่งทั้งสี่คนที่ใต้ต้นเกาลัดใหญ่ หลังจากที่รถจี๊ปขับไปไกลแล้ว เขาก็เดินกลับมาพร้อมกับเจียงเสี่ยวไป๋
เมื่อผ่านประตูบ้านหลังแรก ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ในลานบ้านก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ลุงสาม วันนี้มีแขกมาที่บ้านหรือ ? ”
หลี่ต้าหนิวพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “เพื่อนของเกินเอ๋อมาเที่ยวที่บ้านหนะ”
ชายคนนั้นพูดว่า “หลังจากนี้เกินเอ๋อคงจะสบายแล้ว เขาผูกมิตรกับคนใหญ่คนโต ที่มีรถขับรถมาถึงที่นี่ ในอนาคตถ้าได้ดิบได้ดีก็อย่าลืมฉันล่ะ ! ”
หลี่ต้าหนิวยิ้มและพูดว่า “ได้ดิบได้ดีอะไรกัน ? มันก็แค่การขายเกาลัดหาเลี้ยงชีพ”
ชายคนนั้นพูดอีกครั้ง “อ้าว แล้วเกินเอ๋ออยู่ที่ไหนล่ะ ? ”
หลี่ต้าหนิวพูดว่า “เขาดื่มกับแขกแต่ก็เมาไปก่อน ตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย ! ”
ขณะที่เขากำลังตอบ เขาก็เดินผ่านรั้วบ้านหลังนั้นมาแล้ว ชายคนนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปในบ้านโดยไม่พูดอะไรอีก
หลี่ต้าหนิวแนะนำให้เจียงเสี่ยวไป๋รู้จักในขณะที่เดินไปด้วยกัน “นี่คือหลานชายของฉัน ชื่อหลี่ซู่ เขาอายุมากกว่าเกินเอ๋อสองสามปี ทั้งสองสนิทกันตั้งแต่ยังเด็ก”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและไม่ถามอะไรอีก
ในพื้นที่ชนบท เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ติดกันมักจะเป็นเครือญาติกันหมด