ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 594 : เป็นรุ่นพี่
ตอนที่ 594 : เป็นรุ่นพี่
เจียงชานไม่ได้มีอาการตื่นกลัวแม้แต่น้อย เธอหยิบชามด้วยมือเล็ก ๆ ทั้งสองมือ แล้วดื่มเหล้าดอกท้อในอึกเดียว ก่อนจะแลบลิ้นออกมา
“เป็นอย่างไรบ้าง ? ”
จางหงเซี่ยถามอย่างเป็นห่วง
เจียงชานยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน “มันไม่เหมือนกับตอนที่คุณยายเอาข้าวมาหมักเป็นเหล้าเลยค่ะ รสชาติของมันดีกว่ามาก โดยเฉพาะกลิ่นหอมของมัน”
ทุกคนหัวเราะ
เจียงเสี่ยวไป๋ถามว่า “ชานชานรู้สึกเวียนหัวหรือเปล่า ? ”
เจียงชานส่ายหัว “ไม่ค่ะ ! ”
หลัวฉางเซิงฟังแล้วพูดว่า “เสี่ยวเจียง ฉันเห็นว่าชานชานเองก็มีความสามารถในการดื่มเหมือนกัน ! ”
หยินซื่อยิ้มและพูดว่า “ฝึกฝนมันให้ดี แล้วในอนาคตหนูจะสามารถดื่มได้เก่งกว่าเสี่ยวเจียง”
ฝูงชนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่คิดว่าลูกสาวของเขาจะดื่มได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เขาจึงถามว่า “ชานชาน หนูยังจะดื่มต่ออยู่หรือเปล่า ? ”
เจียงชานพยักหน้า “ค่ะ หนูอยากดื่มเพิ่มอีกหน่อย ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เอาล่ะ งั้นก็ดื่มทีละน้อย ถ้ารู้สึกเวียนหัวก็หยุดดื่ม”
“ค่ะ ป่าป๊า ! ” เจ้าตัวเล็กพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าว เธอมีความสุขมาก
จากนั้น เธอก็หยิบชามดินเผาแล้วพูดว่า “หนูจะเป็นคนเริ่มโยนชาม ! ”
ขณะที่เธอพูด เธอก็กระแทกชามดินลงบนพื้น จนเกิดเสียงดัง “เพล้ง” ทำให้ชิ้นส่วนของชามแตกกระจายออกไป
“ชานชานน่าทึ่งมาก ! ”
“เอาล่ะ เมื่อลุงอายุเท่าหนู ลุงยังไม่เคยแตะแอลกอฮอล์เลย ! ”
“ชานชานเจ๋งมาก ! ”
“……”
หลัวฉางเซิงและคนอื่นต่างยกย่องเจียงชาน ราวกับว่าเจียงเสี่ยวไป๋มีผู้สืบทอดที่ดี
เจียงชานก็ดูมีความสุขมากเช่นกัน
ปรากฏว่าการดื่มขว้างชามนั้นสนุกมาก !
หลังจากที่ทุกคนนั่งลงอีกครั้ง หยินซื่อก็พูดว่า “มาเถอะ มาลองชิมฝีมือของพี่เซี่ยด้วยกัน”
ขณะที่เขาพูด เขาก็คีบไส้กรอกลงในชามของเจียงชาน
“ขอบคุณค่ะลุงหยิน ! ”
เจียงชานกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอหันไปหาจางหงเซี่ยแล้วพูดว่า “เหล้าที่คุณป้าทำกลมกล่อมมาก คุณป้าต้องเป็นคนมีฝีมือทำอาหารที่อร่อยแน่นอนค่ะ หนูจะกินเยอะ ๆ ”
แม้รูปร่างหน้าตาของจางหงเซี่ยนั้นจะดูหยาบกระด้าง แต่เธอเป็นคนฉลาดและเก่ง คำพูดของเจ้าตัวน้อยตราตรึงใจของเธอ มันทำให้เธอยิ้มออกมาทันที “เอาล่ะ ถ้าหากว่าอร่อยก็กินเยอะ ๆ นะ ! ”
ขณะที่เธอพูด เธอก็คีบหมูตากแห้ง ตับหมู และหัวใจลงในชามของชานชานอีก
คำว่า “ลาซา” หมายถึงอาหารที่ปรุงโดยการรมควันเครื่องในหมูต่าง ๆ แล้วนำไปผสมกับส่วนผสมแห้ง เช่น หน่อไม้ เห็ดแห้งและเปลือกฟักทองแห้ง ส่วนผสมนี้ปรุงในหม้อไฟแห้ง เนื่องจากมีการใช้ส่วนผสมที่หลากหลาย อาหารจานนี้จึงถูกเรียกว่า “ลาซา”
เจียงชานกินเข้าไปคำหนึ่ง จากนั้นดวงตาที่กลมโตของเธอก็กลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเมื่อเธอยิ้ม
“คุณป้า อาหารที่คุณป้าทำอร่อยมากเลยค่ะ ! ”
“ถ้ามันอร่อย ก็กินเยอะ ๆ นะจ๊ะ ! ” จางหงเซี่ยพูดด้วยสีหน้าร่าเริง และคีบอาหารลงในชามของชานชานเพิ่มอีก
เจียงเสี่ยวไป๋และคนอื่นต่างก็ชื่นชมหลังจากกินมันเข้าไป
จากนั้น ทุกคนก็กินและดื่มกันอย่างสนุกสนาน เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกสบายใจอย่างยิ่งและยอมชนแก้วกับทุกคนที่มาขอชน เขารีบดื่มเหล้าเวินโหรวเซียงทั้งสองขวดจนหมด
แน่นอนว่าเจียงชานก็ดื่มนิดหน่อยเช่นกัน
เพราะถึงอย่างไร เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้เทให้เธอมาก ครั้งละก้นชามเท่านั้น
เหล้าสองชั่ง เจ้าตัวเล็กยังดื่มไปได้ไม่เกินหนึ่งจอกเต็มด้วยซ้ำ
แต่ในเวลานี้ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอก็เริ่มแดงก่ำราวกับแอปเปิ้ลสุกแล้ว
“เสี่ยวไป๋ ฉันขอเอาให้คุณเพิ่มอีกสองขวด ! ” จางหงเซี่ยพูดเมื่อเธอเห็นว่าเจียงเสี่ยวไป๋ดื่มเหล้าหมดแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋หันไปถามเจียงชานว่า “ชานชานยังจะดื่มอยู่อีกเหรอเปล่า ? ”
เจ้าตัวเล็กเอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า “หนูอยากดื่มเพิ่มอีกนิด แค่นิดหน่อยเท่านั้นค่ะ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดกับจางหงเซี่ยว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมขอเอาเหล้าดอกท้ออีกขวดหนึ่งครับ”
จางหงเซี่ยพยักหน้า “เอาล่ะ งั้นฉันไปเอาเหล้าดอกท้อมาก่อนนะ”
เนื่องจากเจียงชานดื่มได้เพียงเหล้าดอกท้อ เพราะเหล้าพลัมมีความเข้มข้นสูงกว่าเล็กน้อย เจียงเสี่ยวไป๋จึงไม่ให้เธอดื่มมัน
ในไม่ช้า จางหงเซี่ยก็นำเหล้าดอกท้อออกมาสองขวด
เจียงชานเห็นอย่างนั้นจึงพูดว่า “ป่าป๊าคะ เราดื่มให้หมดขวดนี้ แล้วเอาอีกขวดกลับบ้านได้ไหมคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋สะดุ้งเล็กน้อย เป็นเวลานานแล้วที่ลูกสาวไม่เคยขออะไรจากเขา คราวนี้เธอเกิดไอเดียเรื่องเหล้าดอกท้อขึ้นมาโดยไม่คาดคิด
อย่างไรก็ตาม เขายังคงพูดว่า “เรื่องนี้หนูต้องถามป้าจางเอาเอง”
จางหงเซี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ชานชานชอบมัน งั้นก็เอากลับไปเถอะ ! ”
“ขอบคุณค่ะคุณป้า ! ”
เด็กน้อยยิ้มอย่างมีความสุข จนเห็นลักยิ้มสองข้างบนใบหน้าของเธอ แล้วรีบหยิบขวดเหล้าดอกท้อออกไปวางไว้ข้าง ๆ
จากนั้น ทุกคนก็ดื่มและพูดคุยกัน
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พี่สะใภ้ คุณทำเหล้าเก่งมาก ทำไมคุณไม่คิดจะเปิดโรงกลั่นเหล้าบ้างล่ะ ? ”
หยินซื่อกล่าวว่า “ฉันเคยบอกพี่เซี่ยให้เปิดโรงกลั่นเหล้าแล้ว แต่พ่อตาของฉันเป็นเจ้าของโรงกลั่นเหล้า เธอจึงไม่อยากเปิดแข่งกับพ่อของเธอ เธอจึงไม่ยอมเปิดมัน”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า เรื่องมันก็เป็นแบบนี้
เขาคิดอย่างรวดเร็วในใจ และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “พี่สะใภ้ งั้นคุณก็ไปเปิดโรงกลั่นเหล้าในชิงโจวไปเลย เป็นไง ? ”
“ด้วยวิธีนี้ คุณไม่ต้องกังวลว่าจะต้องแข่งขันเรื่องธุรกิจกับพ่อของพี่อีก”
จางหงเซี่ยตกตะลึงหลังจากได้ยินประโยคนี้ และพูดด้วยท่าทีไม่มั่นใจเล็กน้อย “ฉันเกรงว่าจะไม่สามารถใช้ทักษะของฉันในการผลิตเหล้าในชิงโจวได้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ฟังออกว่าที่จางหงเซี่ยต่อต้าน ไม่ใช่ว่าเธอไปอยากไปชิงโจว แต่เธอแค่ไม่มั่นใจในทักษะของเธอก็เท่านั้น
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างและถามว่า “พี่สะใภ้ เด็ก ๆ เองก็เรียนที่ชิงโจวใช่ไหม ? ”
จางหงเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า “คุณรู้ได้อย่างไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มแล้วถามว่า “พวกเขาเรียนที่ไหนในชิงโจว ? ”
จางหงเซี่ยเหลือบมองหยินซื่อ แล้วพูดว่า “เสี่ยวเจิ้งกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยครูในชิงโจว”
หยินซื่ออายุน้อยกว่าหลัวฉางเซิงสามปี แต่เขาแต่งงานกับจางหงเซี่ยเร็ว และมีลูกชายเพียงคนเดียวคือหยินเจิ้ง ซึ่งปีนี้อายุสิบเก้าปีและกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยครูในชิงโจว และจะสำเร็จการศึกษาในปีหน้า
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินก็พูดว่า “พี่สะใภ้ ผมก็สำเร็จการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยครูชิงโจวเหมือนกัน”
จางหงเซี่ยยิ้มและพูดว่า “ลูกชายของฉันชื่อหยินเจิ้ง ดังนั้นคุณก็ต้องเป็นรุ่นพี่ของเขา เขาจะสำเร็จการศึกษาในปีหน้า”
เมื่อพูดถึงลูกชายของเธอ รอยยิ้มที่มีความสุขก็ปรากฏบนใบหน้าของเธอ
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “เยี่ยมมาก ถ้าเขาต้องการทำงานต่อในชิงโจวหลังจากเรียนจบ เขาสามารถไปสอนที่โรงเรียนของผมได้”
จางหงเซี่ยตกตะลึงและพูดด้วยความตกใจ “เสี่ยวไป๋ คุณสร้างโรงเรียนด้วยงั้นเหรอ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับโรงเรียนประถมฉิวซู่ที่เขากำลังสร้าง
หยินซื่อและจางหงเซี่ยรู้สึกตื่นเต้นมากหลังจากได้ยินเรื่องนี้ หยินซื่อจึงกล่าวว่า “เสี่ยวเจียง โรงเรียนของคุณมีสวัสดิการที่ดี งั้นแบบนี้ก็ต้องมีคนแข่งขันกันสูงน่ะสิ ? ”
จางหงเซี่ยก็รีบพูดออกมาว่า “เสี่ยวเจิ้งสามารถไปสอนในโรงเรียนของคุณได้จริงเหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม “ครั้งล่าสุดที่ผมกลับไปมหาวิทยาลัยครู คือขอให้อาจารย์ใหญ่จูเผยชิงช่วยผมหาครูอาสาไปสอนนักเรียนบนภูเขา”