ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 6: รักษาภาพลักษณ์คนดีมีเกียรติ
ตอนที่ 6: รักษาภาพลักษณ์คนดีมีเกียรติ
เมื่อมองซาลาเปาที่หลินเจียอินยื่นมาให้ หัวใจของเจียงเสี่ยวไป๋วูบไหวเล็กน้อย
ชาติที่แล้วเขาสนใจแค่ให้ตัวเองกินอิ่มนอนหลับก็พอ เขาไม่เคยสนใจมาก่อนว่าภรรยาและลูกสาวจะมีอะไรกินหรือไม่
แต่หลินเจียอินล่ะ ?
ต่อให้เธอยังหิวอยู่ แต่เธอก็ยังคงยื่นซาลาเปาลูกสุดท้ายให้เขา
เธอเป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่ง
แต่เขากลับไม่เคยเห็นค่าของเธอมาก่อน ตอนนี้เจียงเสี่ยวไป๋แทบอยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาดใหญ่ ๆ
“ผมไม่หิว คุณรีบกินเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มให้เธอและพูดอย่างอ่อนโยน
แท้จริงแล้วตั้งแต่ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาจากการเกิดใหม่ เขาก็ยังไม่ได้กินอะไรมาก่อน บวกกับเขาทุ่มเทแรงทั้งหมดในการวิ่งไล่ตามหลินเจียอินมาเป็นระยะทางกว่า 6-7 ลี้ ไหนจะปั่นจักรยานอีก 10 กว่าลี้ เขาสูญเสียพลังงานไปเยอะมาก และหิวจนเริ่มตาลายแล้ว
แต่เขารู้ว่าหลินเจียอินยังไม่อิ่ม ดังนั้นเขาจึงยอมหิวเพื่อให้เธอได้กิน
หลินเจียอินผงะไปเล็กน้อย แต่ก่อนขอแค่มีของกิน เจียงเสี่ยวไป๋ก็จะเอาไปกินจนหมดเสมอ เขาไม่มีทางปฏิเสธแบบนี้แน่ คราวนี้เขากลับไม่ยอมกิน มันเหนือความคาดหมายของเธอไปมาก
บางที เขาอาจจะไม่หิวจริง ๆ ล่ะมั้ง ?
คงมีแค่เหตุผลนี้แล้ว
หลินเจียอินไม่ได้ซักไซร้เขา เธอกำลังจะกินซาลาเปา แต่จู่ ๆ หญิงสาวนึกบางอย่างได้ เธอไม่ได้กินซาลาเปาต่อ แต่กลับเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างระมัดระวัง
“คุณไม่กินแล้วหรือ ? ” เจียงเสี่ยวไป๋ถามด้วยความสงสัย
“ฉันจะเก็บไว้ให้ชานชาน ลูกใกล้จะ 5 ขวบแล้ว แต่ยังไม่เคยได้กินซาลาเปามาก่อนเลย” หลินเจียอินพูดเสียงแผ่ว
เจียงเสี่ยวไป๋หน้าชา คำพูดของหลินเจียอินทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเขาราวกับคมมีด
มันคือความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่อาจพูดออกมาได้
ผ่านไปครู่นึง เขาถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมา แล้วพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำให้คุณและลูกต้องลำบากอีกแล้ว”
พูดจบ เขาก็จูงจักรยานเดินหน้าต่อไป
หลินเจียอินเดินตามไปเงียบ ๆ เธอรับรู้ได้ว่าอารมณ์ของเขาดูเปลี่ยนไป แต่ไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังกับคำพูดของเขา
เมื่อก่อนเจียงเสี่ยวไป๋ก็เคยพูดคำพูดแบบนี้เหมือนกัน แต่สุดท้ายเธอและลูกก็ใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้นที่สุดไม่ใช่หรือ
ชิงโจวเป็นเมืองระดับจังหวัด แม้ว่าตอนนี้จะยังมีอาคารสูงไม่มากนัก แต่ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นแล้ว มีผู้คนสัญจรไปมาบนท้องถนนและผู้คนมากมายกำลังขี่จักรยาน
ในยุคสมัยนี้ จักรยานเป็นพาหนะหลักในการเดินทางของผู้คน
และเนื่องจากมีผู้คนหันมาขี่จักรยานมากขึ้น จึงมีแผงซ่อมรถเกิดขึ้นหลายแห่งเช่นกัน ลำพังแค่ถนนในชิงซานก็มีอยู่หลายที่แล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋จูงจักรยานเดินไปด้านหน้า ระหว่างทางได้ผ่านแผงซ่อมรถอยู่ร้านหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้หยุด
ตอนนี้เขาเงินหมดตัวแล้ว ไม่ใช่ว่าจะเลือกปะยางร้านไหนก็ได้
เพราะถึงอย่างไรคนเขาก็เปิดแผงเพื่อหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวตนเอง
ถ้าทำฟรี ๆ ใครเขาจะยอม ?
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รีบร้อนเลยสักนิด เขาเดินไปตามถนนตามความทรงจำ ใช้เวลาไม่นาน ก็เจอแผงซ่อมรถ
ในยุคสมัยนี้ แผงลอยทั่วไปไม่มีหน้าร้าน ส่วนใหญ่ตั้งชิดกำแพงบ้านพักอาศัยริมถนน แล้วใช้กล่องกระดาษเขียนคำว่า “เติมลม, ปะยาง’ ตั้งไว้ด้านหน้า
การตั้งแผงข้างถนนนั้นไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากนัก
แค่บอกให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขาทำอะไร ไม่ต้องมีชื่อร้านก็ได้
แต่แผงซ่อมรถที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นแตกต่างจากที่อื่น
เพราะแผงซ่อมรถนี้มีชื่อร้าน
แม้จะเขียนไว้บนกระดาษลังว่า “ปะยาง-เติมลม” เหมือนกัน แต่แผงนี้กลับมีชื่อร้านเพิ่มเข้ามาว่า“อู่ซ่อมรถกวงหรง”
เจ้าของร้านเป็นชายร่างผอมสูงตัวตรง สวมเครื่องแบบทหารปลดเกษียณแบบ 65 (ไม่มีดาวแดงและแถบตรงปกคอ)
เมื่อเห็นเจ้าของร้าน เจียงเสี่ยวไป๋ดีใจมาก เขาเดินเข้าไปทักทายอย่างเป็นกันเอง “สหายหลี่ กิจการเป็นไปได้ดีไหม”
เจ้าของร้านมีชื่อว่าหลี่กวงหรง เป็นทหารผ่านศึก
แม้ว่าในขณะนี้เขาจะเป็นเพียงช่างซ่อมรถในร้านแผงลอย แต่ต่อมา เขาได้เป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศ
ชาติที่แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋เคยไปมาหาสู่กับเขา
แต่ถ้าเป็นเมื่อชาติที่แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ได้รู้จักกับหลี่กวงหรงหลังจากที่เขากลายเป็นเศรษฐีไปแล้ว ครั้งนี้เป็นเพราะเขากลับมาเกิดใหม่ จึงมาหาอีกฝ่ายก่อน ทำให้ทั้งสองได้พบกันเร็วยิ่งขึ้น
“สหาย นายรู้จักฉันหรือ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้จักหลี่กวงหรง แต่หลี่กวงหรงยังไม่รู้จักเจียงเสี่ยวไป๋ เมื่อได้ยินเขาเรียกตนเองว่าสหายหลี่ หลี่กวงหรงจึงสงสัย
“สหายหลี่เป็นคนซื่อตรง ซ่อมรถเก่ง และชอบช่วยเหลือผู้อื่น เขาคือเหลยเฟิงแห่งถนนสายนี้ ใครบ้างจะไม่รู้จัก”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดเยินยอโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
แต่เขากลับไม่ได้พูดเหลวไหล เพราะตามความทรงจำของชาติที่แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋รู้แม้กระทั่งนิสัยและเรื่องในครอบครัวของหลี่กวงหรง
เพราะหลี่กวงหรงเป็นต้นแบบของชายผู้มากพิธี เขาให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ของตัวเองเป็นพิเศษ ขนาดเปิดแผงซ่อมรถมีชื่อร้านที่ใช้ชื่อตัวเองที่แปลว่า “รุ่งโรจน์” มาตั้ง เขาสวมเครื่องแบบทหารตลอดทั้งปีเพื่อสร้างบุคลิกทหารผ่านศึก ต่อมาในปลายปี 1990 กระทั่งตอนซ่อมรถ เขาก็ยังสวมเสื้อเชิ้ตและเนคไท เรียกได้เต็มปากเลยว่าเขาผู้นี้คือผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วย “พลังด้านบวก”
แน่นอนว่าหลี่กวงหรงเองไม่ได้แค่มีดีที่ชื่อเท่านั้น แต่เขายังทำความดีเอาเยี่ยงอย่าง “เหลยเฟิง” ด้วย
เพียงแต่หลี่กวงหรงคนนี้ทำความดีชอบป่าวประกาศ ในชาติที่แล้ว เขามักจะคิดอยู่ทุกวันว่าจะทำอย่างไรให้หนังสือพิมพ์ลงข่าวส่งเสริมบารมีของเขา
เจียงเสี่ยวไป๋รู้เรื่องนี้ดี ถึงได้พูดแบบนี้ออกไป
คำพูดของเขาใช้ได้ผลจริงด้วย หลี่กวงหรงได้ยินก็มองดูจักรยานที่ยางหน้าแบนแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชาย รถนายยางแบนหรือ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะปะให้เหมือนใหม่เลย”
เจียงเสี่ยวไป๋พูด “ฉันมาที่นี่ก็เพื่อขอความช่วยเหลือจากสหายหลี่ไม่ใช่หรือ ? ”
ดวงตาที่แหลมคมของหลี่กวงหรงสั่นไหวอย่างสังเกตไม่ได้ ในใจของเขามีลางสังหรณ์บางอย่าง แต่เขายังคงยิ้มเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิแล้วถามว่า “ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถอนหายใจ “วันนี้ฉันรีบร้อนออกมาจากบ้าน เลยไม่ได้พกเงินมาด้วย ระหว่างทางจักรยานดันยางระเบิดอีก ได้ยินว่าสหายหลี่ชอบทำความดีเหมือนเหลยเฟิง บังเอิญเหลือเกินที่บนถนนชิงซนมีคนดี ๆ อย่างสหายหลี่ ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องจูงรถกลับอำเภอชิงซานแล้ว”
“ก็แค่ปะยางเอง”
หลี่กวงหรงพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ “เวลาอยู่นอกบ้าน มีใครบ้างที่ไม่เคยประสบพบเจอกับความลำบากมาก่อน สหายมาให้ฉันช่วย นั่นหมายความว่าเชื่อมั่นในคนอย่างฉันหลี่กวงหรงได้เลย”
“รอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปเอาอุปกรณ์ปะยางมาก่อน”
พูดจบ เขาก็หันหลัง ทว่ามุมปากของเขากลับกระตุกอย่างแรง ในใจรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อย
ยุคสมัยนี้คนที่มีจักรยานต่างก็เป็นคนมีเงินทั้งนั้น และเงินของคนรวยก็หาได้ง่ายเช่นกัน ทุกทีเขาจะคิดค่าปะยางที่ราคา 2 เหมา
เงิน 2 เหมาซื้อข้าวสารได้ 2 ชั่งเชียวนะ
แต่เขายังต้องรักษาบุคลิกของคนดีผู้ทรงเกียรติเอาไว้
คนดีก็ต้องเป็น เรื่องดี ๆ ก็ต้องทำ
ประมาณ 10 นาทีต่อมา หลี่กวงหรงทั้งปะยางและเติมลมยางให้เขา เจียงเสี่ยวไป๋พูดขอบคุณอยู่หลายครั้ง แล้วพาหลินเจียอินกลับไปทางเดิน
ถนนลูกรังเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ทำให้จักรยานสะเทือนกึกกักตลอดทาง ต่อให้หลินเจียอินไม่อยากใกล้ชิดเจียงเสี่ยวไป๋มากแค่ไหน แต่เพื่อให้ตนเองได้นั่งอย่างมั่นคง เธอจึงทำได้เพียงใช้สองมือจับชายเสื้อที่เอวของเจียงเสี่ยวไป๋
เฮอะ ๆ แบบนี้ถือว่าภรรยากำลังกอดเราอยู่ใช่ไหม ?
เจียงเสี่ยวไป๋ออกแรงถีบจักรยานอย่างสบายอารมณ์
ในที่สุดเขาก็ได้พาภรรยารักกลับบ้าน จะได้เริ่มต้นชีวิตที่มีความสุขเสียที
ระยะทางห่างกันเพียงสิบกว่าลี้ ถีบจักรยานไปอย่างช้า ๆ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงอำเภอชิงซานแล้ว
“เจียงเสี่ยวไป๋ ! ”
ทันใดนั้น ได้มีเสียงผู้หญิงตะโกนเรียกเขาด้วยความโมโห จากนั้น ได้มีหญิงสาวหน้าตาดีวัยยี่สิบต้น ๆ คนหนึ่งวิ่งออกมาจากต้นหลิวขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างทางถนน เธอวิ่งกางแขนออกมาขวางทางรถจักรยานเอาไว้
เจียงเสี่ยวไป๋รีบบีบเบรค ทำให้รถจักรยานหยุดกึก
เมื่อเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนที่เข้ามาขวางรถอย่างชัดเจน เขาก็ทำหน้าเจื่อน ก่อนหน้านี้เขามัวดีใจไปหน่อยจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
คราวนี้โดนจับได้แบบต่อหน้าต่อตาแล้ว ภรรยารักจะต้องรู้สึกแย่กับเขามากขึ้นแน่นอน
แต่เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาจะไม่มีวันหนีปัญหาเหมือนในอดีตอีกแล้ว
“ที่รัก คุณลงจากจักรยานก่อน”
เจียงเสี่ยวไป๋หยุดจักรยาน เขาให้หลินเจียอินลงจากจักรยานด้วยสีหน้าสำนึกผิด หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว เขาก็พูดกับผู้หญิงตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม “เป็นคุณนี่เอง”
“ถ้าไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครห๊ะ ? ”
จางชุ่ยฮวาพูดด้วยความโมโหขณะมองไปยังชายหนุ่มคนที่ขโมยจักรยานของเธอไป