ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 600 : สอบถามเกี่ยวกับร้านค้า
เมื่อทั้งสองเดินมา อาหารก็อยู่บนโต๊ะแล้ว
มีอาหารหลักสองอย่าง คือปลาเปรี้ยวหวาน และเนื้อแกะตุ๋นหัวไชเท้าเปรียว และอาหารอื่น ๆ อีกประมาณสิบจาน
หม่าหลี่กล่าวว่า “เมื่อเทียบกับครอบครัวของเหล่าหลัวและเหล่าหยิน ที่บ้านของฉันไม่มีอาหารจานพิเศษอะไร มีแต่ปลาที่เอามาจากแม่น้ำยี่สุ่ย ส่วนเนื้อแกะก็เป็นแกะภูเขาที่ถูกล่ามา ฉันซื้อมาแล้วเอาเนื้อมาตากเก็บไว้”
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูอาหารที่แตกต่างกันทุกวันและรู้สึกประทับใจมาก เขาพูดว่า “ผมมาอยู่ที่นี่สองสามวันก็ได้กินแต่ของดี ๆ ที่พวกคุณเก็บไว้”
หม่าหลี่ยิ้มและพูดว่า “คุณกำลังพูดถึงอะไร แม้ว่าถู่เฉิงจะเป็นเมืองที่ยากจนข้นแค้น แต่วัตถุดิบจากธรรมชาติเหล่านี้ก็ยังหาซื้อได้ไม่ยาก”
หลังจากที่ทุกคนมานั่งที่โต๊ะแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งหยิบแก้วตาวัวออกมาและพูดว่า “นี่ต้องเป็นพี่สะใภ้ของผมแน่ ๆ ! ”
หม่าหลี่แนะนำ “เธอชื่อหยางปี้ชุน ภรรยาของฉัน”
“สวัสดีครับพี่สะใภ้ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ลุกขึ้นยืนและกล่าวสวัสดีทันที
“สวัสดีเถ้าแก่เจียง ฉันได้ยินมาว่าในบ้านของนายอำเภอหลัวและผู้อำนวยการหยิน พวกคุณดื่มเหล้าขว้างชาม แต่บ้านของฉันมีขนาดเล็ก ไม่มีที่ให้ขว้างชาม ดังนั้นวันนี้พวกคุณจึงได้ดื่มในถ้วยตาวัวแทน อย่าถือสากันเลยนะ”
หยางปี้ชุนกล่าวขอโทษออกมา
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋เห็นแก้วตาวัว เขาก็ดูจะมีความสุข ดังนั้นเขาจึงรีบพูดว่า “สะใภ้ ไม่เป็นไร ผมเองก็ไม่ได้จะมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาให้กับคุณ”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร มานั่งกินข้าวเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋นั่งลงและหม่าหลี่ก็เริ่มเทเหล้า ซึ่งเหล้าที่เขาหยิบออกมาคือเหมาไถ และมีอยู่สามขวดบนโต๊ะ
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกโล่งใจมาก
สาเหตุหลักก็มาจากวันนี้มีคนดื่มเยอะ ทั้งหลัวฉางเซิง หยินซื่อ หม่าหลี่ หม่าเหวินเจี๋ย และหม่าเหวินยิน มีคนที่ดื่มทั้งหมด 9 คน
แต่ก็ไม่แคล้วที่จะทำให้เขาเห็นว่าคนในถู่เฉิงนั้นชอบดื่มกันจริง ๆ แม้แต่เด็กสาวที่อายุต่ำกว่า 20 ปีอย่างหม่าเหวินยินก็ยังดื่มเป็น
หลังจากที่เทเหล้าให้ทุกคนแล้ว หม่าลี่ก็กล่าวเปิด จากนั้นทุกคนก็เริ่มดื่มและทานอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งบรรยากาศก็ค่อนข้างผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
หลังจากดื่มเหล้าไปสามแก้ว และลิ้มรสอาหารห้าอย่าง
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “รองนายอำเภอหม่า ในถู่เฉิงพอจะมีร้านแถวไหนว่างให้เช่าบ้างครับ ? ”
ก่อนที่หม่าหลี่จะพูดได้ หม่าเหวินเจี๋ยก็พูดว่า “อาเจียง คุณต้องการร้านใหญ่ขนาดไหน ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “นายรู้เหรอว่ามีร้านค้าแถวไหนที่ว่างให้เช่า ? ”
หม่าเหวินเจี๋ยพูดด้วยความภาคภูมิใจ “เวลาไม่มีอะไรทำ ผมมักจะออกไปเดินเล่นบ่อย ๆ เลยพอจะรู้ว่าร้านไหนเปิด ร้านไหนปิด ร้านไหนธุรกิจดี และร้านไหนธุรกิจไม่ดี”
เจียงเสี่ยวไป๋เหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “แล้วถนนสายไหนที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุด ? ”
หม่าเหวินเจี๋ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และถามด้วยความสับสน “พลุกพล่านคืออะไรเหรอ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบาย “พูดง่าย ๆ ก็คือถนนเส้นที่ผู้คนสัญจรผ่านไปมาเยอะ ๆ ”
หม่าเหวินเจี๋ยพยักหน้าเข้าใจ และพูดว่า “ถนนที่คนพลุกพล่านมากที่สุดในถู่เฉิงคือเส้นวัดถู่หวัง ที่นั่นมีผู้คนคึกคักที่สุดแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ยังไม่เคยไปแถววัดถู่หวัง ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “มันอยู่ที่ไหน ? ”
“ป่าป๊า หนูรู้ค่ะ ! ” เจียงชานรีบพูดขึ้นมา
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “วันนี้หนูไปมาแล้วหรือ ? ”
เจียงชานพยักหน้า “วันนี้พี่ใหญ่และพี่สาวพาหนูไปที่วัดถู่หวัง ภายในมีพระโพธิสัตว์ดินเหนียวสีสันสดใสอยู่ด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋ถามว่า “ที่นั่นมีคนเยอะไหม ? ”
เจียงชานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถึงแม้จะไม่มาก แต่ก็มีชีวิตชีวากว่าถนนสายอื่นนิดหน่อยค่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปกติแล้วจะไม่มีใครออกไปข้างนอกในวันที่อากาศหนาวแบบนี้ แต่ถ้าหากยังมีคนไปที่นั่น ก็แสดงว่าที่นั่นมีชีวิตชีวาจริง ๆ
เขามองไปที่หม่าเหวินเจี๋ยอีกครั้งและพูดว่า “วัดถู่หวังมีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ ? ”
หม่าเหวินเจี๋ยกล่าวว่า “ที่นั่น นอกจากวัดแล้วก็ไม่มีอะไรน่าดึงดูดเป็นพิเศษหรอก”
หม่าหลี่เข้ามารับช่วงต่อ “คนในถู่เฉิงต่างคิดว่าพระโพธิสัตว์ในวัดถู่หวังนั้นศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนจำนวนมากไปที่นั่นเพื่อจุดธูปขอพร นอกจากนี้ยังมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ในวัด ซึ่งน้ำในบ่อก็ใสและมีรสชาติหวานชื่นใจ ผู้คนพากันศรัทธาและมักตักน้ำกลับบ้านไปกิน เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีผู้คนมาอาศัยอยู่รอบ ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ และมีการสร้างถนนเกิดขึ้นที่นั่น ถนนยาวไม่ถึงร้อยเมตร กว้างไม่เกินหกฟุต หน้าวัดจึงเริ่มมีพ่อค้าแม่ค้ามาขายธูป เทียน กระดาษเงิน และประทัดกันมากมาย และธุรกิจแถวนั้นจึงค่อนข้างดี”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม นี่คือต้นแบบของสถานที่ท่องเที่ยวในอนาคต
แน่นอนว่าเขาไม่สนใจเรื่องนี้ และถามหม่าเหวินเจี๋ยไปว่า “แล้วแถวนั้นมีร้านว่างให้เช่าบ้างไหม ? ”
“เหมือนจะเห็นว่ามีนะ ! ” หม่าเหวินเจี๋ยกล่าวทันที
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยความประหลาดใจ “นายรู้ดีขนาดนั้นเลยเหรอ ? ”
หม่าเหวินเจี๋ยกล่าวว่า “ธุรกิจร้านค้าแถวหน้าวัดถู่หวังค่อนข้างดี ส่วนมากจึงไม่ค่อยมีร้านว่างให้เช่า แต่ไม่กี่วันก่อน เหล่าฮวงโหวเสียชีวิตไป หน้าร้านของเขาจึงว่าง ตอนแรกผมคิดจะเช่าต่อแล้วขายของ”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เขาก็เหลือบมองหม่าหลี่อย่างลับ ๆ และพูดว่า “แต่พ่อไม่อนุญาต ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและถามว่า “ร้านใหญ่ไหม ? ”
หม่าเหวินเจี๋ยส่ายหัว “ร้านค้าแถวหน้าวัดถู่หวังนั้นจะไม่ใหญ่นัก แต่มีทั้งหน้าร้านและห้องด้านหลัง หน้าร้านมีขนาดประมาณ 10 ตารางเมตร ด้านหลังมีห้องสี่ห้อง ถ้าจะซื้อก็มีราคาเพียง 1,200 หยวนเท่านั้น”
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูหม่าเหวินเจี๋ยอย่างลึกซึ้ง และพบว่าเด็กคนนี้ค่อนข้างเป็นคนที่ละเอียดและช่างสังเกตการณ์ เขาจึงพูดว่า “เอาล่ะ พรุ่งนี้พาฉันไปดูหน่อย ถ้าฉันชอบฉันจะรับช่วงต่อ และให้นายไปเปิดร้านที่นั่น เป็นไง ? ”
ในตอนแรกหม่าเหวินเจี๋ยดูจะมีความสุขมาก แต่จากนั้นไม่นานเขาก็หดหู่และพูดว่า “อาเจียง ที่จริงแล้ว…ผมก็อยากจะเปิดร้านเป็นของตัวเอง”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกยินดีและถามว่า “นายต้องการเปิดร้านแบบไหน ? ”
หม่าเหวินเจี๋ยกล่าวว่า “แน่นอนว่าผมอยากขายของแถวหน้าวัดถู่หวัง ถ้าถามว่าอยากขายอะไรก็ขายธูปเทียนต่อจากเหล่าฮวงโถวไปก่อน เพราะของที่เขาเอามาขายก็ยังอยู่ในร้าน เรารับช่วงต่อมา ถ้าขายมันได้ เราก็จะได้เงิน หลังจากนั้นจะเอาทุนไปลงเปิดร้านขายอะไรก็ได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วนายอยากจะเปิดร้านอะไรล่ะ ? ”
หม่าเหวินเจี๋ยกล่าวว่า “คนในถู่เฉิงชอบดื่มและดื่มเก่งมาก ถ้าผมมีทุนเปิดร้านเป็นของตัวเองได้ ตัวเลือกแรกของผมคือขายเหล้า ผมจะนำเหล้าจากทั่วประเทศมาขายในถู่เฉิง หากร้านของผมมีสินค้าให้เลือกมากมายและยังเป็นเหล้าชั้นดี ผมเชื่อว่าธุรกิจจะต้องไปได้ดีแน่นอน”
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูชายหนุ่มด้วยความประหลาดใจ ผู้ชายคนนี้มีหัวการค้าที่ดี
เพราะเขาเองก็ต้องการตัวแทนขายเบียร์และเหล้าในถู่เฉิงเหมือนกัน
ทว่าหม่าเหวินเจี๋ยกลับมองเห็นอย่างที่เขาเห็น
เขาพยักหน้าและพูดว่า “เสี่ยวเจี๋ย นายเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และมีความคิดที่ก้าวหน้า ทั้งยังมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่หลายคนคิดไม่ถึง”
หม่าหลี่ได้ยินสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูด จึงหัวเราะออกมา “เสี่ยวเจียง อย่าไปฟังคำโอ้อวดของเขาเลย เขาก็แค่คุยโม้ ไม่ได้จริงจังอะไรหรอก”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม และกล่าวว่า “การจะเป็นนักธุรกิจนั้นต้องกล้าที่จะคิดต่างจากคนอื่น ผมคิดว่าเขาค่อนข้างเป็นคนหัวการค้า”
หม่าเหวินเจี๋ยได้ยินคำพูดนี้ก็มีความสุขมาก เขาอยากทำธุรกิจมาตลอด แต่ไม่เคยได้รับการสนับสนุนจากพ่อแม่เลย ไม่คาดคิดว่าอาเจียงที่เพิ่งมาที่บ้านเป็นครั้งแรกจะมองข้อดีของเขาออก และสนับสนุนความคิดของเขา เขารู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจผู้ชายคนนี้ขึ้นมาทันที จึงหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “อาเจียง ขอบคุณสำหรับกำลังใจ มา ผมจะดื่มอวยพรให้คุณ ! ”