ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 605: หากอยากขาย ต้องเรียนรู้ที่จะเล่าเรื่อง
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 605: หากอยากขาย ต้องเรียนรู้ที่จะเล่าเรื่อง
ตอนที่ 605: หากอยากขาย ต้องเรียนรู้ที่จะเล่าเรื่อง
“อาเจียง ทำไมอาถึงเพิ่งมา ? ”
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ หม่าเหวินเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะบ่น
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างจริงจังว่าว่า “ฉันขอโทษที่ให้รอ”
หม่าเหวินเจี๋ยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป หลังจากสงบลงแล้ว เขาก็รีบพูดว่า “ไม่เป็นไร ผมแค่พูดเล่นเฉย ๆ อาเจียงอย่าถือสาเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “มันเป็นความผิดของฉัน ฉันมาสายและทำให้นายเสียเวลา ดังนั้นฉันควรจะขอโทษ”
หม่าเหวินเจี๋ยมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ แล้วพูดว่า “อาเจียง คุณแตกต่างจากพ่อของผมและคนอื่นมาก ! ”
“พวกเขาไม่เคยคิดว่าตัวเองทำอะไรผิดเลย พวกเขาคิดเสมอว่าผมยังเป็นเด็ก แม้ว่าจะทำอะไรผิด พวกเขาก็จะไม่ขอโทษ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “นายพูดถูกแล้ว ในสายตาของพ่อแม่ นายจะยังเป็นเด็กตลอดไป ไม่ต้องพูดถึงว่าตอนนี้นายอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ เท่านั้น แม้ว่านายจะอายุห้าสิบหรือหกสิบก็ตาม ในใจพ่อแม่ของนาย นายจะยังคงเป็นเด็กอยู่เสมอ”
“เด็กน้อย นายควรซึบซับความรู้สึกที่มีพ่อแม่อยู่เคียงข้างเอาไว้มาก ๆ นะ ! ”
“ส่วนที่เหลือ นายไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยเกินไป ฉันเองก็ไม่ต่างจากพวกเขา ทุกคนต่างก็มีวิธีการแสดงออกที่แตกต่างกันออกไป”
หม่าเหวินเจี๋ยเกาหัว เหมือนเขาจะเข้าใจสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูด แต่เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก และขอให้เขาพาไปข้างนอก
หม่าเหวินยินเดินตามไปด้วย โดยพูดคุยกับเจียงชานไปพร้อมกัน
หม่าเหวินเจี๋ยนำทาง และรถจี๊ปก็มาถึงวัดถู่หวังอย่างรวดเร็ว โดยจอดรถในพื้นที่ว่างหน้าประตูวัด
หลังลงจากรถแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็มองไปที่วัดถู่หวัง ประตูวัดมีขนาดไม่ใหญ่นัก แนวกำแพงสีแดงยาวแสดงสัญญาณของความเก่าแก่ สร้างบรรยากาศอันเงียบสงบและเคร่งขรึม
วัดนี้มีต้นสนโบราณ ซึ่งแม้ในฤดูกาลนี้ก็ไม่เหี่ยวเฉา พวกมันชูช่อเขียวขจีตั้งตระหง่านสูง กิ่งก้านหนาทึบ แผ่ใบไม้ปกคลุมหลังคาของวิหารเล็ก ๆ ให้อยู่ภายใต้ร่มเงาสีเขียว
ด้านหลังวัดมีเทือกเขาที่มีรูปร่างแปลกตาคล้ายกับหมวกของนายพลในสมัยโบราณ
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋จ้องมองไปที่ภูเขาที่อยู่ห่างไกล หม่าเหวินเจี๋ยกล่าวว่า “นั่นเรียกว่าภูเขาของนายพลหรือที่รู้จักกันในชื่อภูเขาถู่หวัง ว่ากันว่าในสมัยโบราณ นายพลนามสกุลปา เสียชีวิตในสนามรบ และศีรษะของเขาถูกตัดออกและกลายเป็นภูเขาลูกใหญ่นั้น……”
จีนเป็นประเทศที่แปลกประหลาดมาก ใครก็บอกว่าชาวจีนเกิดมาพร้อมกับจินตนาการภาพโรแมนติก ภูเขาที่ถูกสร้างขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์โดยธรรมชาติ แต่ชาวจีนมักจะจินตนาการเชื่อมโยงเรื่องราวมากมาย ทำให้มีตำนานนับไม่ถ้วนที่ได้รับการสืบทอดมาจากสมัยโบราณ
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่เคยเชื่อในตำนาน แต่เขาไม่ได้ขัดจังหวะหม่าเหวินเจี๋ย เป็นเรื่องดีที่ลูกสาวของเขาได้ยินเรื่องราวแปลกใหม่บ้าง
หม่าเหวินเจี๋ยเล่าตำนานอย่างละเอียดถี่ถ้วน และเจียงเสี่ยวไป๋ก็พยักหน้าเห็นด้วย โดยกล่าวว่า “นายคารมคมคายดี ทำให้เรื่องราวน่าสนใจมากขึ้น”
หม่าเหวินเจี๋ยหัวเราะ “พ่อกับแม่มักจะบอกว่าผมชอบพูดมากเกินไป”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือและพูดอย่างจริงจังว่า “ที่จริงแล้วหากนายต้องการทำธุรกิจ การเล่าเรื่องถือเป็นทักษะที่สำคัญมาก”
“หากต้องการขายดี คุณต้องเล่าเรื่องให้ดีก่อน”
หม่าเหวินเจี๋ยมองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจและงุนงง
เจียงเสี่ยวไป๋เล่าตัวอย่างให้เขาฟังอย่างไม่เป็นทางการ เช่น ขายหวีให้พระ ขายโคมไฟให้คนตาบอด และเมื่อคนตาบอดขอร้องโดยเขียนป้ายไว้ว่า ‘ฉันตาบอดและมองไม่เห็นอะไรเลย’ เมื่อผู้สัญจรไปมาใจดีเปลี่ยนป้ายเป็น ‘ฤดูใบไม้ผลิมาแล้ว แต่ฉันไม่เห็นอะไรเลย…’
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวการขาย เขาเล่าให้หม่าเหวินเจี๋ยฟัง ส่วนเขาจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้นได้มากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับตัวของหม่าเหวินเจี๋ยเอง
ในขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน พวกเขาก็มาถึงถนนเมี่ยวหวังแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋เงยหน้าขึ้นมอง บนถนนสายสั้นและแคบแห่งนี้มีร้านค้าค่อนข้างน้อยและคนเดินถนนไม่กี่คน เมื่อเทียบกับถนนสายอื่น ๆ ในถู่เฉิง สถานที่แห่งนี้มีบรรยากาศที่มีชีวิตชีวามากกว่าเล็กน้อย
อย่างน้อยก็มีคน
สองข้างทางของถนนส่วนใหญ่เป็นร้านขายธูปและเทียน พวงหรีด กระดาษสีแดงขาว และประทัด นอกจากนี้ยังมีร้านค้าทั่วไป ร้านขายผ้า และร้านขายข้าวด้วย แต่ค่อนข้างน้อย
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงทางเข้าร้านที่ไม่เปิดให้บริการ บนป้ายไม้ที่ผุกร่อนมีตัวอักษร “หวงจี้” เขียนอยู่
หม่าเหวินเจี๋ยพูดว่า “อาเจียง เรามาถึงแล้ว รอสักครู่ ผมจะเคาะประตู”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้ามองไปรอบ ๆ ด้านซ้ายเป็นร้านขายธูปและเทียนที่มีป้ายเขียนว่า “โม่จี้” และทางด้านขวาเป็นร้านขายข้าวที่มีตัวอักษร “หวังจี้” อยู่บนป้าย
ทั้งสองร้านเปิดแล้ว แต่ยังไม่มีลูกค้าเลย
ร้านตรงข้าม “หวงจี้” เป็นร้านขายของชำที่มีป้าย “หลี่จี้” เจียงเสี่ยวไป๋สังเกตว่ามีลูกค้าอยู่ข้างใน ดูเหมือนกำลังซื้อซีอิ๊ว
“ไม่เลว ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พึมพำอยู่ในใจ
ในขณะนั้นเอง ประตูร้าน “หวงจี้” ก็เปิดออก และชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างท้วม ซึ่งดูเหมือนจะอายุประมาณสามสิบสี่หรือสามสิบห้าปีก็ก้าวออกมา ใบหน้าของเขาดูเหนื่อยล้า
“เสี่ยวหม่า นายมาแล้วเหรอ ! ”
เมื่อเห็นหม่าเหวินเจี๋ย ชายวัยกลางคนก็ทักทายเขาแล้วถามว่า “วันนี้ตกลงซื้อขายเลยใช่ไหม ? ”
หม่าเหวินเจี๋ยเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “พี่หวง ให้ผมแนะนำคุณก่อน” เขาชี้ไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ แล้วพูดว่า “นี่คืออาเจียงของผมที่มาจากชิงโจว”
ชายร่างท้วมวัยกลางคนจ้องมองไปที่หม่าเหวินเจี๋ยโดยไม่คาดคิด จากนั้นเขาก็จ้องมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น ใบหน้าของเขาดูประหลาดใจ และเขาก็ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “เถ้าแก่เจียง ผมไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่ถู่เฉิง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยพบกับชายคนนี้มาก่อน
ชายวัยกลางคนกล่าวว่า “เถ้าแก่เจียง ผมชื่อหวงเผิงจู่ ผมเป็นคนซื้อแฟรนไชส์กุ้งอบน้ำมันชิงเหอกลุ่มที่สอง ร้านแฟรนไชส์หมายเลข 31 ในชิงโจวเป็นของผม”
“โอ้ ที่แท้ก็คุณหวง สวัสดีครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างรวดเร็ว แต่ที่จริงแล้วเขาไม่มีความทรงจำของเรื่องนี้เลย
แฟรนไชส์และการรับสมัครกุ้งอบน้ำมันชิงเหอเคยได้รับการจัดการโดยหลินเจียอินมาก่อน เขาไม่ได้เกี่ยวข้องหรือสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าเขาจะกินกุ้งเครย์ฟิช เขาก็ไปร้านที่เขาเปิดกิจการเอง และเขาไม่เคยไปร้านแฟรนไชส์เลย เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเปิดร้านแฟรนไชส์บ้าง ?
อย่างไรก็ตาม การได้พบกับผู้รับสิทธิ์แฟรนไชส์รายหนึ่งของเขาในถู่เฉิงทำให้เขามีความสุขมาก เขาจึงหยิบบุหรี่ออกมาแล้วยืนให้กับหวงเผิงจู่
หวงเผิงจู่หยิบบุหรี่ด้วยมือที่สั่นคลอน รู้สึกเขินอายเล็กน้อย เขาพูดว่า “ผมจะกล้ารับบุหรี่ของคุณได้อย่างไร ในเมื่อคุณมาเยือนบ้านเกิดของผม”
ตอนที่เขาออกมาเปิดประตูเมื่อกี้ เขาไม่มีบุหรี่ติดตัวเลย
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือ “คุณหวงสุภาพเกินไป มันก็เหมือนกันหมด”
หวงเผิงจู่เหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋และถามด้วยความเคารพว่า “พ่อของผมเพิ่งจากไปเมื่อไม่กี่วันก่อน และเราได้จัดงานศพที่บ้าน ไม่ทราบว่าคุณเจียงถืออะไรเรื่องพวกนี้ไหม”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “คุณหวง ผมขอแสดงความเสียใจกับคุณด้วย ผมไม่รังเกียจสิ่งเหล่านี้เลย”
หวงเผิงจู่พูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณ คุณเจียงเข้าไปข้างในและคุยกันเถอะ ! ”