ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 622 : หนูน้อยเป็นนายหน้าซื้อขาย
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 622 : หนูน้อยเป็นนายหน้าซื้อขาย
ตอนที่ 622 : หนูน้อยเป็นนายหน้าซื้อขาย
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินลูกสาวบอกว่าอยากดื่มชา เขาจึงกล่าวว่า “เอาล่ะ พรุ่งนี้ตอนเที่ยง พ่อจะพาหนูมาดื่มชา”
“เย่ เยี่ยมเลย เราจะดื่มชากันอีก ! ”
เจียงชานโห่ร้องอย่างมีความสุขและพูดว่า “ป่าป๊าสัญญาว่าจะสอนวิธีชงชาให้หนู แต่เรายังไม่ได้เริ่มเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “โอ้ ใช่แล้ว พ่อเกือบลืมไป คราวที่แล้วพ่อไม่ได้ซื้ออุปกรณ์ชงชา เดี๋ยวพ่อจะไปซื้อแล้วสอนหนู”
“เยี่ยมเลย ! เมื่อหนูเรียนรู้วิธีชงชาได้แล้ว หนูจะชงให้ป่าป๊าดื่ม”
“พ่อจะตั้งตารอ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลังจากฟังบทสนทนาระหว่างพ่อกับลูกสาวแล้ว หลินเจียอินก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อยและอดไม่ได้ที่จะถามเจียงชานว่า “ลูกอยากดื่มชา เรามีชาทั้งในที่ทำงานและที่บ้าน ลูกสามารถชงเองได้ ทำไมต้องให้ป่าป๊าสอนล่ะ”
เด็กน้อยกลอกตาใส่หลินเจียอิน “หม่าม๊าไม่เข้าใจหรอก การชงชามีความเฉพาะเจาะจงมาก มีการล้างถ้วย อุ่นถ้วย เทชา การชง……มีหลายขั้นตอนและเทคนิคมากมาย”
“นอกจากนี้ชายังมีหลายชนิด เช่น ชาเขียว ชาขาว ชาเหลือง และชาดำ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ประเภทหลัก และวิธีการชงชาแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน”
“ยิ่งไปกว่านั้นการชงชายังต้องใช้อุปกรณ์หลายอย่าง เช่น ชามชา กาน้ำชา ถ้วยชิม และอุปกรณ์ในพิธีชงชาและอื่น ๆ ”
“……”
หลินเจียอินตกตะลึง ลูกสาวตัวเล็กของเธอคนนี้รู้มากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
ไม่นาน ความสงสัยในใจของเธอก็ถูกเฉลย เจียงชานก็พูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ครั้งล่าสุดที่หนูไปเจียงเฉิงกับป่าป๊า เราดื่มชาในโรงน้ำชา ป่าป๊าก็สอนหนู”
หลินเจียอินยิ่งสับสนมากขึ้น และมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ “คุณไปเรียนชงชามาตั้งแต่เมื่อไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถูกถามแบบนั้นก็รีบอธิบายว่า “ตอนนี้ผมติดต่อกับผู้นำแทบทุกวันไม่ใช่หรือ ? ผู้นำหลายคนชอบดื่มชา ดังนั้นผมจึงเรียนรู้วิธีชงชาจากร้านน้ำชาในเจียงเฉิง”
“อ้อ ! ” หลินเจียอินกึ่งเชื่อ กึ่งสงสัย แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก
เจียงเสี่ยวไป๋จึงชวนเปลี่ยนประเด็น “ไปกันเถอะ ไปรับพี่หงเซี่ยกันก่อน”
หลินเจียอินพยักหน้า
ครอบครัวทั้งสามออกจากร้านนวดเท้าไปขึ้นรถจี๊ป และมุ่งหน้าตรงไปยังเกสต์เฮาส์ชิงเจียง
จางหงเซี่ยอาศัยอยู่ในห้อง 207
เมื่อมาถึงประตู เจียงชานก็เริ่มเคาะประตู
เมื่อประตูเปิดออก จางหงเซี่ยเห็นทั้งสามคน รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของเธอ เธอทักทายเจียงชานก่อน แล้วจึงมองไปที่หลินเจียอิน เธอคาดเดาได้โดยไม่ได้แนะนำตัว จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คงเป็นน้องเจียอิน ไม่น่าแปลกใจที่ชานชานมักจะพูดว่าแม่ของเธอสวย เธอเป็นผู้หญิงที่สวยเหมือนนางฟ้าจริง ๆ ! ”
หลินเจียอินหน้าแดงและกล่าวสวัสดี “สวัสดีค่ะ พี่หงเซี่ย ! ”
เมื่อมองดูผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเธอ เธอสูงกว่าเจียงเสี่ยวไป๋และรูปร่างหน้าตาของเธอก็ค่อนข้างสง่างาม หากอยู่ในสมัยโบราณ เธอคงได้เป็นแม่ทัพหญิงอย่างแน่นอน
จางหงเซี่ยยิ้มและเชิญทั้งสามคนเข้าไปในห้อง
ในห้องมีเด็กชายอีกคนอายุสิบแปดหรือสิบเก้าปี เขาสูงเกือบ 190 เซนติเมตร แต่ไม่อ้วน ตรงกันข้าม เขาค่อนข้างจะผอมเพรียว ใบหน้าของเขาแตกต่างจากจางหงเซี่ยอย่างชัดเจน ผิวของเขาค่อนข้างละเอียดอ่อนและหล่อเหลาอีกด้วย
ใบหน้าของเขาค่อนไปทางหยินซื่อมากกว่า
เขาคือหยินเจิ้ง ลูกชายคนเดียวของหยินซื่อและจางหงเซี่ย
อาจกล่าวได้ว่าหยินเจิ้งได้สืบทอดยีนที่ยอดเยี่ยมของพ่อและแม่ของเขามาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาได้ความสูงของแม่ เพราะหยินซือไม่ได้สูงมาก สูงเพียง 160 เซนติเมตรกว่า ๆ เท่านั้น
ในแง่ของรูปลักษณ์ หยินซื่อเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาในวัยเยาว์อย่างแน่นอน ซึ่งเป็นลักษณะที่เห็นได้ชัดในตัวหยินเจิ้ง
“เสี่ยวเจิ้ง รีบทักทายอาเจียงและน้าหลินเร็วเข้า ! ”
หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว จางหงเซี่ยก็พูดกับหยินเจิ้งทันที
“สวัสดีครับอาเจียง ! ”
“สวัสดีครับ น้าหลิน ! ”
หยินเจิ้งทักทายอย่างสุภาพ เขายืนขึ้นโค้งคำนับพร้อมกับทักทาย ซึ่งเป็นพฤติกรรมของนักเรียน
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและตอบกลับ เขาไม่คาดคิดว่าหยินเจิ้งจะอยู่ในห้องพักเกสต์เฮาส์เช่นกัน ตอนแรกตั้งใจจะไปที่มหาวิทยาลัยชิงโจว เพื่อไปรับเขาหลังจากพบกับจางหงเซี่ย
ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่แล้ว มันทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างสบาย ๆ ว่า “น้าหลินและอาก็เรียนจบจากมหาวิทยาลัยครูชิงโจวเหมือนกัน เราถือว่าเป็นรุ่นพี่ของนาย”
หยินเจิ้งซึ่งในตอนแรกรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็ผ่อนคลายเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาพูดว่า “แม่บอกผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอบอกว่าอาและน้าหลินจบจากมหาวิทยาลัยครูชิงโจว และธุรกิจของคุณอาก็ไปได้ดีมาก ถึงขั้นเปิดโรงเรียนเอกชน”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม เด็กคนนี้ค่อนข้างช่างพูดเหมือนกับพ่อของเขา
หลังจากการสนทนาสั้น ๆ เจียง เสี่ยวไป๋ก็พูดว่า “ไปกันเถอะ กินข้าวกันก่อน”
เมื่อนัดหมายไว้ จางหงเซี่ยก็ไม่ลังเลใจ จากนั้นพวกเขาก็ไปที่ร้านข้าวต้มหัวปลาบนถนนชิงโจว
ตอนนี้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว นอกเหนือจากโต๊ะที่จองไว้สำหรับเจียงเสี่ยวไป๋ โต๊ะอื่นภายในร้านเต็มทั้งหมด และยังมีผู้คนรออยู่ข้างนอกด้วย
จางหงเซี่ยรู้สึกประหลาดใจมาก “ธุรกิจที่นี่ขายดีมาก ! ”
เจียงชานพูดอย่างภาคภูมิใจ “ร้านอาหารของป่าป๊าขายดีทุกร้านเลยค่ะ”
จางหงเซี่ยแอบประหลาดใจอย่างเงียบ ๆ เธอรู้ว่าเจียงเสี่ยวไป๋เปิดร้านอาหารหลายสิบแห่ง ถ้าแต่ละแห่งขายดีแบบนี้ เขาจะทำเงินได้มากขนาดไหนกัน ?
อย่างไรก็ตาม เธอก็รู้ด้วยว่าธุรกิจที่ทำกำไรได้มากที่สุดของเจียงเสี่ยวไป๋ไม่ใช่ร้านอาหาร
บอกได้คำเดียวว่าคนเรามันเทียบกันไม่ได้
เจียงชานกล่าวว่า “คุณป้า คุณคงเห็นว่าธุรกิจร้านอาหารของป่าป๊าขายดีแค่ไหน ถ้าเหล้าหมักของคุณป้าได้ขายในร้านอาหารของป่าป๊า มันจะขายได้ดีอย่างแน่นอน ! ”
ทั้งจางหงเซี่ยและเจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ เจ้าตัวน้อยคนนี้กำลังพยายามจับคู่ธุรกิจของพวกเขา
จางหงเซี่ยคิดเรื่องนี้มาสองสามวันแล้ว เธอพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “แน่นอน ถ้าป่าป๊าของหนูชอบเหล้าของป้า ป้าจะเปิดโรงกลั่นเหล้ากับเขา”
ดวงตาของเด็กน้อยกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว “ป่าป๊าต้องชอบมากแน่ ๆ ขนาดหนูยังชอบดื่มเลย จะต้องมีหลายคนชอบดื่มเหมือนกันค่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋สะดุ้ง ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกจางหงเซี่ยเกี่ยวกับความร่วมมือในการเปิดโรงกลั่นเหล้าองุ่น และเธอบอกว่าขอพิจารณาเรื่องนี้ก่อน เขาไม่คาดหวังว่าเธอจะเห็นด้วยเร็วขนาดนี้
“พี่หงเซี่ย หากคุณเต็มใจ ผมไม่มีปัญหา”
จางหงเซี่ยกล่าวว่า “เอาล่ะ เราจะหารือเรื่องนี้เมื่อคุณว่าง”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า เขาไม่มีเวลาพูดคุยเกี่ยวกับการจัดตั้งโรงกลั่นเหล้าองุ่นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาทำได้เพียงรอจนกว่าพิธีก่อตั้งเจียงเจียกรุ๊ปจะเสร็จสิ้น
เขาถาม “พี่หงเซี่ย คราวนี้คุณจะอยู่กี่วัน ? ”
จางหงเซี่ยกล่าวว่า “ฉันยังไม่กลับตอนนี้ เราจะกลับพร้อมเสี่ยงเจิ้งตอนเขาปิดเทอมฤดูหนาว”
วันหยุดฤดูหนาวยังอีกยาวไกลจนกระทั่งหลังวันปีใหม่ ตอนนี้ก็เพิ่งเดือนธันวาคมเท่านั้น เหลือเวลาอีกเดือนกว่า
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นพี่หงเซี่ยมาพักที่บ้านผมไหม ค่อยแวะมาหาเสี่ยวเจิ้งทุกสุดสัปดาห์”
จางหงเซี่ยโบกมือ “ไม่เป็นไร ฉันซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ในชิงโจวแล้ว แต่ไม่มีใครอาศัยอยู่ในนั้นเลย ฉันคิดว่าจะทำความสะอาดวันพรุ่งนี้”