ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 65 :มังกรมีเกล็ดย้อน ใครสัมผัสจะต้องตาย
- Home
- ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล)
- ตอนที่ 65 :มังกรมีเกล็ดย้อน ใครสัมผัสจะต้องตาย
ตอนที่ 65 :มังกรมีเกล็ดย้อน ใครสัมผัสจะต้องตาย
ตราบใดที่เขาไม่ลงมือก่อน ต่อให้คนของเจียงวานจะมีมากแค่ไหน คนพวกนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
เจียงเสี่ยวไป๋โกรธมาก คำพูดของนักเลงเฉินทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนลูบเกล็ดย้อนมังกร
เขากลับมาเกิดใหม่เพื่อให้ภรรยาและลูกสาวของเขามีชีวิตที่มีความสุข แต่นักเลงเฉินกล้าใช้หลินเจียอินและเจียงชานมาคุกคามเขา
มังกรมีเกล็ดย้อน ใครสัมผัสต้องตาย [1]
อย่างไรก็ตาม สังคมปกครองด้วยกฎหมาย การฆ่าคนอย่างเปิดเผยเป็นสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋ทำไม่ได้
เมื่อมองไปที่นักเลงเฉินแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋คลี่ยิ้มอย่างเย็นชาเหยียดหยาม
“นักเลงเฉิน ก่อนที่นายจะมาหาฉัน นายไปเจอใครบางคนมาสินะ”
ด้วยความทรงจำจากชาติที่แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงรู้ว่านักเลงเฉินมีพี่เขยชื่อหม่าตงหลาย
การกระทำอันชั่วร้ายของนักเลงเฉินล้วนเกี่ยวข้องกับพี่เขยของเขา
เจียงเสี่ยวไป๋รู้จักนักเลงเฉินดี นักเลงเฉินไม่มีทางมาเจรจากับเขาแบบนี้แน่ ดังนั้นเขาจึงถามคำถามนี้ออกไป
นักเลงเฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ใช่ ฉันไปพบพี่เขยของฉันมา แล้วไงล่ะ ? ตอนนี้นายกลัวขึ้นมาแล้วหรือยัง ? ”
“พี่เขยของฉันบอกว่าให้นายเลือกหนึ่งในสองทางเลือกนี้ แบบนั้นถึงจะถือว่าเป็นเพื่อนกับเขา”
“ถ้านายไม่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง งั้นฉันคงต้องขอโทษด้วยถ้านายจะมีปัญหาตามมา”
อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด
ใบหน้าของเจียงเสี่ยวไป๋มืดลง เขาเกลียดมากพวกที่โกงกินเงินเดือนจากภาษีประชาชน แต่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับประชาชนเลย คนพวกนี้ไม่ต่างอะไรจากพวกกาฝากในรัฐบาล
ในชาติที่แล้ว หม่าตงหลายและนักเลงเฉินสมรู้ร่วมคิดกันเพื่อสะสมความมั่งคั่ง แต่ในที่สุดทั้งคู่ก็จบลงด้วยการถูกคุมขัง อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกหลายปีต่อมา
ในชีวิตชาติที่สองนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ไม่อยากเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
แต่ถ้าพวกเขาไม่มายั่วยุเขาก่อน
ตอนนี้ ในเมื่อหม่าตงหลายเดินเข้ามารนหาที่ตายเอง เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่ลังเล
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ ฉันล่ะอยากดูนักว่าพี่เขยของนายอยากจะเป็นเพื่อนฉันยังไง”
นักเลงเฉินคิดว่าการเปิดเผยตัวตนของหม่าตงหลายจะสามารถข่มขู่เจียงเสี่ยวไป๋ได้
เขาจึงระเบิดหัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “นับว่านายยังรู้ตัว”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือและพูดอย่างเย็นชาว่า “นายฟังคำพูดของฉันไม่เข้าใจหรือไง ? งั้นก็ช่วยส่งข้อความถึงหม่าตงหลายให้ฉันทีว่า วงล้อแห่งความยุติธรรมกำลังหมุนช้า ๆ แต่พร้อมบดละเอียดทุกอย่าง ผู้ที่ทำผิดจะพินาศในที่สุด”
นักเลงเฉินชะงักไปเล็กน้อยแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “นายคิดว่านายเป็นใคร กล้าท้าทายพี่เขยของฉัน ในเมื่อนายไม่รู้จักประนีประนอม ก็จงเตรียมพร้อมรับผลที่ตามมา”
จากนั้น เขาก็โบกมือส่งสัญญาณให้เจิ้งต้าเป่าและคนอื่นกลับ
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้หยุดพวกเขา เพียงแค่กำหมัดแน่นก็เท่านั้น
“ดูเหมือนว่าจะต้องจัดการกับเรื่องนั้นเร็วกว่าที่คาดไว้”
จนกระทั่งนักเลงเฉินและคนอื่นจากไปไกลแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ถึงถอนหายใจ ระงับความโกรธในอกของเขา จากนั้นจึงหันไปหาเจียงไห่เทียนและคนอื่น พลางพูดว่า “ขอบคุณลุงและพี่น้องที่มาช่วยผมอีกครั้ง”
เจียงไห่เทียนหัวเราะเบา ๆ “ตอนนี้ลุงรู้แล้วว่าหลานทำให้นักเลงเฉินขุ่นเคืองเพราะเห็นแก่เรา ถูกต้องแล้วที่เราจะช่วยหลานบ้าง”
ทุกคนเห็นด้วย
“ใช่ นายทำประโยชน์ให้เรามากมาย เราเต็มใจที่จะช่วย”
“เสี่ยวไป๋ อย่ากลัวนักเลงเฉิน เราทุกคนที่นี่จะช่วยนายเอง”
“ใช่ ในเจียงวาน นักเลงเฉินทำอะไรนายไม่ได้หรอก”
“……”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวขอบคุณพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และขอให้ทุกคนกลับไปพักผ่อน
เจียงไห่เทียนจากไปเป็นคนสุดท้าย เขาตบไหล่ของเจียงเสี่ยวไป๋ก่อนจากไป “ในเจียงวาน เราปกป้องหลานได้ แต่หลานต้องเข้าเมืองไปค้าขายทุกวันก็ระวังนักเลงเฉินหน่อยก็แล้วกัน เขาคงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แน่นอน”
เจียงไห่หยางกล่าวเสริมว่า “แกงดเข้าเมืองสักสองสามวันดีไหม ถือว่าเป็นการหลบเลี่ยงปัญหาสักหน่อย”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “ลุงใหญ่กับพ่อไม่ต้องกังวล ผมจะระมัดระวังตัว”
พายุสงบลงชั่วคราว
หลินเจียอินเริ่มรู้สึกกระวนกระวายและไม่สบายใจ จึงพูดว่า “เราฟังพ่องดเข้าเมืองสักสองสามวันดีไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “อืม คุณกับชานชานอย่าเพิ่งเข้าเมืองในช่วงสองสามวันนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเจียอินก็ยิ่งกังวลมากขึ้น “ฉันหมายความว่าคุณก็ไม่ควรไปเช่นกัน”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นสีหน้ากังวลของหลินเจียอิน แต่หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความสุข ภรรยาเป็นห่วงเขาด้วย
เขายิ้มและพูดว่า “หากผมไม่เข้าเมืองก็เป็นไปตามความต้องการของพวกเขาน่ะสิ”
หลินเจียอินได้ยินแบบนั้นก็พูดตัดบทเจียงเสี่ยวไป๋ “แต่คนพวกนั้นทำได้ทุกอย่าง ฉันกลัวจริง ๆ ว่าพวกเขาจะ……”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “เมียจ๋า อย่ากลัวไปเลย ในโลกนี้ปัญหาบางอย่างไม่อาจหายไปได้เพียงเพราะความกลัว ยิ่งคุณกลัวมันเท่าไหร่ ปัญหาจะยิ่งเกิดขึ้นมากเท่านั้น”
“ดังนั้น เมื่อเราพบกับปัญหา เราควรเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญและแก้ไขมัน เมื่อนั้นเราจึงจะพบกับความสงบสุข”
หลินเจียอินตอบกลับด้วย “อืม”
แม้ว่าเธอจะเข้าใจเรื่องนี้ แต่เธอยังคงไม่สบายใจ
เมื่อเห็นการแสดงออกของหลินเจียอิน เจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่าความกังวลของเธอจะไม่หายไปง่าย ๆ เขาจึงพูดติดตลกว่า “เอาล่ะ เมียจ๋า คุณไม่ต้องกลัวคนเลวอย่างนักเลงเฉินหรอก ในโลกนี้มีแต่คนเลวที่จะต้องกลัวคนดี คนดีจะกลัวคนเลวไปทำไม ? ”
หลินเจียอินรู้สึกขบขันกับคำพูดของเจียงเสี่ยวไป๋ หญิงสาวหัวเราะแล้วแกล้งแซวเขา “พูดเสียอย่างกับว่าคุณเป็นคนดีอย่างนั้นแหละ”
เมื่อเห็นว่าหลินเจียอินเริ่มผ่อนคลายลง เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย เขาพูดว่า “นี่มันก็ดึกแล้ว คุณกับชานชานควรนอนได้แล้ว ผมทำซอสเสร็จแล้วจะตามเข้าไปนอน”
หลินเจียอินพยักหน้าและพาเจียงชานไปนอน
ขณะที่เตรียมซอสสูตรลับ เจียงเสี่ยวไป๋ได้ครุ่นคิดไปด้วย
เพื่อกำจัดภัยคุกคามของนักเลงเฉินและหม่าตงหลาย เขาจึงตระหนักได้ว่าต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด เพื่อให้แน่ใจว่าสองคนนั้นจะไม่กลับมาเป็นภัยต่อครอบครัวของเขาอีก
การเป็นฝ่ายลงมือก่อนเป็นสไตล์ของเจียงเสี่ยวไป๋มาโดยตลอด
ด้วยความทรงจำจากชาติที่แล้ว ทำให้เขารู้บางอย่างเกี่ยวกับการสมรู้ร่วมคิดและการทำผิดของหม่าตงหลายและนักเลงเฉินอยู่บ้าง
ในชาติที่แล้ว ที่ความลับของหม่าตงหลายถูกเปิดเผยช้าเพราะเขาสามารถปกปิดมันได้เป็นอย่างดี
ครั้งนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ตัดสินใจใช้ประโยชน์จากการปราบปรามอย่างเข้มงวดในปัจจุบันเพื่อเปิดโปงการกระทำผิดของหม่าตงหลายก่อนเวลาที่ควรเป็น
ระหว่างที่เขาวางแผน เขาก็ได้เตรียมซอสสูตรลับเสร็จแล้ว
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เขาจึงไปเข้านอน
วันรุ่งขึ้น หลินเจียอินและเจียงชานไม่ได้เข้าไปในเมือง ก่อนที่เจียงเสี่ยวไป๋จะออกไป หลินเจียอินก็เตือนเขาซ้ำ ๆ ให้ระมัดระวังและอย่าเผชิญหน้านักเลงเฉินโดยตรง
เมื่อเห็นหลินเจียอินเป็นห่วงเขามาก เจียงเสี่ยวไป๋จึงรู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษ
ในที่สุด เขาก็มีพื้นที่ในหัวใจของภรรยา
เมื่อก่อนตอนขี่จักรยานเข้าเมือง เขาจะมีลูกสาวนั่งหน้า ภรรยาซ้อนหลัง วันนี้ไม่มีพวกเธอมาด้วย เจียงเสี่ยวไป๋จึงปั่นเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็ว
หลังออกจากอำเภอชิงซานมาได้ไม่นาน เขาก็เห็นรถจี๊ปคันหนึ่งจอดอยู่กลางถนนข้างหน้า ข้างกันเป็นนายตำรวจในเครื่องแบบสีน้ำเงินพร้อมตราสัญลักษณ์ดาวสีแดง 2 ดวงที่คอเสื้อและหมวกปีกกว้าง ดูเหมือนว่าเขาจะอายุสี่สิบเศษแล้ว อีกทั้งเขายังมีสีหน้าค่อนข้างกังวล
เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ปั่นจักรยานผ่านไป นายตำรวจก็ตะโกนว่า “สหาย ช่วยด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋เบรกจักรยานของเขาและถามว่า “สหาย เกิดอะไรขึ้นหรือ ? ”
นายตำรวจคนนี้ดูร้อนใจและพูดว่า “สหาย รถผมเสีย ผมขอยืมจักรยานพาแม่ไปโรงพยาบาลในเมืองก่อนได้ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ชำเลืองมองเข้าไปในรถก็เห็นหญิงชรานอนอยู่ที่เบาะหลัง ดูเหมือนเธอจะอายุประมาณหกสิบเศษ ใบหน้าของเธอซีดเซียวแสดงออกถึงความเจ็บปวด ขณะส่งเสียงครวญครางอย่างแผ่วเบา
ดูเหมือนว่าอาการของเธอจะร้ายแรง
เธอจำเป็นต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน
[1] มังกรมีเกล็ดย้อน ใครสัมผัสต้องตาย สำนวนนี้สื่อว่าทุกคนมีจุดอ่อนไหวหรือเปราะบาง หากจุดนั้นถูกกระตุ้น อาจนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงได้ เช่นเดียวกับเกล็ดกลับด้านของมังกรเป็นจุดอ่อนที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตเมื่อสัมผัส