ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 67 :สองสะใภ้กระซิบกระซาบกัน
ตอนที่ 67 :สองสะใภ้กระซิบกระซาบกัน
เจียงเสี่ยวไป๋ติดตามหวงฟู่ไห่จนถึงสองทุ่ม
ในช่วงเวลานี้ หวงฟู่ไห่ไปที่ต่าง ๆ ทั้งหมดสี่แห่ง
เมื่อรวมความทรงจำจากชาติที่แล้วเข้ากับการสังเกตในปัจจุบัน ในที่สุดเจียงเสี่ยวไป๋ก็ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ อาคารที่อยู่บนถนนซีเว่ยเป็นบ่อนการพนัน ร้านคาราโอเกะและโรงแรมบนถนนเหรินหมินเกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีและยาเสพติด ส่วนร้านอาหารเล็ก ๆ บนถนนชูหยวนเป็นจุดนัดพบของหวงฟู่ไห่และหม่าตงหลาย
หลังจากที่ได้เห็นหวงฟู่ไห่และหม่าตงหลายพบกันที่ร้านอาหารเล็ก ๆ แล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ถอยกลับ
เมื่อเขากลับมาที่ร้าน หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงกำลังเตรียมปิดร้านแล้ว
“นี่มันดึกแล้ว ทำไมคืนนี้นายไม่ค้างที่บ้านฉันล่ะ” หวังผิงแนะนำ
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือ “ไม่เป็นไร ถ้าฉันไม่กลับไป พี่สะใภ้ของนายจะเป็นห่วง”
หวังผิงไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมต่อ เขาไปหาไฟฉายให้เจียงเสี่ยวไป๋ เพื่อให้เขาใช้ส่องตอนปั่นจักรยานกลับบ้าน
ช่วงนี้หลินเจียอินมักจะติดตามเจียงเสี่ยวไป๋เข้าเมือง จึงละเลยงานในไร่ เนื่องจากวันนี้เธอไม่ได้เข้าไปในเมือง เธอจึงขอให้เจียงไห่หยาง หวังซิ่วจวี๋ เจียงเสี่ยวเฟิง และหลัวเจาตี้มาช่วยปลูกข้าวโพด
เมื่อขอให้คนอื่นมาช่วยทำไร่ โดยทั่วไปแล้วจะต้องไปบอกเขาล่วงหน้า
แต่หลินเจียอินเรียกคนในครอบครัวมาช่วยงานทั้งนั้น เจียงไห่หยางเองก็รู้สถานการณ์ต่าง ๆ เป็นอย่างดี พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ในปี 1981 ที่ดินถูกแบ่งตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว ในเวลานั้นเจียงเสี่ยวไป๋ยังคงเป็นครูที่โรงเรียนประถมชิงซาน และเนื่องจากเขาเป็นข้าราชการ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกิน
ส่วนแม้ว่าหลินเจียอินจะแต่งงานกับเจียงเสี่ยวไป๋ แต่ในทะเบียนบ้าน เธอยังไม่ได้โอนย้ายมาอยู่ที่นี่ ชื่อของเธอยังอยู่ในทะเบียนบ้านในเมือง ดังนั้นเธอจึงไม่มีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งพื้นที่เพาะปลูกเช่นกัน
ดังนั้น ในครอบครัวของเจียงเสี่ยวไป๋ คนเดียวที่ได้รับส่วนแบ่งจากพื้นที่เพาะปลูกคือเจียงชาน
อย่างไรก็ตาม เจียงชานยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง และส่วนที่จัดสรรให้เธอนั้นไม่มากนัก โดยรวมแล้วเธอได้รับที่นาเพียงหกแปลงเท่านั้น
และในตอนที่มีการจัดสรรพื้นที่นาให้ พื้นที่ทำไร่บนภูเขาก็ถูกแบ่งด้วย
ในเจียงวานมีพื้นที่ทำนาน้อยกว่าพื้นที่ทำไร่บนภูเขา ดังนั้นแม้เจียงชานจะได้ส่วนแบ่งพื้นที่นาน้อย แต่พื้นที่ทำไร่บนภูเขาที่ถูกแบ่งให้เจียงชานมีมากกว่าห้าสิบหมู่
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป๋ถูกเลิกจ้างและสูญเสียรายได้หลัก เจียงไห่หยางและครอบครัวของเขาได้หารือเกี่ยวกับเรื่องนี้และจัดสรรที่ดินหนึ่งหมู่ให้กับหลินเจียอินเพื่อทำการเกษตร นอกจากนี้พวกเขายังช่วยเธอถางที่ดินภายในพื้นที่ภูเขาของเจียงชาน และทำการเพาะปลูกพืชผลเช่นกัน
เมื่อรวมทั้งหมด พวกเขาทำการเพาะปลูกข้าวโพดไปประมาณสองหมู่ และปลูกนาแบบแห้งในพื้นที่ทำนา
ด้วยพื้นที่เพาะปลูกจำนวนน้อยเช่นนี้ เจียงไห่หยางและคนอื่น ๆ ได้ช่วยกันทำงานเสร็จภายในครึ่งวัน
ภาษาชาวบ้าน อาจพูดได้ว่าพวกเขาทำงานเสร็จตั้งแต่ตะวันยังไม่ตรงหัว
โดยทั่วไป เวลาขอให้คนช่วยงานในไร่ แม้ว่าพวกเขาจะทำงานเสร็จก่อนเวลา เจ้าภาพมักชวนคนงานเล่นไพ่พักผ่อนและกินข้าวก่อนกลับบ้าน
แม้ว่าหลินเจียอินจะขอความช่วยเหลือจากคนในครอบครัว แต่เธอก็ยังคงปฏิบัติตามประเพณี หลังเลิกงาน เธอไม่ให้เจียงไห่หยางและคนอื่น ๆ กลับไปในทันที เพราะเธอได้เตรียมอาหารและจัดให้พวกเขาเล่นไพ่พักผ่อนในห้องนั่งเล่น
ช่วงเวลานี้ในพื้นที่ชนบท เกมไพ่ที่เล่นบ่อยที่สุดคือโป๊กเกอร์ เมื่อคนสามคนเล่น พวกเขามักจะไพ่สปีด และเมื่อเล่นสี่คน พวกเขามักจะเล่นสลาฟหรือไพ่จับหมู
เนื่องจากหลัวเจาตี้ไม่ชอบเล่นไพ่สักเท่าไหร่ เธอจึงให้เจียงเสี่ยวเฟิงเล่นไพ่กับพ่อแม่ ในขณะที่เธอเข้าไปช่วยหลินเจียอินในครัว
“ในครัวไม่ได้ยุ่งมาก เธอไปเล่นไพ่กับพ่อแม่เถอะ”
หลินเจียอินพูดอย่างสุภาพ
หลัวเจาตี้ตอบว่า “ฉันไม่ชอบเล่นไพ่ ฉันจะช่วยพี่จุดไฟเอง และมีเรื่องบางอย่างจะพูดคุยกับพี่ด้วย”
เมื่อเห็นการยืนกรานของหลัวเจาตี้ หลินเจียอินก็ไม่พยายามเกลี้ยกล่อมเธอต่อไป เธอกลับแสดงความประหลาดใจและพูดว่า “เจาตี้ เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมเธอถึงอยากคุยกับฉัน”
หลัวเจาตี้พูดอย่างเขินอายเล็กน้อยว่า “ตอนนี้ข้าวโพดก็ปลูกและในนาก็ไม่ค่อยมีงานให้ทำ การอยู่บ้านเฉย ๆ ทั้งวันไม่มีอะไรทำมันรู้สึกไม่ดีเลย ฉันอยากถามว่าฉันสามารถไปช่วยงานพี่กับพี่รองในเมืองได้ไหม”
ก่อนหน้านี้เธอไม่รังเกียจที่จะมีเวลาว่าง หลังจากปลูกข้าวโพด
เพราะนั่นคือวิถีชีวิตของทุกคน
แต่ตอนนี้ทุกอย่างต่างออกไป อาสะใภ้สามของเจียงเสี่ยวไป๋ เจี่ยงชุ่ยหยูและถานเสี่ยวเฟิงลูกสาวของช่างไม้ถานได้ไปทำงานในเมืองกับเจียงเสี่ยวไป๋ โดยได้รับค่าจ้างเดือนละ 60 หยวน
เรื่องนี้ทำให้หลัวเจาตี้รู้สึกกระสับกระส่าย
เธอไม่ต้องการพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋ เพราะกลัวว่าจะถูกดุหรือคัดค้าน ดังนั้นเธอจึงฉวยโอกาสนี้แอบคุยกับหลินเจียอิน
หลินเจียอินหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เธอถึงกับต้องแอบมาคุยกับฉันเป็นการส่วนตัวเลยหรือ ? ”
หลังจากหยุดชั่วครู่ เธอพูดต่ออีกว่า “อันที่จริง หากเธอไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับฉัน ฉันก็ตั้งใจจะถามเธอถึงเรื่องนี้เหมือนกัน”
หลัวเจาตี้รู้สึกดีใจมาก เธอถามว่า “งั้นหมายความว่าพวกพี่ยังต้องการคนช่วยงานเพิ่มใช่ไหม ? ”
หลินเจียอินพยักหน้าและพูดว่า “พี่สามีของเธอกำลังวางแผนที่จะเปิดร้านขายพวกเมนูพะโล้ ช่วงนี้เขายุ่งอยู่กับการปรับปรุงร้าน และเมื่อถึงเวลาเปิดร้านคงไม่มีกำลังคนเพียงพอ ดังนั้นเขาจึงคิดจะจ้างคนเพิ่มอีกสองคน”
หลัวเจาตี้รู้สึกโล่งใจทันที เธอพูดอย่างดีใจว่า “หากพวกพี่ต้องการจ้างคนเพิ่ม ฉันจะไป”
ก่อนหน้านี้เธอกังวลว่าเจียงเสี่ยวไป๋อาจมีคนช่วยงานเพียงพอแล้ว และการที่เธอพูดเรื่องนี้ออกไปอาจจะทำให้พวกเขาลำบากใจ
หลินเจียอินกล่าวว่า “แล้วเธอได้คุยเรื่องนี้กับเสี่ยวเฟิงหรือยัง ? ”
หลัวเจาตี้ยิ้มและพูดว่า “ฉันจะช่วยพวกพี่ และในเมื่อฉันทำงานแต่เช้าและกลับเย็นอยู่แล้ว ยังไงเขาก็ต้องตกลงอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องคุยกับเขาก่อนหรอก”
หลินเจียอินส่ายหน้าและพูดว่า “ครั้งนี้แตกต่างออกไป เสียวไป๋บอกว่าเมื่อปรับปรุงร้านเสร็จแล้ว เขาจะใช้ระบบพนักงานอะไรสักอย่างนี่แหละ เห็นเขาบอกว่าจะเช่าบ้านในเมืองเพื่อเป็นที่พักสำหรับพนักงาน มีอาหารและที่พักให้พนักงานทุกคนฟรี แต่ละเดือนจะมีวันหยุดให้ 4 วันต่อเดือน และจะไม่ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านในช่วงวันปกติ”
โอ้ ?
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันว่าฉันควรต้องปรึกษาเรื่องนี้กับเขาสักหน่อยแล้วล่ะ”
หลัวเจาตี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และแสดงความกังวลออกมาเล็กน้อย
การที่กลับบ้านได้เพียง 4 วันต่อเดือน เธอไม่เพียงเห็นหน้าสามีและลูกสาวของเธอได้น้อยลงเท่านั้น แต่เธอยังไม่สามารถจัดการงานที่บ้านได้อีกด้วย เรื่องนี้จึงทำให้หลัวเจาตี้รู้สึกกังวลเล็กน้อย
แต่ความคิดที่จะมีรายได้ 60 หยวนในหนึ่งเดือนทำให้เธอกระตือรือร้นที่จะไป
หลินเจียอินพยักหน้า แม้เธอต้องการให้หลัวเจาตี้ไปทำงานด้วย แต่เธอก็ไม่สามารถตัดสินใจแทนหลัวเจาตี้ได้ ทำได้เพียงปล่อยให้เธอและเจียงเสี่ยวเฟิงตัดสินใจด้วยตัวเองเท่านั้น
หลินเจียอินยังได้กล่าวว่า “ไม่รีบร้อน กว่าร้านจะปรับปรุงเสร็จคงใช้เวลาอีกหลายวัน เธอยังมีเวลาพูดคุยกับเสี่ยวเฟิง”
“ฉันเข้าใจแล้ว” หลัวเจาตี้พยักหน้ารับ
หลังจากคุยเรื่องสำคัญกันแล้ว ทั้งสองก็คุยกันอย่างเป็นกันเองขณะทำอาหารไปด้วย
เมื่อตกเย็น อาหารก็ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว แต่เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงไม่กลับมา
ปกติเวลานี้เจียงเสี่ยวไป๋จะกลับบ้านแล้ว
แต่วันนี้ไม่มีวี่แววของเขาเลย
หลินเจียอินเริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อย
เมื่อวานเขามีความขัดแย้งกับนักเลงเฉิน ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะคิดมากถึงเรื่องนี้
“อาหารพร้อมแล้ว พี่เขยยังไม่กลับมา เราจะรอเขาหรือเปล่า” หลัวเจาตี้ถามขึ้น
“เขาอาจติดธุระอะไรบางอย่างอยู่ เรากินข้าวกันก่อนเถอะ”
หลินเจียอินไม่ต้องการแสดงความกังวลของเธอเพื่อไม่ให้พ่อแม่เป็นกังวลไปด้วย ดังนั้นเธอจึงเริ่มยกอาหารมาวางบนโต๊ะ
“ลูกรองยังไม่กลับมา เรามาเล่นไพ่กันอีกสักรอบดีกว่า”
เจียงไห่หยางพูดขึ้น วันนี้เขาโชคดีในการเล่นไพ่ และถูกลงโทษหลังเล่นน้อยที่สุด เมื่อเห็นว่าหลินเจียอินกำลังจะยกอาหารขึ้นโต๊ะ เขาจึงพูดขึ้น
ในขณะที่เขาพูด หวังซิ่วจวี๋ก็เริ่มหมดสนุก เธอวางไพ่ลงและพูดอย่างเป็นห่วงว่า “ปกติตอนนี้เขาคงจะกลับมาแล้ว เป็นไปได้ไหมว่านักเลงเฉินจะสร้างปัญหาให้เขา ? ”
เมื่อเจียงไห่หยางและเจียงเสี่ยวเฟิงได้ยินสิ่งนี้ก็วางไพ่ของพวกเขาลงอย่างเป็นกังวล
เจียงเสี่ยวเฟิงกล่าวว่า “เดี๋ยวผมจะลองเข้าเมืองไปดูเสียหน่อย”
หลินเจียหยินรีบพูดแทรกขึ้นมา “เสี่ยวเฟิง อย่าเพิ่งตื่นตระหนกกันไปเลย เขาคงยุ่งกับอะไรบางอย่างอยู่ เรากินข้าวก่อนเถอะ”
เจียงไห่หยางก็คิดเช่นกันและพูดว่า “กินข้าวกันก่อน ถ้าเขาไม่กลับมา พ่อจะไปตามหาเสี่ยวไป๋พร้อมกับลูก”
เจียงเสี่ยวเฟิงจำต้องยอม และครอบครัวก็นั่งกินอาหารเย็นด้วยกัน
ในระหว่างมื้ออาหารนี้ แม้ว่าจะมีอาหารมากมายยู่บนโต๊ะ แต่ดูเหมือนทุกคนจะไม่ค่อยอยากอาหารสักเท่าไหร่ พวกเขากินเสร็จอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว แต่เจียงเสี่ยวไป๋ยังไม่กลับมา ตอนนี้ทุกคนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจแล้ว
“พ่อจะไปรับเขาพร้อมกับเสี่ยวเฟิง”
เจียงไห่หยางพูดขึ้นสองสามคำ และคว้าคบไฟนำเจียงเสี่ยวเฟิงเดินฝ่าความมืดไป
แม้แต่เจียงเสี่ยวเหลยเองก็ตามไปด้วย