ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 7 :ได้พบหน้า
ตอนที่ 7 :ได้พบหน้า
หลินเจียอินลงจากเบาะหลังและยืนนิ่ง มือทั้งสองข้างจับมุมเสื้อผ้าไว้แน่นด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ก่อนหน้านี้เจียงเสี่ยวไป๋บอกเธอเรื่องบังคับยืมจักรยานคนอื่นมาแล้ว พอมาถูกขวางแบบนี้ เธอจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพียงแต่เธอแค่ละอายใจ
“คนสวย ผมขอโทษ ผมรีบร้อนไล่ตามภรรยาของผมให้ทัน ถึงได้ยืมจักรยานของคุณมาโดยที่คุณยังไม่ทันได้อนุญาต ผมขอโทษจริง ๆ ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างใจเย็น เขายืนนิ่งโค้งคำนับเธอตามแนว 90 องศา
หลินเจียอินมองด้วยความทึ่ง ตลอด 2 ปีมานี้ เธอเคยแต่เห็นเจียงเสี่ยวไป๋ทำตัวอันธพาล ไม่เคยเห็นเขาพูดจาสุภาพกับใครมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขอโทษและโค้งคำนับต่อหน้าคนอื่นเลย
จางชุ่ยฮวาเองก็ไปไม่เป็นเพราะท่าทีของเจียงเสี่ยวไป๋เช่นกัน
หลังจากที่จักรยานถูกแย่งไป ทุกคนแนะนำให้เธอไปแจ้งตำรวจ เธอไปถึงที่สถานีตำรวจแล้ว แต่เธอลังเลอยู่นานที่หน้าประตูทางเข้าสถานี สุดท้ายเธอก็ไม่ได้เข้าไป
แต่ที่เธอรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของเจียงเสี่ยวไป๋มา ทุกคนต่างบอกว่าเจียงเสี่ยวไป๋เป็นอันธพาล ชอบดื่มเหล้า ติดพนัน ชอบทะเลาะวิวาท แถมยังทำร้ายร่างกายภรรยาด้วย
เธอเกือบเดินเข้าไปในสถานีตำรวจอยู่หลายครั้ง แต่ทุุกครั้งที่นึกถึงสีหน้าร้อนใจของเจียงเสี่ยวไป๋ตอนที่เขามาแย่งจักรยานของเธอไป สุดท้ายเธอก็ฝืนทนบอกตัวเองให้รอดูก่อนมืด ว่าถ้าเขาไม่เอาจักรยานมาคืนเธอ ถึงตอนนั้นเธอไปแจ้งตำรวจก็ยังไม่สาย
หลังจากรออยู่บนถนนราว 1 ชั่วโมงกว่า ในที่สุดเธอก็เห็นเจียงเสี่ยวไป๋ปั่นจักรยานกลับมา แถมยังเอาหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งซ้อนจักรยานมาด้วย จางชุ่ยฮวาถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็อดรู้สึกโมโหไม่ได้
“น่าเสียดายที่ฉันนึกว่าคุณจะมีเรื่องด่วนอะไร ที่แท้ก็แย่งจักรยานของฉันไปจีบสาวมานี่เอง ! ”
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห สุดท้ายเธอจึงอดทนไม่ไหวต้องวิ่งออกมาตะโกนเรียกชื่อเขาแล้วขวางทางรถเอาไว้
เพียงแต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพฤติกรรมของ ‘อันธพาล’ ในสายตาของชาวบ้านจะแตกต่างไปจากที่เธอได้ยินมาอย่างสิ้นเชิง
เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้เห็นอกเห็นใจและรักภรรยาของเขามาก
แถมเขาเองก็ขอโทษเธอด้วยท่าทีที่จริงใจ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฟังจากคำอธิบายของเขา เขาไม่ได้แย่งจักรยานของเธอไปจีบสาว แต่เพื่อไล่ตามภรรยาของเขาให้ทันต่างหาก
อีกอย่างดูจากสีหน้าของพวกเขาแล้ว ทั้งสองน่าจะทะเลาะกัน จากนั้นภรรยาของเขาก็อาจจะออกไปจากบ้าน เจียงเสี่ยวไป๋คงร้อนใจที่จะตามภรรยาไปให้ทัน จากนั้นเขาก็ง้อเธอกลับมาได้สำเร็จ
อืม อย่างน้อยผู้ชายที่ง้อภรรยาเป็นก็ถือว่ามีนิสัยที่ใช้ได้
จางชุ่ยฮวาคิดแบบนี้ เดิมทีเธอตั้งใจจะด่าสั่งสอนเจียงเสี่ยวไป๋สักสองสามประโยค แต่ตอนนี้เธอหมดอารมณ์แล้ว
ช่างเถอะ ขี้เกียจเอาความเขาแล้ว
เธอโบกมือปัด พลางพูดว่า “ครั้งนี้ช่างเถอะ รีบคืนรถจักรยานมาให้ฉันได้แล้ว ไอ้คนพาล”
เจียงเสี่ยวไป๋ผงะ เดิมทีเขาคิดว่ามันต้องเป็นปัญหาแน่นอน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะไม่เอาความเขาง่าย ๆ แบบนี้เลย ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกซาบซึ้งใจต่อหญิงสาวหน้าตาดีคนนี้แล้ว
“คนสวย ก่อนหน้านี้ผมปั่นจักรยานเร็วไปหน่อย เลยทำยางหน้าแตก……”
“อะไรนะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยังพูดไม่ทันจบ จางชุ่ยฮวาก็ร้องอุทานออกมา ก่อนที่หญิงสาวจะรีบวิ่งเข้าไปดู
แต่ยางรถถูกปะมาแล้ว ทำให้มองไม่เห็นร่องรอยอะไรจากภายนอก
ทว่าในใจของจางชุ่ยฮวากลับรู้สึกแย่มาก เพราะมันคือจักรยานคันใหม่ของเธอ เธอปั่นมันอย่างระมัดระวังเพราะกลัวไปชนกับอะไรเข้า คิดไม่ถึงเลยว่ายางจะแตกแล้ว
“อีกประมาณ 2-3 วัน ผมจะเอายางเส้นใหม่มาชดใช้ให้นะ”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นว่าจางชุ่ยฮวาเศร้าใจจนจะร้องไห้เต็มที เขาจึงรีบพูด
“ใครอยากได้ยางเส้นใหม่ของคุณ ! ”
จางชุ่ยฮวาทั้งโมโหทั้งเสียใจ “ในเมื่อคุณปะยางมาให้ฉันแล้ว งั้นก็ช่วยไม่ต้องบอกฉันได้หรือเปล่า ? คุณไม่บอก ฉันก็ไม่รู้แล้ว ! ”
นี่มันตรรกะอะไรเนี่ย ?
ต่อให้เจียงเสี่ยวไป๋เป็นคนที่มีชีวิตมา 2 ชาติ แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจตรรกะนี้อยู่ดี
“ผมทำยางคุณเสียหาย จะไม่ให้ผมบอกเพราะคุณไม่เห็นไม่ได้นะ” เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างซื่อตรง
“ฉันไม่อยากเห็น ! ”
“แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย ! ”
จางชุ่ยฮวากระทืบเท้าด้วยความโมโห เธอบ่นพึมพำอยู่สองสามคำ แล้วจูงจักรยานออกไปด้วยใจที่เจ็บปวดโดยไม่สนใจเจียงเสี่ยวไป๋อีก
นี่มันอะไรกัน……
เจียงเสี่ยวไป๋เกาหัว เขาหันไปมองหลินเจียอินก็เห็นว่าเธอกำลังโมโหอยู่เช่นกัน ดวงตาคู่งามของเธอกำลังมองค้อนเขา
เอาแล้วไง ดูท่าว่าปัญหาใหม่กำลังจะมาแล้วใช่ไหม ?
เจียงเสี่ยวไป๋ตื่นตัว เขารีบหันไปพะเน้าพะนอหลินเจียอิน ไม่กล้าแม้แต่จะเรียกเธอว่า “ที่รัก” เขาพูดเพียงแค่ “เรากลับบ้านกันเถอะ”
ระหว่างทาง พอชาวบ้านที่ซ่อมถนนอยู่เห็นเจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินกลับมาพร้อมกัน ทุกคนต่างตกตะลึงเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ
มีหลายคนที่ทักทายหลินเจียอิน แต่ไม่มีใครสนใจเจียงเสี่ยวไป๋เลยสักคน
ทั้งสองเดินไปถึงบริเวณสันเขาในเจียงวาน หลินเจียอินจึงพูดขึ้นว่า “ฉันจะไปรับชานชาน”
ในตอนเช้าก่อนออกเดินทาง เธอได้พาชานชานไปฝากให้ปู่ดูแล ตอนนี้ยังไม่ถึงช่วงพักเที่ยง พวกเขาน่าจะยังทำงานอยู่ในแปลงนาอยู่
“ผมไปด้วย”
เขาไม่ได้เจอลูกสาวมา 20 กว่าปีแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋อยากพบหน้าชานชานเร็ว ๆ เช่นกัน เขาจึงขอไปด้วย
หลินเจียอินไม่ได้พูดอะไร เธอเดินบนทางเล็ก ๆ บนสันเขาไปยังอีกทิศหนึ่ง
เดือนมกราคมในปี 1982 แต่ละครัวเรือนจะได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินบนภูเขา ในอดีต เจียงเสี่ยวไป๋ไม่เคยไปทำไร่ทำนามาก่อน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแปลงนาที่ครอบครัวของเขาได้รับจัดสรรมาอยู่ตรงไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแปลงนาของครอบครัวเจียงไห่หยางผู้เป็นพ่อเลย
บริเวณนี้เป็นพื้นที่ทุ่งนาขนาดใหญ่ มีเส้นทางหินคดเคี้ยวตัดผ่าน หลังจากเดินตรงไปประมาณ 1 ลี้ครึ่ง ทั้งสองก็มาถึงแปลงนาของเจียงไห่หยาง
ในแปลงนามีผู้ใหญ่สี่คนกำลังง่วนอยู่กับงาน ส่วนริมแปลงมีเด็กน้อยสองคนที่อายุไล่เลี่ยกันกำลังเล่นด้วยกันอยู่
ผู้ใหญ่ทั้งสี่คนนั้นคือ เจียงไห่หยางผู้เป็นพ่อของเจียงเสี่ยวไป๋ หวังซิ่วจวี๋ผู้เป็นแม่ น้องสามเจียงเสี่ยวเฟิงและภรรยาของน้องชายหลัวเจาตี้
ส่วนเด็กน้อยทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งคือเจียงถิงลูกสาวของเจียงเสี่ยวเฟิง ส่วนอีกคนก็คือเจียงชาน
“หม่าม๊า……”
เจียงชานที่กำลังเล่นอยู่เห็นหลินเจียอินพอดี หนูน้อยตะโกนเรียกแม่ด้วยเสียงนุ่มนิ่ม เธอลุกขึ้นจากพื้นแล้ววิ่งกางแขนเข้ามาหาผู้เป็นแม่
“ช้าหน่อย”
เมื่อหลินเจียอินเห็นชานชานแล้ว ในที่สุดใบหน้าปั้นบึ้งของเธอก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาเสียที หญิงสาวก้าวเท้าไปหาลูกสาวพลางพูดกำชับอย่างเป็นห่วงเป็นใย จากนั้นก็โน้มตัวลงไปอุ้มลูกสาว
“หม่าม๊า วันนี้หนูเป็นเด็กดีนะ”
ร่างผอมของหนูน้อยเจียงชานโผเข้าหาอ้อมกอดผู้เป็นแม่ ใบหน้าเล็กของหนูน้อยถูไถไปกับใบหน้าของผู้เป็นแม่ น้ำเสียงที่นุ่มนิ่มดูออดอ้อนของเธอทำให้เธอดูน่ารักขึ้นไปอีก
นี่คือชานชาน ลูกสาวของฉัน
เจ้าเกี๊ยวน้อยน่ารักน่าเอ็นดู ใบหน้าเล็กขาวอมสีชมพูราวกับหยกแกะสลัก ดวงตากลมโตสีดำขลับอยู่ภายใต้ขนตายาวเป็นแพ เธอเหมือนกับแม่ของเธอทุกประการ
“ชานชาน ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ที่ยืนอยู่ด้านหลังรู้สึกโหยหาช่วงเวลานี้เหลือเกิน เขาร้องเรียกลูกสาวอย่างอดไม่ได้
“อื้ม ! ”
เมื่อได้ยินคนเรียกชื่อตัวเอง หนูน้อยเจียงชานขานรับ แล้วถึงได้ยื่นคอไปดูตามที่มาของเสียง
ก่อนหน้านี้ในสายตาของเธอมีแต่หม่าม๊า หนูน้อยจึงไม่ได้สังเกตว่ามีอีกคนยืนอยู่ด้านหลังหม่าม๊าของเธอ
“ป่า……ป๊า…”
เมื่อเจียงชานน้อยเห็นเจียงเสี่ยวไป๋ ความสุขบนใบหน้าของเธอหายไปราวกับเกล็ดหิมะภายใต้แสงแดดที่แผดเผา เธอร้องเรียกเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วรีบหดคอหลบ หนูน้อยฝังศีรษะเล็ก ๆ ไว้ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่ ไม่กล้าโผล่หัวออกมา
เจียงเสี่ยวไป๋อึ้งจนทำตัวไม่ถูก
ได้ยินลูกสาวเรียกเขาว่า ‘ป่าป๊า’ ด้วยเสียงที่ลากยาวแบบนั้น น้ำตาแห่งความสุขไหลรินออกมาจากหางตาของเขา แต่เมื่อเห็นท่าทางหวาดกลัวที่ลูกมีต่อเขา ในใจของจางเสี่ยวไป๋รู้สึกคล้ายกับมีมีดแทงเข้ากลางใจซ้ำ ๆ
เขารู้ดีว่าทำไมลูกถึงดูกลัวเขาขนาดนั้น เป็นเพราะบาปก่อนหน้านี้ของเขาซึ่งทิ้งเงามืดในใจไว้ให้เธอ
เขามองลูกสาวที่หลบอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ด้วยแววตาเปี่ยมรัก ชายหนุ่มแทบอยากจะดึงลูกเข้ามากอดแนบอกเสียตอนนี้และมอบความรักให้เธออย่างเต็มเปี่ยม ให้ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอแนบอยู่ตรงหน้าอกเขา แล้วฟังเสียงหัวใจของผู้เป็นพ่ออย่างเขา
ชาตินี้ ให้พ่อได้รักและทะนุถนอมลูกเถอะนะ
แต่เขาไม่กล้า เพราะเขากลัวว่าความบ้าบิ่นของเขาจะทำให้ลูกสาวตกใจอีก และเขาอาจสูญเสียมากกว่าได้รับ
คงต้องค่อยเป็นค่อยไปแล้ว
หลังจากเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้น เขาได้เงยหน้ามองไปยังทั้งสี่คนที่อยู่ในแปลงนา
“พ่อ ! ”
“แม่ ! ”
“เสี่ยวเฟิง ! ”
……