ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 70 :ฝนตกหลังคารั่วทั้งคืน
ตอนที่ 70 :ฝนตกหลังคารั่วทั้งคืน
หลังจากได้รับคำแนะนำจากหม่าตงหลายแล้ว นักเลงเฉินก็รวบรวมลูกน้องประมาณสิบกว่าคนมีทั้งชายและหญิง พวกเขาล้วนแต่งตัวเป็นพลเมืองธรรมดา แต่พร้อมที่จะสร้างปัญหาที่ร้านของเจียงเสี่ยวไป๋ในตอนบ่ายแล้ว
“เจียงเสี่ยวไป๋ นายกำลังเล่นกับไฟ แต่นายยังไร้เดียงสาเกินไป”
นักเลงเฉินนอนเอนหลังบนเก้าอี้เอนด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ จินตนาการถึงฉากหลังจากที่แผนของพวกเขาสำเร็จลุล่วง เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ติดคุก ธุรกิจผัดมันฝรั่งของเขาจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ความคิดนี้ทำให้เขาตื่นเต้นจนยากจะควบคุมตัวเองได้
เขาไม่เคยรู้สึกว่าเวลาเดินช้าขนาดนี้มาก่อน เขานึกอยากจะไปป่วนร้านของเจียงเสี่ยวไป๋แทบใจจะขาด
อย่างไรก็ตาม หม่าตงหลายได้วางแผนอย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่จะซื้อผัดมันฝรั่ง ช่วงเวลาเริ่มก่อความวุ่นวาย โทรหาตำรวจและสำนักงานตรวจสอบอาหารและสุขอนามัย เวลาที่เจ้าหน้าที่มาถึง แต่ละรายละเอียดล้วนได้รับการวางแผนอย่างรอบคอบ
ดังนั้นนักเลงเฉินจึงไม่กล้าทำอะไรพลีพลาม และได้แต่รออย่างอดทน
พอใกล้เที่ยง จู่ ๆ สภาพอากาศกลับเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึง
“ลูกพี่ ดูเหมือนฝนจะตกนะ”
เจิ้งต้าเป่าสังเกตสภาพการเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้า และขมวดคิ้วขณะที่พูดกับนักเลงเฉิน
นักเลงเฉินตะคอกด้วยท่าทีที่ไม่พอใจและกล่าวว่า “แม้ว่าฝนจะตกหรือฟ้าจะถล่มก็ไม่สามารถช่วยให้เจียงเสี่ยวไป๋รอดพ้นจากการถูกจับกุมในวันนี้ได้”
ตอนแรกเจิ้งต้าเป่าจะพูดว่าหากฝนตกหนัก อาจมีคนไม่มากนักที่จะไปซื้อผัดมันฝรั่ง และเขาอาจจะก่อความวุ่นวายไม่สำเร็จ
แต่เมื่อได้เห็นท่าทีที่แน่วแน่ของนักเลงเฉิน เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไร
แม้ว่าร้านของเจียงเสี่ยวไป๋จะไม่มีลูกค้าเลย แต่หากมีคนกลุ่มใหญ่เดินเข้าไป พวกเขาก็สามารถสร้างความปั่นป่วนได้ไม่น้อย
หลังจากนั้นประมาณ 20 นาที เมฆดำรวมตัวกันบนท้องฟ้า ลมแรงทำให้หน้าต่างไม้ส่งเสียงดังเอี๊ยด เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง ตามมาด้วยเม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วที่โปรยปรายลงมา
ในตอนแรกฝนตกไม่หนัก แต่ไม่นานนัก ฝนก็ถล่มราวกับพายุโหมกระหน่ำ
สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เมื่อเวลาใกล้เข้ามา เจิ้งต้าเป่าเป็นกังวลอีกครั้งและพูดว่า “เถ้าแก่ ฝนตกหนักขนาดนี้ พวกเขาอาจจะปิดร้านไปแล้วก็ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นักเลงเฉินก็กังวลเช่นกัน
“ซื่อเหยียน รีบพาทุกคนออกไป”
“ครับ”
ซื่อเหยียนขานรับและส่งสัญญาณให้ทุกคนเตรียมพร้อม
ดังนั้น คนที่จะกินยาระบายก็กินไป คนที่จะดื่มน้ำผสมพริกก็ดื่มเช่นกัน สรุปแล้วทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้ตามแผนภายในเวลาสั้น ๆ จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางเป็นขบวนใหญ่ไปยังถนนชิงโจว
“ให้ตายเถอะ ฝนตกหนักแบบนี้ เราจะสร้างปัญหาได้อย่างไร ? ”
“ถูกต้อง บางทีเราควรบอกลูกพี่และรอจนฝนหยุดตกก่อนค่อยไป”
“ลูกพี่บอกว่าอย่างไรก็ต้องไป ต่อให้ฝนตก เขาก็ไม่ฟังเราหรอก”
“ช่างเถอะ พวกเราไปกัน”
“หวังว่าพอเราไปถึง ร้านจะไม่ชิงปิดไปเสียก่อน ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันได้กินยาระบายโดยเปล่าประโยชน์”
“นายไม่แย่เท่าถ้าฉันหรอก นายแค่กินยาระบาย แย่สุดก็แค่ท้องเสีย ฉันต้องดื่มน้ำผสมพริกลงไปตั้งเยอะ ตอนนี้ฉันปวดท้องมาก”
“อย่าพูดถึงมันเลย คนที่แย่ที่สุดคือฉัน บังเอิญดันเอามือเปื้อนพริกขี้หนูขยี้ตาเข้า แถมฝนตกด้วย ตอนนี้มองไม่เห็นทางแล้ว”
“……”
ผู้คนมากกว่าสิบคนถือร่มและฝ่าลมฝนไป
อย่างไรก็ตาม ลมและฝนแรงเกินไป แม้ว่าพวกเขาจะถือร่ม แต่เสื้อผ้าของพวกเขาก็ยังเปียกโชกไปครึ่งแถบ
พวกเขาบ่นตลอดทาง ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงร้านของเจียงเสี่ยวไป๋ และพบว่าประตูร้านถูกปิดอย่างแน่นหนา มีเพียงกันสาดฝนที่กางออกอย่างโดดเดี่ยวอยู่ด้านนอกเพื่อแบกรับความรุนแรงของลมและฝน ในขณะที่พื้นที่ด้านล่างยังคงแห้งสะอาดดี
ทุกคนตกตะลึง
เอาแล้วไง เจียงเสี่ยวไป๋ปิดร้านก่อนเวลา
“ซื่อเหยียน เราจะทำอย่างไรดีล่ะ ? ”
“ไม่มีใครอยู่ที่นี่เลย แผนการของเราสูญเปล่าแล้ว”
“รีบกลับกันเถอะ ท้องไส้ปั่นป่วนหมดแล้ว ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
“ฉันด้วย รีบกลับกันเถอะ”
“ฉันบอกแต่แรกแล้วไงว่าฝนตกหนักแบบนี้จะทำให้แผนล้มได้ เราต้องดื่มน้ำผสมพริกโดยเปล่าประโยชน์แล้ว”
“……”
กลุ่มคนกว่าสิบคนที่มาถึงด้วยท่าทีดุเดือดต้องจากไปด้วยความคับข้องใจยิ่งกว่าเดิม
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้เรื่องนี้เลย
ถ้าเขารู้ เขาคงจะหัวเราะจนท้องแข็ง
เขารีบปั่นจักรยานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และขณะที่เขาผ่านอำเภอชิงซาน ฝนก็เริ่มตกหนัก
เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็เปียกโชกเป็นลูกไก่ตกน้ำ
“ฝนตกหนักขนาดนี้ คุณจะรีบกลับมาทำไม ? ”
เมื่อเห็นสภาพของเขา หลินเจียอินทั้งประหลาดใจและขุ่นเคืองใจเล็กน้อย โตแล้ว เขาไม่คิดจะหลบฝนบ้างหรือ ? รอให้ฝนหยุดตกก่อนค่อยกลับมาไม่ได้หรือไง ?
“รีบไปอาบน้ำล้างตัว ฉันจะเอาเสื้อผ้าแห้ง ๆ มาให้คุณเปลี่ยน”
หลินเจียอินกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ในเวลากลางวันแสก ๆ แบบนี้จะให้ปิดประตูใหญ่แล้วอาบน้ำคงไม่เหมาะเท่าไร ดังนั้นทางเลือกเดียวคือใช้พื้นที่ครัว
เมื่อหลินเจียอินดุเจียงเสี่ยวไป๋ เขาไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย แต่ยังแอบมีความสุขอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าภรรยาเป็นห่วงเป็นใยเขา
นี่คือความรู้สึกของการได้รับความใส่ใจจากใครสักคน
มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษมาก !
หลังจากอาบน้ำเสร็จ เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกสดชื่น จากนั้นเขาก็สังเกตเห็นถังและอ่างไม้หลายใบวางอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในห้องหลักและในบ้าน
ติ๋ง ติ๋ง……
ข้างนอกฝนตกหนัก ในขณะที่ภายในบ้านมีน้ำฝนย้อยลงมา
ในบริเวณที่มีการรั่วไหลรุนแรง น้ำในอ่างล้นและกระเด็นออกมาทำให้พื้นรอบอ่างเปียก
นอกจากนี้ ยังมีคราบน้ำที่ผนังทั้งสองมุม
เนื่องจากการรั่วซึมของน้ำฝนเป็นเวลานาน ปูนฉาบผนังในบริเวณทั้งสองนี้จึงอ่อนตัวและเกิดเป็นฟอง ทำให้เกิดรอยรั่วบนผนัง
เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกแย่มากและเริ่มโทษตนเอง
ในอดีต ถ้าไม่ใช่เพราะความละเลยครอบครัว หลังคาคงไม่รั่วแบบนี้
“เมียจ๋า รอให้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแล้ว ผมจะให้หลี่เหวินถงมาซ่อมกระเบื้องมุงหลังคานะ”
“อืม ! ”
หลินเจียอินพยักหน้าเบา ๆ และพูดว่า “ฉันก็คิดแบบนี้เหมือนกัน”
เมื่อก่อน ต่อให้เธออยากซ่อมหลังคาก็ทำไม่ได้ เธอไม่มีเงินซื้อกระเบื้องและไม่สามารถจ้างหลี่เหวินถงได้
ในชนบท การจ้างแรงงานเพื่อทำงานในไร่นามักเลี้ยงแค่อาหารเท่านั้น แต่การจ้างช่างฝีมือ เช่น ช่างไม้ ช่างมุงหลังคา ช่างก่ออิฐ หรือช่างทอผ้าสำหรับงานเฉพาะ ไม่เพียงแต่ต้องจัดหาอาหารให้เท่านั้น แต่ยังต้องจ่ายค่าจ้างให้อีกฝ่ายสักเล็กน้อยด้วย
ในบ้านของเจียงเสี่ยวไป๋มีสองห้อง ใช้เวลาไม่เกินครึ่งวันก็น่าจะซ่อมกระเบื้องมุงหลังคาเสร็จแล้ว
จ่ายค่าจ้างให้ช่างมุงหลังคาสัก 5 เหมาก็เพียงพอแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะแค่ 5 เหมา แต่เมื่อก่อนหลินเจียอินก็ไม่มีเงินจำนวนนี้ เพราะบางครั้งในมือของเธอมีเงินอยู่บ้างก็จริง แต่เธอก็ต้องนำไปใช้ในเรื่องที่เร่งด่วนกว่า
เธอคิดกับตัวเองว่าตราบใดที่ยังให้อาศัยอยู่ได้ เธอก็สามารถจัดการรอยรั่วได้ โดยการวางอ่างรับน้ำ ดังนั้นเธอจึงเลิกล้มความคิดที่จะซ่อมมัน
เจียงเสี่ยวไป๋มองเธอด้วยความรู้สึกผิดและพูดว่า “ตอนนี้ซ่อมกระเบื้องมุงหลังคากันก่อน อีกไม่นาน เราจะสร้างบ้านใหม่กัน”
สร้างบ้านใหม่ !
ดวงตาที่สวยงามของหลินเจียอินกะพริบ และมีความชื้นปรากฏขึ้นใต้ขนตายาวของเธอ
ตั้งแต่แต่งงานและย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้ที่มีเพียง 2 ห้องนี้ ไม่เพียงแต่หลังคารั่วเมื่อฝนตกเท่านั้น แต่พวกเขาไม่มีแม้แต่ห้องน้ำที่เหมาะสมด้วย
เธอเคยคิดมานับครั้งไม่ถ้วนว่าหากวันหนึ่งสามารถสร้างบ้านอิฐหลังใหม่ได้สักหลัง นับว่าเธอสามารถลงหลักปักฐานได้แล้ว
แต่ในอดีต เพราะความสำมะเลเทเมาและความไม่ใส่ใจของสามีที่มีต่อครอบครัว ทำให้พวกเขายากจน ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกิน แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาสร้างบ้านใหม่ ?
แต่ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไป สามีของเธอหันกลับมาทำธุรกิจในเมืองและมีรายได้หลายร้อยถึงหลักพันหยวนทุกวัน ดังนั้นการสร้างบ้านใหม่จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไรใช่ไหม ?
“เราจะสร้างบ้านที่มีสามห้องนอน มีโถงตรงกลาง และมีชายคายื่นออกมาที่ด้านหลัง”
หลินเจียอินกล่าวด้วยความคาดหวัง รอยยิ้มที่มีความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สวยงามของเธอ
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดอย่างเสน่หาว่า “เมียจ๋า ผมจะสร้างบ้านหลังใหญ่ให้คุณ บ้านของเราจะหันหน้าไปทางแม่น้ำที่ใสสะอาด ซึ่งมีดอกไม้บานสะพรั่งในฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น”
บ้านหลังใหญ่หันหน้าสู่แม่น้ำใสพร้อมความงามของฤดูใบไม้ผลิ ที่มีดอกไม้บานสะพรั่ง
ช่างเป็นฉากที่สวยงาม
หลินเจียอินมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะเขาเคยเป็นครูสอนภาษามาก่อน ถ้อยคำที่เขาพูดช่างไพเราะและงดงาม เต็มไปด้วยจินตนาการอันยอดเยี่ยม
และเขายังบอกด้วยว่าบ้านที่ใหญ่โตแบบนี้จะสร้างให้เธอ
หลินเจียอินจำคำเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำและหัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความสุข