ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 705 เพิ่มบริการในสปา
ตอนที่ 705 เพิ่มบริการในสปา
เจียงเสี่ยวไป๋และเมิ่งเสี่ยวเป่ยก็ได้ไปนวดเท้าอยู่ในห้อง 011 ซึ่งพนักงานนวดที่มานวดให้พวกเขาคือเฉินเจียและหยางมี่
เมิ่งเสี่ยวเป่ยผ่อนคลายไปกับประสบการณ์ใหม่นี้มาก
ช่วงนี้เธอทำงานหนักจนร่างกายเหนื่อยล้ามาก และปวดหลังอยู่บ่อย ๆ นอกจากนี้เธอยังมีภาวะกระดูกสันหลังส่วนคอและข้อไหล่ติดอีกด้วย ซึ่งทำให้ไม่สบายตัวอยู่บ่อยครั้งเวลานั่งทำงานเป็นเวลานาน
ด้วยการนวดของหยางมี่ ทำให้เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอผ่อนคลายลงอย่างมาก ไหล่และคอของเธอก็ไม่ตึงเหมือนที่ผ่านมาแล้ว
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้ช่วยหลินบอกว่าการนวดเท้านั้นผ่อนคลาย มันคือเรื่องจริง ! ” เมิ่งเสี่ยวเป่ยกล่าวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “คนเราน่ะ ตอนยังหนุ่มมักจะทำงานหนักเพื่อเงิน และส่งผลให้ร่างกายพังลงได้ เมื่อพวกเขาอายุมากขึ้น สุดท้ายพวกเขาใช้เงินที่พวกเขาทำงานมาอย่างหนักไปกับการรักษาตัวเอง”
“หากเป็นเช่นนั้น การมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความหมายอะไร”
“มุมมองของฉันคือ หาเงินไปด้วยและตระหนักถึงคุณค่าของตัวเองไปด้วย อย่าคิดว่าการหาเงินคือทั้งหมดของชีวิต เราต้องสนุกไปกับการใช้ชีวิต พร้อมกับหาเงินเพื่อให้ชีวิตมีคุณภาพมากขึ้น”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยเม้มริมฝีปากแล้วยิ้มออกมา “แล้วฉันจะสนุกกับการหาเงินให้มากขึ้นในอนาคตค่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “นับจากนี้ไป ที่นี่จะเป็นสถานที่ให้พนักงานของบริษัทมาผ่อนคลาย คุณเมิ่ง คุณสามารถมานวดเท้าที่นี่เพื่อผ่อนคลายบ้าง เมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยจากการทำงาน”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยถามด้วยรอยยิ้ม “บริษัทจะจ่ายให้หรือเราต้องจ่ายเองคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ฉันให้คุณเป็นคนตัดสินใจเลยว่าจะให้บริษัทจะจ่ายหรือจ่ายเอง แต่จะต้องเป็นไปตามข้อบังคับของบริษัท”
“ได้ค่ะ ! ” เมิ่งเสี่ยวเป่ยตอบรับอย่างมีความสุข “ฉันจะคิดอย่างรอบคอบ”
หลังจากคิดอยู่สักพัก เธอก็กล่าวเสริมว่า “ที่นี่สามารถมาดื่มชาและนวดเท้าได้ เป็นสถานที่ต้อนรับที่ดี ที่นี่ยังพูดคุยเรื่องงานได้อีกด้วย เสียดายที่ไม่มีอาหารบริการ ไม่งั้นมันคงจะสมบูรณ์แบบน่าดู”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “สั่งจากที่อื่นมากินไม่ได้เหรอ ? ตอนนี้ร้านของเรามีโทรศัพท์แล้ว พนักงานในบริษัทก็จะมาใช้บริการที่นี่ หากแผนกต้อนรับใช้เวลานาน คุณก็ต้องทานอาหารที่นี่ สั่งจากร้านอื่นมาทานได้เหมือนกัน”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยกล่าวว่า “ถ้าเราอยู่ในที่อื่น ที่บ้านหรือที่ทำงาน ฉันคิดว่าการสั่งอาหารมาส่งให้ช่วยแก้ปัญหาได้ แต่เนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่ให้บริการเหมือนกัน การสั่งอาหารจากที่อื่นมาทานจึงไม่ค่อยเหมาะสมนัก”
“ไม่รู้สิ มันเป็นแค่ความรู้สึกส่วนตัวของฉันนะคะ”
เจียงเสี่ยวไป๋คิดอยู่พักหนึ่งและตระหนักได้ว่าสิ่งที่เมิ่งเสี่ยวเป่ยพูดนั้นสมเหตุสมผล เขาจึงยิ้มและพูดว่า “ปัญหานี้จัดการได้ง่าย อีกไม่กี่วันฉันจะคิดเมนูออกมาแล้วส่งพ่อครัวมาสักคน เพื่อให้ลูกค้าที่มาใช้บริการสามารถสั่งอาหารที่นี่ได้”
“แล้วคุณตั้งใจจะทำเมนูอะไรบ้าง ? ” เมิ่งเสี่ยวเป่ยถามด้วยความสนใจ
เธอสนใจอาหารแนวสร้างสรรค์ของเจียงเสี่ยวไป๋เป็นอย่างมาก
“อาหารว่างง่าย ๆ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างสบาย ๆ
“อาหารว่างง่าย ๆ ? ” เมิ่งเสี่ยวเป่ยถามด้วยความประหลาดใจ “แล้วมันคืออาหารแบบไหนกันคะ ? ”
จากนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็เริ่มพูดคุยกับเธอเกี่ยวกับอาหารที่เขาพูดถึง
สิ่งที่เรียกว่าอาหารว่าง เป็นที่นิยมอย่างมากในร้านอาหารตะวันตกในยุคสมัยต่อมา
ในรูปแบบดั้งเดิม อาหารตะวันตกเกี่ยวข้องกับการรับประทานสเต็กและการดื่มไวน์แดง อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าสู่ประเทศจีน ชาวจีนที่มีใจกว้างและเปิดกว้างพิจารณาว่าหลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับอาหารตะวันตก จึงได้นำเสนอ ‘ข้าวอบหม้อดิน’ อย่างสร้างสรรค์ โดยผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมการรับประทานอาหารในท้องถิ่นของจีน
ข้าวอบหม้อดิน เป็นอาหารแบบดั้งเดิมของชาวจีนที่กินกันอย่างแพร่หลายในทางตอนใต้ โดยเฉพาะในมณฑลกวางตุ้ง ต้นกำเนิดทางประวัติศาสตร์มาจากที่ราบภาคกลางเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตามบันทึกในหนังสือทางประวัติศาสตร์บอกว่า อาหารอันโอชะนี้เป็นหนึ่งในสองของสมบัติทั้งแปดของราชวงศ์โจว ทำคล้ายกับข้าวหม้อดิน เว้นแต่ว่าใช้ข้าวเหลืองแทน ตาม ‘สูตร’ ของเหว่ยจูหยวน ข้าวอบหม้อดินเรียกว่า ‘ข้าวพระแม่หยูหวง’ ในสมัยราชวงศ์ถัง มันทำจากข้าวที่เอาไปแช่แล้วราดด้วยน้ำมันกากหมู มีรสชาติหอมมันและกลมกล่อม
ข้าวอบหม้อดินจะหุงในหม้อดิน คนในมณฑลกวางตุ้งเรียกหม้อนี้ว่าหม้อดินเผา เมนูนี้จึงเรียกว่า ‘ข้าวอบหม้อดิน’
วิธีทำคือ ทามันหมูให้ทั่วหม้อก่อนแล้วจึงใส่ข้าวที่แช่แล้วลงในหม้อ ผัดให้เข้ากัน จากนั้นก็เติมน้ำ ปิดฝา พอข้าวเริ่มเดือดก็เปิดฝาออก ใส่ซอสปรุงรส ใส่เครื่องและน้ำมันงาลงไป เคี่ยวบนไฟอ่อนจนน้ำในหม้อลดลงไปเรื่อง จากนั้นนำไปอบต่อจนข้าวร่วนซุย
ข้าวที่หุงด้วยวิธีนี้จะมีกลิ่นหอม เคี้ยวมัน มีรสชาติที่ติดอยู่ในลำคอไม่รู้จบ
หลังจากข้าวอบหม้อดินสุกแล้วให้วาง “หม้อดิน” ลงบนโต๊ะ เปิดฝา แล้วราดซอสสูตรพิเศษลงบนข้าว กลิ่นหอมจะลอยออกมาทันที พร้อมเสียง “ซ่า ซ่า” ของซอสที่โดนความร้อน การกินข้าวอบหม้อดินจึงเป็นอะไรที่น่าเพลิดเพลินที่สุด
สิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋จำได้ดีที่สุดคือข้าวตรงขอบหม้อที่กรอบและมีสีเหลืองทอง เมื่อกัดเข้าไป รสชาติของมันจะคงค้างอยู่ในลำคอไม่รู้จบ
หลังจากพูดคุยเกี่ยวกับวิธีทำข้าวอบหม้อดินแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้บอกเมนูข้าวอบหม้อดินออกมา เช่น ข้าวอบซี่โครงหมูถั่วดำ ข้าวอบเนื้อ ข้าวอบเห็ดหอมและไก่ ข้าวอบปลาไหล ข้าวอบกบ ข้าวอบหมูและปลาเค็ม เป็นต้น
“ฉันอยากกินทุกเมนูที่คุณพูดมาเลย ! ” เมิ่งเสี่ยวเป่ยกลืนน้ำลายแล้วพูดออกมา
เฉินเจียและหยางมี่ที่กำลังนวดเท้าอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบกลืนน้ำลายไปตาม ๆ กัน พวกเธอแอบบ่นในใจว่า พูดอะไรก็พูดได้กับผู้ช่วยเจียง ยกเว้นพูดเรื่องอาหาร
เพราะทุกครั้งที่คุยกัน มันทำให้พวกเธอหิว
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดกับเมิ่งเสี่ยวเป่ย “ฉันจะไปดูที่ตลาดในช่วงบ่ายว่ามีหม้อดินดี ๆ ขายบ้างไหม ? หากว่ามี พรุ่งนี้ฉันจะลองมาทำข้าวอบหม้อดินดู”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยดีใจมากเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เธอจึงพูดขึ้นมาทันทีว่า “คุณต้องการวัตถุดิบอะไรสั่งได้เลยนะคะ ฉันจะให้คนไปซื้อมาให้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “คุณก็รู้ว่าหน้าที่นี้เหมาะกับใครมากกว่า ฉันจะขอให้ป้าจางไปซื้อของมาให้เอง”
แม้ว่าโหยวโหย่วหยูจะรับผิดชอบเรื่องบุคลากร แต่เมิ่งเสี่ยวเป่ยก็คุ้นเคยกับพนักงานหลายคนไม่ต่างกัน เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ฉันว่าคุณควรย้ายหลี่ฉางโหยวมาที่นี่ ตอนนี้เขาอยู่ที่ร้านกุ้งอบชิงเจียงหมายเลข 24 เขามีความชำนาญมในการทำอาหารมาก ควรให้เขามาเป็นพ่อครัวหลักอยู่ที่นี่ดีกว่า”
“งั้นคุณก็ตัดสินใจเลย” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าว
หลังจากที่ตัดสินใจในเรื่องนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็กล่าวต่อ “ฉันไปหานายกเทศมนตรีจางมา เพื่อขอที่ดินของโรงงานขนมบนถนนชิงโจวที่ปล่อยทิ้งร้างไว้ตรงนั้น ซึ่งฉันวางแผนว่าจะสร้างอาคารสำนักงานชั่วคราวของเจียงเจียกรุ๊ปไว้ที่นั่น”
เมิ่งเสี่ยวเป่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและพูดว่า “ตอนนี้บริษัทยังไม่มีอาคารสำนักงานแบบรวมศูนย์ แต่เราจะสามารถซื้อที่ดินของโรงงานขนมตรงนั้นได้ไหมล่ะคะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋แสดงความคิดเห็นของเขาออกมาเกี่ยวกับโรงงานทำขนมนี้
เมิ่งเสี่ยวเป่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาล่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะรีบเตรียมการแล้วติดต่อพวกเขาไป”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า เขาเองก็คิดแบบนั้น
เพราะหลังจากจัดการกับธุระที่นี่แล้ว เขาก็สามารถไปที่เจี้ยนหยางได้อย่างสบายใจ
ที่เจี้ยนหยาง ส่วนท้องถิ่นได้ช่วยชาวบ้านในหมู่บ้านต้าชิ่งสร้างโรงงาน และยังได้ส่งเสริมการผลิตไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้งอีกด้วย อาจกล่าวได้ว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว เพียงรอให้เจียงเสี่ยวไป๋นำเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ไปสอนพวกเขาทำ
วันรุ่งขึ้น หวังชิ่งซีก็ได้เอาไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้งมาให้กับเจียงเสี่ยวไป๋จำนวน 500 อันตามที่รับปากไว้
“อ่า เหล่าหวัง คราวนี้คุณทำแบบใหม่ออกมา มีนวัตกรรมใหม่ ๆ อะไรเพิ่มเหรอ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้งจำนวนมากเหล่านี้
หวังชิ่งซียิ้มและพูดว่า “มันไม่ใช่นวัตกรรมใหม่อะไรหรอก ฉันแค่คิดว่าถ้าคุณต้องการพัฒนาธุรกิจนี้ ไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้งจะต้องมีแพคเกจที่สวยงาม น่าดึงดูด ! ฉันเลยเปลี่ยนรูปแบบของมันเล็กน้อย คุณสามารถเลือกดูตามสเปกของคุณได้”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “นี่ถือเป็นสิ่งที่ดี ผลิตภัณฑ์ของเราจะได้น่าดึงดูดมากขึ้น”
หวังชิ่งซีกล่าวว่า “น่าเสียดายที่มันยังดูไม่ดีพอ เพราะยังเป็นเพียงเปลือกพลาสติกใส”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะออกมาและพูดว่า “เหล่าหวัง ฉันพอมีวิธีแก้ไขปัญหานี้อยู่”