ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 706 เปิดใจ
ตอนที่ 706 เปิดใจ
หวังชิ่งซีเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความประหลาดใจ หากต้องการให้ไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้งดูดีก็ต้องออกแบบรูปทรงภายนอกของมันให้ดูดี
อาจดูเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ออกมาดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แม้ว่าเขาจะคิดวิธีแก้ปัญหานี้มาได้สักระยะแล้ว แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็รับช่วงต่อทุกอย่าง
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นความสับสนของหวังชิ่งซี จึงหัวเราะออกมา “เหล่าหวัง ความคิดของคุณนั้นดีแล้ว แต่การทำให้ไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้งออกมาดูดี คุณไม่จำเป็นต้องออกแบบเยอะขนาดนี้”
หวังชิ่งซีตกตะลึงอยู่ครู่นึก แล้วถามไปว่า “แล้วฉันจะต้องทำอย่างไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “การจะทำให้มันออกมาดูดียังมีวิธีง่าย ๆ อยู่เช่นกัน”
เขาไม่คิดที่จะปิดบังอีกต่อไป
เขากล่าวออกมา 3 วิธี วิธีที่หนึ่งคือติดสติกเกอร์โดยใช้กระดาษเคลือบที่มีกาวติดด้านหนึ่งมาติดไฟแช็ก วิธีที่สองคือใช้วิธีฟิล์มตัวไฟแช็ก ซึ่งต่างจากวิธีแรกคือการใช้วัสดุ และวิธีที่สามคือสกรีน ใช้เครื่องพิมพ์พิมพ์โลโก้ลงไปบนผลิตภัณฑ์โดยตรง
ทั้งสามวิธีนี้มักใช้ในโรงงานไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้งในยุคหลัง ซึ่งวิธีนี้ก็ทำให้ผลิตภัณฑ์ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
หวังชิ่งซีตระหนักได้ในทันที และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจ “ผู้ช่วยเจียง ความคิดของฉันนั้นมันแคบจริง ๆ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือ “บางที คนเราก็อาจจะเจอทางตันในสิ่งที่ตัวเองถนัด เพราะละเลยวิธีคิดแบบอื่นไป”
จากนั้น เขาก็ได้เล่าเรื่องที่คล้ายกันนี้ให้หวังชิ่งซีฟัง
ว่ากันว่ามีบริษัทเคมีภัณฑ์รายใหญ่แห่งหนึ่งเปิดตัวสายการผลิตบรรจุภัณฑ์สบู่ และพบว่าสายการผลิตนี้มีข้อบกพร่องคือ: บ่อยครั้งที่บางกล่องไม่มีสบู่อยู่ในนั้น และกล่องสบู่เปล่าก็ถูกปะปนลงในบรรจุภัณฑ์สำเร็จ
บริษัทนี้จึงยอมจ่ายเงินในราคาที่สูงเพื่อจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเครื่องกลมาออกแบบเครื่องคัดแยกกล่องสบู่เปล่า
ผู้เชียวชาญจึงตั้งทีมวิจัยขึ้นมามากกว่าสิบคน โดยใช้เครื่องจักรไมโครอิเล็กทรอนิกส์ระบบอัตโนมัติ และเทคโนโลยีการตรวจจับ พวกเขาทุ่มเงินหลายแสนหยวนในการพัฒนาเครื่องตรวจจับ ตราบใดที่กล่องสบู่เปล่าผ่านสายการผลิต เครื่องตรวจจับจะตรวจจับและดันกล่องสบู่เปล่าออกไป
จากนั้นไม่นาน บริษัทแห่งหนึ่งก็ได้ซื้อสายการผลิตบรรจุภัณฑ์สบู่นี้ไปและก็ประสบปัญหาเดียวกัน
ประธานบริษัทโกรธมากเมื่อรู้ว่ามีปัญหานี้ เขาจึงโทรไปหาคนงานแล้วพูดว่า “หาทางแก้ไขปัญหานี้ให้ฉัน ไม่งั้นคุณจะถูกหักค่าจ้าง”
เมื่อคนงานได้ยินดังนั้น พวกเขาจะยอมให้หักค่าจ้างได้อย่างไร ?
พวกเขาจึงระดมสมองช่วยกันหาทางแก้ปัญหานี้ จนในที่สุดเขาก็ได้วิธีในการจัดการ คือเอาพัดลมมาวางไว้ข้างสายการผลิตและเป่าลงไปยังกล่องสบู่ที่เคลื่อนผ่านสายการผลิตออกมา ส่งผลให้กล่องสบู่เปล่าที่เบาทั้งหมดปลิวว่อนออกไป
หวังชิ่งซีตกตะลึงเป็นเวลานานหลังจากได้ฟังเรื่องราวที่เจียงเสี่ยวไป๋เล่า
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นแล้วยิ้ม “เหล่าหวัง มันเป็นแค่เรื่องเล่า อย่าไปจริงจังกับมันมากนัก”
หวังชิ่งซีพูดอย่างจริงจัง “เรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ได้ข้อคิดที่ยอดเยี่ยม ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจบางอย่างที่ฉันไม่เคยเข้าใจมาก่อนแล้ว”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็กล่าวขอบคุณเจียงเสี่ยวไป๋จากใจจริง
สิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้ก็คือ หวังชิ่งซีได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวความสำเร็จที่เขาสร้างขึ้นโดยไม่ตั้งใจ จากนั้นเป็นต้นมา หวังชิ่งซีก็ได้ริเริ่มโหมดการคิดนอกกรอบ และต่อมาได้คิดค้นและสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีการแข่งขันสูงหลายรายการให้กับเจียงเจียกรุ๊ป
บางครั้ง ก็ต้องยอมรับว่าการศึกษาความสำเร็จของคนอื่นมีอิทธิพลในทางที่ดีต่อผู้ที่ศึกษาเช่นกัน
“ผู้ช่วยเจียง งั้นก็เอาตามวิธีที่คุณบอก ฉันจะไปหาโรงงานทำสติกเกอร์โลโก้ของเราออกมาแล้วลองเอาติดดู” หวังชิ่งซีกล่าว
ส่วนฟิล์มที่ใช้ในการเคลือบนั้น โรงงานผลิตพลาสติกก็ทำได้ เรื่องนี้สำหรับหวังชิ่งซีนั้นจัดการได้ไม่ยาก ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อน
“ถ้าอย่างนั้น ฉันต้องขอโทษที่รบกวนคุณให้คุณต้องลำบากอีกครั้ง ! ” เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวอย่างมีความสุข
ตอนนี้เขาเริ่มพอใจกับการทำงานของหวังชิ่งซีมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกฝ่ายสามารถทำในสิ่งที่เขาพูด และจับประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว
เจียงเสี่ยวไป๋ชอบการติดสติกเกอร์มากกว่าการติดฟิล์ม สติกเกอร์บนไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้งไม่เพียงแต่ทำให้ดูดีเท่านั้น แต่ยังสามารถแสดงโลโก้ออกมาได้ดีกว่าการติดฟิล์ม
ท้ายที่สุดแล้ว เทคโนโลยีการพิมพ์กระดาษก็ก้าวหน้ากว่าเทคโนโลยีการพิมพ์แผ่นฟิล์มมาก
ซึ่งการทำแพคเกจของไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้งออกมาให้ดูดียังสามารถใช้เป็นช่องทางการโฆษณาได้
เมื่อถึงตอนนั้น เนื่องจากไฟแช็คแบบใช้แล้วทิ้งได้รับความนิยมไปทั่วประเทศ ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเจียงเจียกรุ๊ปก็จะปรากฏให้ผู้คนหลายร้อยล้านคนได้เห็น
หลังจากออกจากห้องทำงานของหวังชิ่งซีแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปที่ห้องทำงานของเฉินอันผิงต่อ
ทว่าเฉินอันผิงก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น และไปที่สำนักงานใหญ่ของแผนกการขายแล้ว
เนื่องการช่วงนี้แผนกขายยุ่งมาก เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในออฟฟิศใหญ่ เพื่อจะได้แก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รีบร้อน เขานั่งรอที่โต๊ะหลุมไฟดื่มชาและสูบบุหรี่ไปด้วย ใช้โอกาสนี้นั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมา เฉินอันผิงก็กลับมา เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋รอเขาอยู่ เขาจึงกล่าวขอโทษ “ผู้ช่วยเจียงฉันขอโทษ ฉันไม่รู้ว่าคุณมารออยู่ที่นี่ ทำให้คุณมารอนานเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือ หยิบถุงที่มีของอยู่ในนั้นขึ้นมาสองใบ “นี่คือตัวอย่างไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้ง 400 ชิ้น เอาไปเลย”
เฉินอันผิงรับมันไว้
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “จำไว้ว่าอย่าเอาออกมาให้หมดในคราวเดียว แต่ต้องค่อย ๆ เอาออกมาให้ทีละนิด”
เฉินอันผิงหัวเราะเบา ๆ “ผมรู้ว่าของหายากนั้นมีค่า”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและไม่พูดอะไรต่อ
หลังออกจากห้องทำงานของเฉินอันผิงแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ตรงไปที่ร้านค้าในตลาด
ร้านค้าในตลาดหลายร้าน ก็มีผลิตภัณฑ์ของเจียงเจียกรุ๊ปมาวางขาย เช่น นมถั่วเหลือง เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ ล่าเถียวเผ็ด เต้าหู้แห้ง น้ำจิ้มรสเผ็ด เป็นต้น
เมื่อเห็นว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ของเขาขายดี เจียงเสี่ยวไป๋จึงหวังที่จะเปิดห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลังจากที่อาคารชิงโจวสร้างเสร็จด้วย
อย่างไรก็ตาม เขาคาดการณ์ว่าร้านสะดวกซื้อในเครือ อาจจะเปิดเร็วกว่าห้างสรรพสินค้าด้วยซ้ำ
เมื่อเดินดูของในร้านสักพัก เขาก็ระงับความคิดนี้ทิ้งไป และถามพนักงานขายว่ามีหม้อดินขายไหม พนักงานให้เขารอสักครู่ จากนั้นก็ไปหามาให้เขาเลือกดู 3 ขนาด
หม้อดินที่ใช้ทำข้าวอบหม้อดินควรมีภายในที่เรียบ เพื่อที่ข้าวในหม้อจะได้สุกอย่างสม่ำเสมอ เพราะจะทำให้ข้าวที่ติดก้นหม้อนั้นกรอบและมีรสชาติที่อร่อย
เจียงเสี่ยวไป๋เลือกมาหนึ่งขนาดและซื้อชามและช้อนต่อ เมื่อจ่ายเงินเสร็จแล้วเขาก็ไปที่รถ จากนั้นก็กลับไปที่โรงงานเครื่องปรุงรส
“ป่าป๊าคะ คุณตาโทรมา ไม่รู้ว่ามีธุระอะไรหรือเปล่า ? ” ทันทีที่เขาเข้าไปในห้อง เจียงชานก็พูดขึ้นมา
“โอ้ ! ” เจียงเสี่ยวไป๋ตอบและถามด้วยรอยยิ้ม “คุณตาบอกว่ามีธุระอะไรกับพ่อหรือเปล่า ? ”
เจียงชานส่ายหัว “แม่เป็นคนรับสาย หนูรู้แค่ว่าเป็นคุณตาโทรมา”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “หูของหนูดีมาก” จากนั้นเขาก็มองไปที่หลินเจียอิน
หลินเจียอินพูดว่า “พ่อไม่ได้บอกว่ามีธุระอะไร เขาแค่ขอให้คุณโทรกลับไป เมื่อคุณกลับมา”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดว่า “พ่อคงกำลังเร่งให้ผมไปที่เจี้ยนหยาง”
ขณะที่เขาพูด เขาก็เดินเข้าไปในออฟฟิศ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาหลินต้าเหว่ยทันที
มีการรับสายอย่างรวดเร็ว และตามที่คาดไว้ พ่อตาของเขาถามเขาว่าเขาจะไปที่เจี้ยนหยางเมื่อไหร่ และยังบอกว่าชาวบ้านในหมู่บ้านต้าฉิงต่างก็ตั้งตาคอยเขา
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “พรุ่งนี้ผมจะไปที่หมู่บ้านต้าชิ่งครับ”
หลินต้าเหว่ยมีความสุขขึ้นมาทันที “เอาล่ะ อย่างไรพรุ่งนี้เช้าเจอกันนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ยังมีอุปกรณ์และวัสดุอีกมากที่ต้องเอาใส่รถบรรทุก มันอาจจะช้าหน่อย พรุ่งนี้ผมจะโทรหาพ่อเมื่อเราออกเดินทางนะครับ”