ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 713 อย่างที่ต้องการพอดี
ตอนที่ 713 อย่างที่ต้องการพอดี
เจียงเสี่ยวไป๋เหลือบมองสัญญา นอกเหนือจากความแตกต่างในปริมาณการซื้อแล้ว เงื่อนไขของสัญญาจัดซื้อจัดจ้างฉบับนี้กับของเทศบาลชิงโจวเกือบจะเหมือนกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอ้างอิงจากที่นั่น
ในสัญญานี้สั่งซื้อเฉพาะโต๊ะหลุมไฟเท่านั้น ไม่มีการสั่งซื้อถ่านหิน
เจียงเสี่ยวไป๋เองก็ไม่ได้เอ่ยถึงถ่านหินเลยด้วยซ้ำ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ในหมู่บ้านหลงกังในอำเภอเจี้ยนหยางก็มีเหมืองถ่านหินอยู่ และส่วนใหญ่พวกเขาก็ใช้ถ่านหินในอำเภอของตนเอง
คิดแล้วก็เซ็นเลย !
ฉวับ ฉวับ ฉวับ !
เจียงเสี่ยวไป๋เซ็นสัญญาสองฉบับด้วยปากกา โดยคืนสัญญาฉบับหนึ่งให้ฉินหงซิง และเก็บอีกฉบับไว้กับตัวเอง
“ฮ่าฮ่า…” ฉินหงซิงที่ได้รับสัญญาก็ตบเบา ๆ และหัวเราะออกมา “เถ้าแก่เจียง เราจะรอคุณส่งสินค้ามา ! ”
“ใช่แล้ว ! ” หราวชุ่นชิงพยักหน้าเห็นด้วย
หลี่กังถึงกับถามออกมาว่า “เสี่ยวเจียง แล้วคุณจะส่งสินค้ามาให้เราเมื่อไหร่ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ใส่สัญญาลงในกระเป๋าของเขาด้วยท่าทีสบายใจ และพูดว่า “ต้องรอจนกว่าผมจะกลับไป ถึงจะส่งของมาให้ได้ ! ”
หลี่กังมองไปที่หวังชิ่งซีแล้วพูดว่า “ในเมื่อคุณให้คุณหวังมาสอนพวกเราแล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องไปที่หมู่บ้านต้าชิ่งอีก คุณควรรีบกลับไปโดยด่วนเถอะ ! ”
หราวชุ่นชิงพยักหน้า “ถูกต้อง คุณต้องรีบกลับโดยเร็ว แล้วส่งโต๊ะหลุมไฟมาให้เราได้แล้ว ชาวบ้านทุกคนกำลังรอใช้มันอยู่”
เจียงเสี่ยวไป๋มองดูพวกเขาด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “อะไรกัน พวกคุณจะไล่ผมกลับไปตอนนี้เลยเหรอ ? ”
ขณะที่เขาพูด เขาก็หยิบปึกรายชื่อออกมาจากกระเป๋าของเขาสองปึก “แต่พวกคุณไม่เอาอุปกรณ์ ไม่เอาชิ้นส่วนพวกนี้แล้วใช่ไหม ? ”
หลี่กัง หราวชุ่นชิง และคนอื่นรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาทันที
พวกเขามัวยุ่งอยู่กับการเร่งให้เจียงเสี่ยวไป๋รีบกลับไปส่งโต๊ะหลุมไฟมาให้พวกเขา จนลืมไปว่าอุปกรณ์สำหรับทำไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้งยังอยู่ในมือของเจียงเสี่ยวไป๋
แต่การที่พวกเขาสามารถขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ ย่อมต้องเป็นคนหน้าด้านกันมาไม่น้อยอยู่แล้ว ?
หราวชุ่นชิงจึงหัวเราะออกมา “เถ้าแก่เจียง แน่นอนว่าฉันต้องการอุปกรณ์พวกนี้อยู่แล้ว คุณมอบให้รองนายอำเภอสีได้เลย เพราะเรื่องนี้เขาเป็นคนดูแล นอกจากนี้ก็มีคุณหวังอยู่ที่นี่แล้ว ต้องขอโทษด้วยที่เราไม่ได้ต้อนรับคุณอย่างเต็มที่ และคุณก็ไม่จำเป็นต้องไปทุกข์ทนกับอากาศหนาวที่หมู่บ้านต้าชิ่งหรอก ! ”
หลี่กังพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวสาร “ใช่แล้ว ตอนนี้ฟืนในหมู่บ้านต้าชิ่งแทบจะไม่เหลือแล้ว หลายคนในหมู่บ้านไม่มีฟืนใช้ก่อไฟเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นในฤดูหนาว ในฐานะเถ้าแก่ใหญ่ คุณอย่าไปที่นั่นเลย หากทำให้คุณตกระกำลำบากขึ้นมา พวกเราคงรู้สึกผิดไม่น้อย”
สีเจิ้งเหว่ยยังกล่าวอีกว่า “เถ้าแก่เจียง เรื่องอุปกรณ์สำหรับทำไฟแช็กแบบใช้แล้วทิ้ง ปล่อยให้ฉันจัดการเถอะ ฉันรับปากว่าจะไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดแน่นอน”
มุมปากของเจียงเสี่ยวไป๋กระตุกอย่างรุนแรง
เมื่อได้ฟังแบบนี้ เขาจึงตัดสินใจว่าการไปที่หมู่บ้านต้าชิ่งสำหรับเขายังไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร
เขาจึงส่งรายชื่อทั้งสองปึกให้สีเจิ้งเหว่ยทันที และพูดว่า “เอาล่ะ งั้นผมจะยังไม่ไปที่หมู่บ้านต้าชิ่ง เมื่อคุณพูดอย่างนั้นแล้ว ผมควรจะรีบกลับไปที่ชิงโจวให้เร็วที่สุด”
คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แต่หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความสุข
ไม่ใช่ว่าเขากลัวที่จะต้องไปหมู่บ้านต้าชิ่ง แต่ทำน้อยย่อมดีกว่าทำมาก หากปลีกตัวได้ก็ควรปลีกตัวออกมา
ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือสิ่งที่ผู้คนต้องการมากที่สุด
ซึ่งมันก็ดูจะยุติธรรมดีแล้ว
การแสดงออกของเขาดึงดูดสายตาของหลี่กัง หราวชุ่นชิง และคนอื่น ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจเล็กน้อย เพราะท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้มันก็เร่งด่วนเกินไป
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นคำแนะนำของหลินต้าเหว่ย ซึ่งพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปฏิบัติตาม
ความหมายของหลินต้าเหว่ยคือหากพวกเขาไม่เร่งเร้าเจียงเสี่ยวไป๋หน่อย เจียงเสี่ยวไป๋ก็จะยึกยักและเล่นหูเล่นตากับพวกเขา
เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เชื่อว่าทุกคนต่างก็เคยรับบทเป็นผู้ร้ายกันมาก่อนแล้ว
ในบรรยากาศที่ค่อนข้างอึดอัด หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารเสร็จแล้ว หลี่กัง สีเจิ้งเหว่ย และคนอื่นก็ออกเดินทางไปพร้อมกับหวังชิ่งซี เข้าร่วมขบวนรถของหวังไห่เฟิงและรีบไปที่หมู่บ้านต้าชิ่ง
ส่วนหลินต้าเหว่ยก็ไม่ได้ไปด้วย
เมื่อผู้นำทั้งหมดไปต้องไปที่หมู่บ้านต้าชิ่ง เขาก็ไม่สามารถละทิ้งเจียงเสี่ยวไป๋ไว้คนเดียวได้
หลังจากออกจากโรงแรมของรัฐแล้ว หลินต้าเว่ยก็พูดว่า “ไปนั่งพักคุยกันหน่อยไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มรับ “ก็ได้ครับ”
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการไปหมู่บ้านต้าชิ่งแล้ว และการกลับไปที่ชิงโจวก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อนอะไร
ทั้งสองจึงกลับไปที่ห้องทำงานของหลินต้าเหว่ย
เมื่อไปถึงห้อง พวกเขาก็นั่งลงที่โต๊ะหลุมไฟ หลี่ซิ่งหัวได้เข้ามาชงชาให้ทั้งสองคนแล้วออกไป หลินต้าเหว่ยยื่นบุหรี่ให้เจียงเสี่ยวไป๋และทั้งสองก็เริ่มพูดคุยกันขณะดื่มชาและสูบบุหรี่ไปด้วย
หลินต้าเหว่ยเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋แล้วพูดว่า “ลูกตั้งโรงงานโต๊ะหลุมไฟในถู่เฉิง หลัวฉางเซิงโทรมาหาพ่อและกล่าวขอบคุณลูกไม่หยุดเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม “นายกเทศมนตรีจางกลับคิดว่าการที่ผมทำแบบนี้เป็นการตัดสินใจที่ไม่รอบคอบ”
หลินต้าเหว่ยกล่าวว่า “การที่ลูกตั้งโรงงานโต๊ะหลุมไฟไว้ไกลแบบนี้ พ่อเองก็ไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ ไม่ต้องพูดถึงนายกเทศมนตรีจางที่เป็นห่วงลูกเลย แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ที่ดีเช่นนี้ เขาก็ต้องอยากสร้างไว้ในอาณาเขตของเขาเองถึงจะดีที่สุด”
จากนั้น น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป “แต่ถ้าลูกตั้งใจที่จะทำในถู่เฉิงจริง ๆ พ่อก็พูดอะไรไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วถู่เฉิงก็ไม่มีสินค้าอะไรที่น่าดึงดูด เพราะที่นั่นห่างไกลและไม่เจริญ”
ทว่าเจียงเสี่ยวไป๋กลับไม่คิดอย่างนั้น เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อครับ ปล่อยให้นายอำเภอหลัวติดหนี้บุญคุณเราไปเถอะ ไม่แน่อาจเป็นประโยชน์ต่อเราในอนาคตก็ได้”
หลินต้าเหว่ยรู้สึกขบขัน “มีเหตุผลอะไรที่ต้องให้เขาติดหนี้บุญคุณเรา”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “ไม่แน่ บางทีถู่เฉิงอาจมีสิ่งที่เจี้ยนหยางต้องการในอนาคตก็ได้นะครับ”
แน่นอนว่าเขากำลังพูดถึงก๊าซธรรมชาติ หลังจากที่ค้นพบก๊าซธรรมชาติในถู่เฉิง และได้มีการพัฒนาในรุ่นต่อไป พื้นที่ต่าง ๆ ในมณฑลภาคกลางของจีนก็จะต่อสู้กันอย่างดุเดือดเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการใช้ก๊าซธรรมชาตินี้
หากหลัวฉางเซิงติดหนี้บุญคุณหลินต้าเหว่ยในตอนนี้ หลินต้าเหว่ยจะมีข้อได้เปรียบเมื่อพูดถึงสิทธิในการใช้ก๊าซธรรมชาติในอนาคต และได้รับสิทธิ์เป็นอำเภอแรกที่ได้วางท่อส่งก๊าซธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขายังไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ออกมาได้
เขาทำได้แค่บอกเป็นนัยเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าพ่อตาของเขาไม่ใส่ใจ เขาจึงไม่สามารถเตือนอะไรได้อีก
เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่สามารถอธิบายออกมาให้ชัดเจนได้
เมื่อหลินต้าเหว่ยได้ยินสิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูด เขาก็มองเรื่องนี้เข้าไปลึก ๆ และรู้ว่าลูกเขยคนนี้ไม่มีวันคาดการณ์อะไรผิดพลาด จึงถามออกไปว่า “ลูกเจอของดีอะไรในถู่เฉิงมาใช่ไหม ? ”
แน่นอนว่าเจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีทางบอกไปตามตรง เขาพูดเพียงว่า “ผมได้รับสิทธิ์การขุดเหมืองถ่านหินในถู่เฉิงก็จริง แต่ผมยังไม่ได้เจออะไรนอกเหนือจากนี้หรอกครับ”
เหมืองถ่านหิน ?
หลินต้าเหว่ยสับสนอยู่ครู่หนึ่ง และถามว่า “การทำเหมืองถ่านหินไม่ได้ดีไปกว่าการทำโรงงานเลย สิ่งสำคัญคือลูกต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยและต้องแน่ใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “พ่อครับ ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ผมจะสั่งให้คนงานในเหมืองทำงานอย่างเคร่งครัด”
หลินต้าเหว่ยกล่าวว่า “อืม” และหยุดพูดต่อในหัวข้อนี้ จากนั้นทั้งสองคนก็หันมาพูดคุยเกี่ยวกับสวนอุตสาหกรรมเจี้ยนหยางกันต่อ
ปัจจุบันโรงงานอาหารกระป๋อง โรงงานเยลลี่ และโรงงานเค้กที่รักในนิคมอุตสาหกรรมใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว มีการติดตั้งและแก้ไขอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเรียบร้อย เพียงแต่ยังไม่มีการรับสมัครพนักงาน
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวว่า “โรงงานเยลลี่จะพร้อมผลิตในปีหน้า ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว เกษตรกรกำลังเริ่มปลูกต้นบุกกัน”
หลินต้าเหว่ยถามด้วยความสงสัย “ลูกจะเอาบุกมาทำเป็นเยลลี่ใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “การทำเยลลี่โดยไม่มีผงบุกอาจทำให้เยลลี่เซตตัวได้ไม่ดี เพราะผงบุกจะช่วยให้การหดตัวของคาราจีแนนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เยลลี่มีความแข็งตัว เหนียวหนึบ และยืดหยุ่นปานกลาง ช่วยให้อร่อยยิ่งขึ้นไปอีก”
หลินต้าเหว่ยยิ้มและพูดว่า “พ่อไม่เคยกินเยลลี่มาก่อน จึงไม่รู้ว่ามันคืออะไร ในเมื่อลูกบอกว่าต้องปลูกบุก พ่อก็ไปบอกให้ชาวนาหันมาปลูก”