ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 75 :ข่าวดีสองเรื่อง
ตอนที่ 75 :ข่าวดีสองเรื่อง
ตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงบ่าย เจียงเสี่ยวไป๋และหลี่กวงหรงกำลังยุ่งอยู่ที่ลานเล็กในบ้านตระกูลหลี่ หลี่กวงหรงรู้สึกทึ่งกับความคิดสร้างสรรค์และวิธีการปรับแต่งรถของเจียงเสี่ยวไป๋ ซึ่งทำให้เขาประทับใจมาก
“น้องชาย ความคิดของคุณน่าทึ่งมากจริง ๆ ” หลี่กวงหรงกล่าวด้วยความชื่นชมอย่างแท้จริง
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มบาง เพราะสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากโลกอนาคต เขาแค่หยิบเอาความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากผู้อื่นมารวมกันก็เท่านั้น
เมื่อเห็นว่าหลี่กวงหรงมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รีรอและอธิบายหลักการทำงานและประสิทธิภาพของส่วนต่าง ๆ อย่างละเอียด นอกจากนี้เขายังรวมสิ่งนี้เข้ากับแนวคิดและเทคนิคการแต่งรถบางอย่างจากอนาคต ทำให้หลี่กวงหรงได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากเขา
เมื่อท้องฟ้ามืดลง เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่ถอดประกอบ โดยตระหนักว่าวันนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะขี่มันกลับ เขาจึงพูดว่า “พี่หลี่ ผมต้องกลับบ้านแล้ว ขอยืมจักรยานของพี่หน่อยได้ไหม พรุ่งนี้ผมจะเอามาคืน”
เมื่อคุ้นเคยกันมากขึ้น พวกเขาก็เลิกเรียกกันและกันว่า “สหาย” และเริ่มใช้คำเรียก “พี่” และ “น้อง” แทนแล้ว
หลี่กวงหรงกล่าวว่า “ยืมจักรยานอะไรกัน น้องเจียงขี่มอเตอร์ไซค์กลับได้เลย”
ขณะที่เขาพูด หลี่กวงหรงก็เดินไปเข็นมอเตอร์ไซค์ที่เขาประกอบขึ้นเอง และมอบกุญแจให้เจียงเสี่ยวไป๋
“ขอบคุณ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่เกรงใจเช่นกัน เขาขอบคุณและรับกุญแจมา จากนั้นก็ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป
ฉากนี้ทำให้หลี่กวงเหลียนตกตะลึงตาค้าง
“พี่ห้า พี่ดูแลมอเตอร์ไซค์ของพี่ดีกว่าภรรยาของพี่เสียอีก ไม่ยอมให้ใครแตะต้องมัน ทำไมพี่ถึงให้พี่เจียงยืมไปอย่างง่ายดายล่ะ ? ”
หลี่กวงหรงกลอกตามองเธอ “เธอช่างรู้ดีจริง ๆ เลยนะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่สนใจเธอและเข้าไปในบ้านเพื่อประกอบชิ้นส่วนต่าง ๆ ต่อ
เขาได้เรียนรู้ทักษะมาใหม่ และจำเป็นต้องนำไปใช้จริง
เจียงเสี่ยวไป๋ขี่มอเตอร์ไซค์เร่งความเร็วไปตลอดทาง
โดยปกติการปั่นจักรยานจะใช้ชั่วโมงกว่า แต่การขี่มอเตอร์ไซค์ใช้เวลาเพียง 20 นาทีก็มาถึงเจียงวานแล้ว
อย่างไรก็ตาม ความยากได้เกิดขึ้นแล้ว
ถนนลูกรังที่ปูใหม่นี้ขยายไปถึงพื้นที่ราบตรงทางเข้าหมู่บ้านเจียงวานเท่านั้น ในขณะที่ครัวเรือนส่วนใหญ่ในเจียงวานอาศัยอยู่ตามเนินเขาหลายลูก เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินหินขึ้นเนินหรือทางเดินผ่านทุ่งนา
ทางหินขึ้นเขาไม่ใช่ทางลาดชันทั้งหมด หลายแห่งยังมีขั้นบันไดด้วย
จากสภาพถนนแบบนี้ คนส่วนใหญ่คงได้แต่จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ที่ถนนใหญ่
เจียงเสี่ยวไป๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามเส้นทาง เมื่อพบกับขั้นบันได เขายกแฮนด์บาร์ขึ้นและเร่งเครื่อง บังคับมอเตอร์ไซค์ขึ้นทางลาดชันและเข้าโค้ง จนในที่สุดเขาก็ขี่มันเข้าไปในลานบ้านของเขาเอง
“โอ้ สวรรค์ เจียงเสี่ยวไป๋ขี่มอเตอร์ไซค์กลับจริง ๆ ”
“เขาเอามอเตอร์ไซค์มาจากไหน ? ”
“เขาต้องใช้เงินจากการขายผัดมันฝรั่งซื้อมาอย่างแน่นอน”
“อย่าพูดเลย เขากล้าหาญมาก เขาไม่กลัวรถจะพลิกคว่ำหรือไง”
“ก็จริง ฉันไม่กล้าขี่เจ้ามอเตอร์ไซค์แบบนี้บนถนนด้วยซ้ำ แต่เขาขี่ขึ้นมาบนทางหิน”
“ฉันรู้ เด็กคนนั้นเก่งมากจริง ๆ ”
“แต่ดูเหมือนไม่ใช่มอเตอร์ไซค์คันใหม่นะ”
“จะเก่าหรือใหม่ การมีมอเตอร์ไซค์สักคันก็น่าภูมิใจแล้ว”
“อืม… ฉันอยากได้มอเตอร์ไซค์เหมือนกัน”
“ลืมไปได้เลย นายยังปั่นจักรยานไม่เป็นด้วยซ้ำ”
“ใครบ้างที่ไม่รู้จักวิธีปั่นจักรยาน ฉันแค่ไม่มีเงินมากพอต่างหาก”
“……”
การกระทำของเจียงเสี่ยวไป๋สร้างความประหลาดใจและความกังวลแก่ชาวบ้านที่พบเห็น ทำให้เกิดการพูดคุยอย่างครึกครื้น
“คุณขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาหรือ ? ”
เมื่อได้ยินเสียงดัง หลินเจียอินก็ออกมาและเห็นเจียงเสี่ยวไป๋กำลังจอดรถมอเตอร์ไซค์จึงถามด้วยความประหลาดใจ
“หลี่กวงหรงให้ผมยืมมา”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“หลี่กวงหรง ? ”
หลินเจียอินหยุดชะงักไปชั่วครู่ แล้วถามว่า “ใช่คนที่ปะยางรถจักยานให้เราครั้งก่อนโดยไม่คิดเงินหรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้า “ใช่ แต่ผมจ่ายเงินส่วนนี้ให้เขาแล้ว และซื้ออะไหล่มอเตอร์ไซค์จากเขา เราคุยถูกคอกัน เขาเลยให้ผมยืมมอเตอร์ไซค์”
หลินเจียอินรู้สึกงงเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าหลี่กวงหรงที่เป็นช่างซ่อมจักรยานมาขายอะไหล่มอเตอร์ไซค์ได้อย่างไร และยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจียงเสี่ยวไป๋ถึงขนาดให้เขายืมรถมอเตอร์ไซค์ด้วย
แม้ว่าจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์รุ่นเก่าก็ตาม
แต่มันก็ค่อนข้างมีค่า
หลินเจียอินได้ถามด้วยความสงสัยว่า “แล้วทำไมคุณถึงซื้ออะไหล่มอเตอร์ไซค์ ? ”
ก่อนที่เธอจะได้คำตอบ ดูเหมือนเธอจะนึกอะไรบางอย่างออกและถามโพล่งทันที “คุณคง……ไม่ได้ซื้อมอเตอร์ไซค์มาใช่ไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ตอบโดยตรง เขาเพียงยิ้มและพูดว่า “ผมมีข่าวดีสองเรื่อง คุณอยากฟังเรื่องไหนก่อน ? ”
จู่ ๆ หลินเจียอินก็รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย เป็นไปได้มากว่าเจียงเสี่ยวไป๋ได้ซื้อมอเตอร์ไซค์ไปแล้ว
มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งราคาตั้งกี่พันหยวน เธอไม่ได้เข้าไปในเมืองสามวัน เขาใช้เงินมากมายขนาดนี้ได้ยังไง
แบบนี้เรียกว่าข่าวดีงั้นหรือ ?
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นข่าวร้าย
พวกผู้ชายต้องจัดการให้รัดกุมจริง ๆ
ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะใช้เงินทั้งหมดที่มี
เธอมองเจียงเสี่ยวไป่เขม็ง เมื่อเห็นเขายังคงยิ้มอยู่ หลินเจียอินก็รู้สึกหงุดหงิด “มีข่าวดีจริง ๆ หรือ งั้นพูดมาสิว่าใช้เงินซื้อมอเตอร์ไซค์ไปเท่าไหร่ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ ดูเหมือนว่าตอนนี้ภรรยาของเขาจะกังวลเรื่องเงินมากไปนะ
“เมียจ๋า ผมซื้อมอเตอร์ไซค์มือสองคันหนึ่งในราคา 100 หยวนเท่านั้นเอง”
หลินเจียอินตกตะลึงและอุทานว่า “คุณซื้อมาในราคา 100 หยวนจริง ๆ หรือ ! ”
การมีมอเตอร์ไซค์ทำให้การเดินทางเข้าเมืองเพื่อทำธุรกิจในแต่ละวันสะดวกขึ้นมาก
และแม้ว่าจะเป็นของเก่า มันก็คุ้มค่ากับเงิน 100 หยวนอย่างแน่นอน
ในพริบตา ความไม่พอใจของเธอได้ละลายหายไปเหมือนเกล็ดหิมะภายใต้ดวงอาทิตย์ ใบหน้าสวยของเธอมีรอยยิ้มสวยประดับไว้แทน
อืม ดูเหมือนก่อนหน้านี้เธอจะเข้าใจเขาผิดไปเอง
ตอนนี้เขาต้องดูแลครอบครัว จึงไม่ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายอีกต่อไป
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายว่า “เพราะผมซื้อมอเตอร์ไซค์มือสอง ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนอะไหล่บางชิ้นเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่พังระหว่างทางที่ขี่ไป นั่นคือเหตุผลที่ผมไปหาหลี่กวงหรง”
หลินเจียอินพยักหน้าเห็นด้วย นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม การซ่อมมอเตอร์ไซค์เก่าก็คงไม่ใช้เงินมากนัก
“แล้วราคาประมาณเท่าไร ? ” หลินเจียอินถาม
“น่าจะประมาณ……สองสามพันหยวน”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดเสียงแผ่ว
“อะไรนะ ? ”
“สองสามพันหยวน ! ”
“เจียงเสี่ยวไป๋ คุณซื้อมอเตอร์ไซค์ในราคาเพียง 100 หยวน แต่ตอนนี้คุณกำลังบอกฉันว่าค่าซ่อมราคาหลายพันหยวนอย่างนั้นหรือ ! ? ”
หลินเจียอินแทบจะทรุดตัวลงไปกับพื้น
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกประหม่า สำหรับเขาแล้ว การทำให้ภรรยาโกรธเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลก
“เมียจ๋า อย่าโกรธเลย ผมยังมีข่าวดีอีกเรื่องหนึ่งจะบอกคุณ”
“ข่าวดี ? ลืมข่าวดีของคุณเสียเถอะ ฉันไม่อยากได้ยินข่าวดีของคุณแล้ว” หลินเจียอินพูดเสียงดัง
“เมียจ๋า นักเลงเฉินถูกจับแล้ว ! ”
เงียบ !
ลานหน้าบ้านเงียบลงทันที
นับตั้งแต่ที่นักเลงเฉินมาครั้งล่าสุด หลินเจียอินมีอาการวิตกกังวลทุกครั้งที่เจียงเสี่ยวไป๋ไปในเมือง เธอกลัวว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา
ตอนนี้เมื่อได้ยินว่านักเลงเฉินถูกจับเข้าคุกแล้ว ในที่สุด หัวใจที่กลัดกลุ้มของเธอก็คลายความกังวลลงได้เสียที
“จริงหรือ ? ”
หลินเจียอินถามด้วยความประหลาดใจ
“มันคือเรื่องจริง”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าอย่างจริงจังและพูดว่า “พรุ่งนี้คุณน่าจะเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์”
“อืม อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ถือเป็นข่าวดี”
หลินเจียอินพูดด้วยรอยยิ้ม “หมายความว่าพรุ่งนี้ฉันสามารถเข้าเมืองกับคุณได้แล้วใช่ไหม ? ”