ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 76 :สิทธิพิเศษ
ตอนที่ 76 :สิทธิพิเศษ
เมื่อคืนคงจะมีฝนตกปรอย ๆ
เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นในตอนเช้า พื้นดินชื้นเล็กน้อย มีหยาดน้ำค้างเกาะตามใบไม้และกิ่งก้านของต้นไม้ สายลมยามเช้าพัดโชยมา ทำให้อากาศสดชื่นมาก
หลินเจียอินอารมณ์ดี เธอสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เจียงเสี่ยวไป๋ซื้อให้เธอครั้งล่าสุด
เจียงชานก็เช่นกัน หนูน้อยแต่งตัวด้วยเสื้อผ้า กางเกง และรองเท้าใหม่ทั้งหมด
“ป่าป๊า หม่าม๊า เข้าเมืองกันเถอะ ! ”
“นั่งมอเตอร์ไซค์ของป่าป๊าเข้าเมืองกัน ! ”
หนูน้อยตื่นเต้นมาก ตั้งแต่เมื่อวานที่เธอตะโกนว่าอยากนั่งมอเตอร์ไซค์ของป่าป๊าเข้าเมือง เช้านี้ไม่ต้องให้หม่าม๊าปลุก เธอก็ตั้งใจตื่นแต่เช้าด้วยตัวเองแล้ว
“ไปกันเถอะ เราจะเดินไปที่ถนนลูกรังแล้วค่อยขึ้นมอเตอร์ไซค์”
เจียงชานกระตือรือร้นที่จะกระโดดขึ้นรถ แต่หลินเจียงอินคว้ามือเล็ก ๆ ของเธอแล้วเอ่ยขัดขึ้นมาก่อน
“ทำไมเราต้องเดินไปที่ถนนก่อนจึงจะขึ้นนั่งได้ล่ะคะ ? ”
หนูน้อยเอียงคอมองอย่างไม่เข้าใจ หนูน้อยจึงมุ่ยปากถาม
“เพราะมอเตอร์ไซค์มีไว้วิ่งบนถนน ส่วนทางเดินในหมู่บ้านของเรามีทั้งขั้นบันไดและทางลาดชัน ทำให้มอเตอร์ไซค์พลิกคว่ำได้ง่าย” เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายอย่างใจเย็น
“อ้อ ! ”
หนูน้อยตกลงอย่างไม่เต็มใจ พร้อมถอนหายใจและกระพริบถามตาโต “ทำไมเราไม่สร้างถนนจากลานบ้านของเราจนไปถึงถนนลูกรังล่ะคะ ? ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เจียงเสี่ยวไป๋พลันนึกถึงความเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพราะในอนาคต ทุกหมู่บ้านแม้แต่ในพื้นที่ชนบทจะมีถนนคอนกรีตทอดยาวไปถึงหน้าประตูบ้านของทุกครัวเรือน
ต่างจากตอนนี้ที่หมู่บ้านส่วนใหญ่ไม่มีแม้แต่ถนนลูกรังเชื่อมถึงกัน
“ชานชาน อีกไม่นานเมื่อเราสร้างบ้านใหม่ พ่อจะสร้างถนนไปยังลานบ้านของเรา”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดขึ้นพร้อมลูบผมของเธอ
“ว้าว เยี่ยมไปเลยค่ะ ! ”
“เมื่อถนนเชื่อมมาถึงลานบ้านของเรา หนูจะสามารถนั่งบนรถได้ทันทีที่ก้าวออกจากบ้าน”
จากนั้น หนูน้อยก็เดินตามหม่าม๊าของเธออย่างมีความสุข และออกจากลานบ้านตรงไปยังถนนลูกรัง
เจียงเสี่ยวไป๋เข็นมอเตอร์ไซค์เดินตามหลังพวกเธอไป
ครอบครัวสามคนของพวกเขาดูมีความสุขมาก
เมื่อผ่านบริเวณบ้านของหลิวซือกั๋วนั้น จูเยี่ยนผิงกำลังต้อนควายออกจากคอกไปเล็มหญ้า
“จะเชิดหน้าชูตาได้นานเท่าไรกันเชียว ! ”
“รอลูกพี่เฉินจัดการกับแกก่อนเถอะ ! ”
จูเยี่ยนผิงอิจฉาหลินเจียอินมาก โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นหญิงสาวสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ช่างบาดตาบาดใจเธอเสียจริง
“เอวคอด สะโพกผาย แต่กลับไม่มีลูกชาย คลอดลูกสาวออกมาผลาญเงินชัด ๆ ”
“ยังกล้าทำหน้าเชิดได้อีกนะ ไม่อายบ้างหรือไง ! ”
จูเยี่ยนผิงสบถและบ่นพึมพำ จากนั้นเหวี่ยงปลายเชือกในมือของเธอตบหลังควายอย่างแรงสองครั้ง
“มอว ! มอว ! ”
ควายตัวใหญ่สะบัดคอส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บ แล้ววิ่งเหยาะ ๆ ออกไป
เมื่อพวกเขามาถึงถนนลูกรัง เช่นเดียวกับตอนขี่จักรยาน เจียงเสี่ยวไป๋วางเจียงชานไว้ข้างหน้าเขา ขณะที่หลินเจียอินนั่งที่เบาะหลัง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะนั่งข้างหน้าหรือข้างหลังล้วนสบายกว่านั่งจักรยานมาก
ด้านหน้าของจักรยานมีคานที่แคบและแข็ง แต่ด้านหน้าของมอเตอร์ไซค์นั้นกว้างกว่าเก้าอี้ตัวเล็ก หนูน้อยนั่งอยู่บนนั้นรู้สึกสบายอย่างเหลือเชื่อ
ก่อนหน้านี้ หลินเจียอินต้องนั่งคร่อมอานจักรยาน ตอนนี้พอนั่งบนมอเตอร์ไซค์ทำให้เธอรู้สึกสบายขึ้นมาก เธอมีที่พักเท้า สองมือของเธอยังได้จับเอวของเจียงเสี่ยวไป๋
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกมีความสุขเกินบรรยาย
ใครจะคิดว่าการขี่มอเตอร์ไซค์กับภรรยาจะได้รับสิทธิพิเศษเหล่านี้
ช่างยอดเยี่ยมมาก
“บื้น…บื้น บื้น…”
มอเตอร์ไซค์ส่งเสียงคำราม ปล่อยควันสีดำเป็นทาง ขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วออกไปราวกับลมกระโชก
“ดีจังเลย นั่งมอเตอร์ไซค์สบายจังเลย”
หนูน้อยตบมืออยู่ข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น
ใช่ เจียงเสี่ยวไป๋เองก็รู้สึกว่ามันยอดเยี่ยมจริง ๆ
ภรรยาของเขานั่งข้างหลังและเอามือโอบเอวของเขา หน้าอกนุ่มนิ่มของเธอพิงหลังของเขาเช่นกัน
ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าใจว่าทำไมคนหนุ่มสาวรุ่นหลังถึงชอบพาแฟนขี่มอเตอร์ไซค์
ความเยาว์วัยเป็นสิ่งที่วิเศษจริง ๆ
ดี !
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเสียดายที่ซื้อมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันเก่าจากสำนักความมั่นคงสาธารณะ
เพราะมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างมีพ่วงข้างให้ภรรยาและลูกสาวของเขาได้นั่ง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถสัมผัสพวกเธอแบบนี้ได้
เขาจะกลายเป็นเพียงคนขับรถ
ตอนนี้เขาอยากจะตบหน้าตัวเองเสียเหลือเกิน
ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกเสียใจที่ซื้อมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันนี้ และไม่ใช่เพราะความคิดที่ไม่เหมาะสมของเขา
แต่เป็นเพราะในฐานะผู้ชายและสามี เขาไม่ควรถูกครอบงำโดยผลประโยชน์เล็กน้อยได้ เขาควรมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ เพื่ออนาคตที่ดีกว่า… นั่นคือสิ่งที่ลูกผู้ชายตัวจริงควรทำ
แม้ว่าเจียวเสี่ยวไป๋จะควบคุมความเร็วของมอเตอร์ไซค์ให้ไม่เร็วมาก แต่การเดินทางที่ยอดเยี่ยมนี้ก็สิ้นสุดลงภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
“พี่สะใภ้ ในที่สุดพี่ก็มา”
“เวลาที่พี่ไม่อยู่ ฉันรู้สึกเหมือนสูญเสียแกนหลักไปเลย”
เฝิงเยี่ยนหงทักทายหลินเจียอินด้วยรอยยิ้ม
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็หันไปหยอกล้อเจียงชาน “ชานชาน ไม่ได้เจอกันมาสองสามวันแล้ว หนูคิดถึงน้องชายของหนูหรือเปล่า ? ”
“สวัสดีค่ะ แล้วน้องเสี่ยวกังอยู่ที่ไหนคะ ? ”
หนูน้อยทักทายอย่างสุภาพ จากนั้นเปลี่ยนมาถามถึงหวังกังอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจอะไรมาก
เฝิงเยี่ยนหงรู้สึกเศร้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้มีความสำคัญในหัวใจของเด็กหญิงตัวน้อยเลย
อย่างน้อยก็ไม่สำคัญเท่ากับลูกชายของเธอเอง
ใช่ ฉันต้องปฏิบัติต่อเธอให้ดีกว่านี้เสียแล้ว บางทีอาจจะมีพื้นที่ในใจของเธอบ้าง
“ผู้จัดการหลิน อรุณสวัสดิ์”
ถานเสี่ยวฟางยิ้มและทักทายหลินเจียอิน
“ผู้… จัดการหลิน อรุณสวัสดิ์”
เจี่ยงชุ่ยหยูเป็นอาสะใภ้สามของหลินเจียอิน ดังนั้นตามลำดับญาติ ผู้น้อยควรทักทายผู้อาวุโสก่อน นั่นเป็นสาเหตุที่คำพูดของเธอค่อนข้างติดขัด เพราะเธอยังไม่ชิน
“อรุณสวัสดิ์”
หลินเจียอินตอบด้วยใบหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย
เธอไม่คุ้นเคยเช่นกัน
เธอไม่สามารถอดกลั้นได้ เธอมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋และคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะเขา เขาบอกว่าพนักงานควรทักทายผู้จัดการเมื่อเห็นเธอ
เจียงเสี่ยวไป๋เกาจมูกอย่างงุ่มง่าม พยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม หวังผิงไม่ปล่อยให้เขาหลุดจากเบ็ด “มากับฉันเลย ฉันจะมอบบัญชีของเมื่อวานให้นาย”
เจียงเสี่ยวไป่ถลึงตามองเขา ทำไมไม่ดูตาม้าตาเรือเลย เขาจึงพูดว่า “ผู้จัดการหลินอยู่ตรงนี้แล้ว นายควรจะมอบบัญชีให้กับเธอ”
หวังผิงเกาหัว “พวกนายเป็นผัวเมียกันไม่ใช่หรือ การให้เงินกับใครมันต่างกันตรงไหน ? ”
แต่เดี๋ยวก่อน ดูเหมือนว่าในการประชุมครั้งล่าสุด เจียงเสี่ยวไป๋เคยพูดว่าร้านเป็นความรับผิดชอบของหลินเจียอิน ซึ่งเธอเป็นผู้จัดการ
”ผู้จัดการหลิน เมื่อวานยอดขายรวม 1,727.7 หยวน”
หวังผิงพูดขึ้นพร้อมกับยื่นถุงเงินให้หลินเจียอิน
เธอไม่ได้มาที่ร้านสองสามวัน ยอดขายพุ่งอีกแล้ว
หลินเจียอินมีความสุขมาก และนับเงินอีกครั้งเพื่อความถูกต้อง จากนั้นเธอก็พูดว่า “นายต้องเหนื่อยเลย”
หวังผิงโบกมือปัดและกลับไปทำงาน
“เมียจ๋า ผมจะพาคุณไปธนาคาร”
เจียงเสี่ยวไป๋สตาร์ทมอเตอร์ไซค์แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
หลินเจียหยินมองเขาอย่างตำหนิ “คุณบอกเองไม่ใช่หรือว่าทุกคนในร้านต้องเรียกฉันว่าผู้จัดการ ทำไมคุณไม่ปฏิบัติตามกฎ ? ”
เธอส่งเสียงไม่พอใจและพูดว่า “เฮอะ งั้นหักเงินเดือนคุณ 5 หยวน”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบอย่างเมินเฉยว่า “คุณเป็นผู้จัดการของคนอื่น แต่เป็นเมียรักของผม หากคุณต้องการหักเงินเดือนผมก็เอาเลย เพราะเงินเดือนของผมต้องมอบให้คุณอยู่แล้ว แบบนี้ไม่ถือว่าคุณหักเงินเดือนของตัวเองหรือไง ? ”
หลินเจียอินตกตะลึงไปชั่วขณะ
ใช่ เงินเดือนของเจียงเสี่ยวไป๋ก็เหมือนเป็นเงินของเธอไม่ใช่หรือ ?
ดังนั้นเธอจะหักเงินเดือนของเขาได้อย่างไร !
“เจ้าเล่ห์ ไร้ยางอาย น่าโมโห… คุณนี่มันร้ายนักนะ ! ”
หลินเจียอินพูดอย่างโมโห ในขณะที่หยิกเอวของเจียงเสี่ยวไป๋อย่างแรง
หากไม่หยิกเขา เธอคงไม่อาจคลายความหงุดหงิดลงได้