ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 78 :ความสงสัยของหนูน้อย
ตอนที่ 78 :ความสงสัยของหนูน้อย
หลังจากไปส่งหลี่กวงหรงกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงห้าโมงเย็น
ได้เวลากลับบ้านแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋มักจะเป็นแบบนี้ ไม่ว่าธุรกิจจะดีแค่ไหน แต่มันก็ไม่ดีไปกว่าการได้กลับบ้านพร้อมภรรยาและลูกสาว
หลังออกจากร้าน เจียงเสี่ยวไป๋พาหลินเจียอินและเจียงชานไปที่ห้างสรรพสินค้าก่อน
หลังจากไม่ได้ซื้อของมาสองสามวัน ตอนนี้พวกเขามีรถแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ตั้งใจจะซื้อของกลับบ้าน
เขาไม่ได้ซื้ออะไรมากมาย แค่เหล้าเหมาไถ 5 ขวด บุหรี่จงฮั๋ว 2 ซอง และแอปเปิ้ลไม่กี่ชั่ง
ตอนนี้เนื้อที่บ้านใกล้หมดแล้วเช่นกัน เจียงเสี่ยวไป๋จึงไปที่ร้านขายเนื้อเพื่อซื้อเนื้อกลับไป 2-3 ชั่ง
หลินเจียอินอารมณ์ดี จึงปล่อยให้เจียงเสี่ยวไป๋ใช้จ่ายเงินอย่างอิสระโดยไม่บ่นอะไร
เธอนั่งอยู่บนพ่วงข้างโดยอุ้มเจียงชานอยู่ในอ้อมแขน เท้าของเธอวางอย่างสบาย ๆ หลังพิงพนักพิง เธอรู้สึกสบายกว่าการนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์สองล้อในตอนเช้ามาก
“คุณซื้อรถจากสำนักความมั่นคงสาธารณะได้อย่างไร ? ”
เมื่อออกจากเมือง หลินเจียอินมองทิวทัศน์เบื้องหน้าและถามเขาด้วยรอยยิ้ม
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่มีอะไรต้องปิดบังภรรยาของเขา ดังนั้นเขาจึงเล่าสถานการณ์สั้น ๆ ให้เธอฟัง
หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ดวงตาของหลินเจียอินก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพูดว่า “วันนี้ฉันได้ยินจากลูกค้าหลายคนคุยกันว่าหนังสือพิมพ์รายงานคดีที่ใหญ่ที่สุดของเมืองชิงโจวในรอบหลายทศวรรษ ที่แท้คุณก็เป็นคนเปิดโปงเรื่องนี้นี่เอง”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบอย่างสบาย ๆ ว่า “พวกเขาทำความชั่วมากมายและนำความพินาศมาสู่ตัวเอง ผมแค่ผลักดันพวกเขาไปในทิศทางที่ถูกต้องเท่านั้น”
บางที ถ้าไม่ใช่เพราะนักเลงเฉินสร้างปัญหาให้เขา และยังนำหม่าตงหลายมาข่มขู่เขา เขาคงไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เรื่องราวเปลี่ยนไปจากเดิม
เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ได้กลับมาเกิดใหม่
การมีชีวิตที่ดีในชีวิตนี้และได้อยู่กับครอบครัวถือเป็นของขวัญจากเบื้องบนแล้ว
หากเขาเปลี่ยนแปลงเรื่องราวต่าง ๆ มากเกินไป เขาไม่รู้ว่ามันจะมีผลกระทบต่อตัวเขาเองในอนาคตหรือไม่ ?
ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ คลี่คลายไปตามธรรมชาติ สำหรับคนที่ไม่มาสร้างความเดือดร้อนให้เขา
“ป่าป๊าคะ รถคันนี้เป็นของป่าป๊าหรือเปล่าคะ ? ”
เจียงชานรู้สึกตื่นเต้นอยู่พักหนึ่ง เมื่อป่าป๊าหม่าม๊าของเธอพูดจบ เธอจึงเอ่ยถามเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความคาดหวัง
“ชานชาน ทำไมลูกถึงถามแบบนี้ล่ะ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ให้คำตอบโดยตรง เขากลับถามเธอด้วยรอยยิ้มแทน
“เพราะรถคันนี้นั่งสบายมาก หนูอยากนั่งทุกวันเลย” เด็กน้อยพูดพร้อมกับเอียงคอ ดูเหมือนว่าเธอยังแสดงออกไม่เสร็จ เธอเลยเสริมว่า “เพราะนั่งจักรยานมันทำให้หนูปวดก้น”
ทั้งหลินเจียอินและเจียงเสี่ยวไป๋ต่างหัวเราะ
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบว่า “ต่อจากนี้ไป ชานชานจะได้นั่งรถคันนี้ทุกวัน เพราะรถคันนี้เป็นของหม่าม๊า”
“จริงหรือคะ ? ดีจังเลย ! ”
หนูน้อยปรบมือ และพูดอย่างตื่นเต้น
แต่หลินเจียอินกลับพูดด้วยความไม่เข้าใจว่า “คุณเป็นคนซื้อรถ แล้วคุณจะบอกว่าเป็นของฉันได้อย่างไร ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋อธิบายว่า “ตอนที่ผมซื้อรถจากสถานีตำรวจเมื่อวานนี้ ผมได้จัดการเอกสารต่าง ๆ อย่างถูกต้อง และให้พวกเขาใส่ชื่อของคุณเป็นเจ้าของรถ”
“ทำไมคุณให้เป็นชื่อฉันล่ะ ? ”
หลินเจียอินพูดเสริมว่า “ฉันขี่รถไม่เป็นด้วยซ้ำ”
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่หลินเจียอิน เขามองออกว่าภรรยาของเขามีความสุขมาก “อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ คุณมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องเงินที่บ้าน รถคันนี้เป็นทรัพย์สินของครอบครัว ดังนั้นควรจดทะเบียนในชื่อของคุณ”
ฟังดูดีใช่ไหม !
หลินเจียอินเม้มปากยิ้ม เธอรู้สึกอบอุ่นใจมาก
ในไม่ช้า พวกเขาก็มาถึงจุดสิ้นสุดของถนนลูกรังที่หน้าหมู่บ้านเจียงวาน
หลังจากหลินเจียอินลงจากรถ เธอก็เริ่มเป็นกังวล “มอเตอร์ไซค์ปกติ คุณสามารถขับมันขึ้นไปถึงลานบ้านของเราได้ แต่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคงต้องจอดมันไว้ที่ถนนแล้ว”
เส้นทางจากตรงนี้ไปยังบ้านของพวกเขาไม่เพียงแต่ต้องเดินขึ้นเขาเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยทางคดเคี้ยว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้นบันไดดินและความจริงที่ว่าถนนค่อนข้างแคบ ส่วนที่แคบที่สุดกว้างประมาณหนึ่งฟุต และส่วนที่กว้างที่สุดกว้างประมาณสองฟุตเท่านั้น
พื้นถนนแคบกว่ามอเตอร์ไซค์พ่วงข้างด้วยซ้ำ
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มอย่างมั่นใจ ได้เวลาแสดงทักษะที่แท้จริงของเขาแล้ว
“ไม่เป็นไร ผมขับขึ้นไปได้”
ขณะที่พวกเขาพูด มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างก็ถูกสตาร์ทอีกครั้ง บิดคันเร่งและขับไต่ขึ้นเขาไป
เส้นทางถูกล้อมรอบด้วยไร่นาทั้งสองด้าน โดยปกติแล้วถนนจะยกระดับขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับทุ่งนา หรือบางครั้งด้านหนึ่งของถนนจะต่ำกว่าทุ่งนาเล็กน้อย ในขณะที่อีกด้านหนึ่งจะสูงกว่าเล็กน้อย
ดังนั้น แม้ว่าสามล้อของมอเตอร์ไซต์พ่วงข้างไม่สามารถอยู่บนถนนพร้อมกันได้ทั้งหมด แต่ก็มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการหลบหลีก
เขาเอียงรถไปทางซ้าย ยกล้อด้านขวาที่เป็นที่นั่งพ่วงขึ้นจากพื้น การขับมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างในลักษณะนี้คล้ายกับการขี่มอเตอร์ไซค์ปกติ
หลินเจียอินมองจากด้านหลังอย่างตกตะลึง นี่ไม่ใช่การขับรถ เห็นได้ชัดว่าเป็นการแสดงกายกรรม
“หม่าม๊า ป่าป๊าสุดยอดมาก ! ”
ในทางกลับกัน เจียงชานกลับรู้สึกตื่นเต้น เธอปรบมือและอุทานออกมา
หลินเจียอินอุ้มเธอขึ้นและพูดว่า “ไปกันเถอะ เราตามไปให้ทัน”
คำพูดของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
การขับรถแบบนี้อันตรายเกินไป หากผิดพลาดเล็กน้อย มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างอาจชนขอบถนนและพลิกตกลงไปด้านล่างได้
“บื้น บื้น บื้น…”
เสียงดังกึกก้องของมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างดึงดูดความสนใจของชาวบ้านที่อยู่ใกล้ถนน และพวกเขาดูด้วยความตกตะลึง เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ขับรถแบบนี้
“นี่……”
“เจียงเสี่ยวไป๋กำลังทำอะไรน่ะ ? ฉันคิดว่านั่นดูเหมือนมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของพวกตำรวจเลยนะ”
“ทางแคบ ๆ แบบนี้ เขากล้าขับมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างขึ้นมาได้ยังไง”
“ทักษะแบบนั้น น่าทึ่งมาก ! ”
“เขาบ้าระห่ำเกินไปแล้ว เขาคิดว่าตัวเองอายุยืนยาวหรือยังไง”
“……”
ชาวบ้านมีความคิดที่มีต่อเจียงเสี่ยวไป๋แตกต่างกันออกไป ในขณะเดียวกันพวกเขากลั้นหายใจและรู้สึกกังวล กลัวว่าหากเขาผิดพลาดแม้เพียงครั้งเดียว อาจทำให้รถพลิกคว่ำได้
โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี
ภายในหนึ่งหรือสองนาที เจียงเสี่ยวไป๋ก็สามารถจอดมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างได้อย่างปลอดภัยในบ้านของเขาเอง
หลินเจียอินอุ้มเจียงชานตามมาถึงใน 3-4 นาทีต่อมา
ทันทีที่มาถึงลานบ้าน เธอก็เบิกตากว้างและพูดว่า “การขับรถแบบนั้นมันอันตรายเกินไป ต่อไปคุณไม่ได้รับอนุญาตให้ทำแบบนี้อีก”
น้ำเสียงของเธอไม่เหลือที่ว่างให้เขาปฏิเสธ
ระหว่างที่เธอเดินตามเขามาตลอดทาง เธอรู้สึกหวาดกลัวมากจริง ๆ
“แต่หนูคิดว่าป่าป๊าดูเท่มากเลยค่ะที่ทำแบบนี้”
เด็กน้อยเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าชื่นชม “ป่าป๊า สุดยอดมาก”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะและอุ้มเธอขึ้นมา เขาขยิบตาให้หลินเจียอินอย่างขี้เล่นราวกับว่า ‘ดูสิ แม้แต่ชานชานก็คิดว่าผมเท่’
อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้าพูดแบบนี้ออกไป เขากลับพูดว่า “ถ้าเราไม่ขี่กลับบ้าน แล้วถ้ามีคนขโมยมันไปล่ะ แบบนี้เราจะทำอย่างไร ? ”
หลินเจียอินชะงักไปชั่วครู่
ใช่แล้ว พวกเขาใช้เงินไปกับมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันนี้ไปแล้วกว่าพันหยวน หากถูกขโมยไป มันจะถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับครอบครัวของเธอแน่นอน
“ถึงแม้จะไม่มีใครขโมยมันไป แต่ถ้ามีคนเล่นตลกและแอบมาทำให้รถเสียหาย เช่น ทุบรถหรือทำให้ยางแตก ผมว่านั่นคงลำบากแน่”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวต่อ
หลินเจียอินมองเขาด้วยความหงุดหงิดแล้วพูดว่า “ถ้าคุณอยากขี่รถกลับบ้านก็ขี่กลับมาสิ ทำไมต้องมีข้ออ้างมากมายขนาดนี้ ! ”
พูดจบ เธอก็หันหลังกลับเข้าไปในบ้าน
เจียงเสี่ยวไป๋ลูบจมูกของเขาด้วยความหงุดหงิด
เฮ้อ เถียงภรรยามากไปอาจนำหายนะมาสู่ตนเองได้
“เอาล่ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ”
เจียงเสี่ยวไป๋โยนเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนขึ้นเล่นและพูดหยอกล้อ
จู่ ๆ เจ้าตัวน้อยก็ไม่ยอมทำตามและทำหน้ามุ่ยพูดว่า “พ่อคะ เราไม่เข้าไปในบ้านไม่ได้หรือ หนูยังอยากนั่งรถเล่นอยู่เลย”
ขณะที่เธอพูด เธอก็โน้มตัวเข้าไปหอมแก้มของเจียงเสี่ยวไป๋
ใครจะต้านทานไหว
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ และวางตัวลูกสาวไว้บนพ่วงข้าง จากนั้นขึ้นรถและสตาร์ทเครื่องยนต์
“บื้น บื้น บื้น…”
มอเตอร์ไซค์คำราม แต่ไม่ขยับไปไหน
เพราะลานบ้านของพวกเขาเล็กเกินกว่าที่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างจะเคลื่อนที่ได้ ดังนั้นเจียงเสี่ยวไป๋จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากปล่อยให้เครื่องยนต์เดินไปข้างหน้าและถอยหลังเล็กน้อย เพื่อเล่นกับลูกสาว
“ป่าป๊า ไป ไปเลย…”
หนูน้อยนั่งอยู่ตรงที่นั่งพ่วงข้างเพียงลำพังจึงเป็นอิสระ แต่เธอกลับไม่พอใจที่รถไม่เคลื่อนที่ เธอคว้าที่จับข้างหน้าและยืนขึ้น ทำตัวเหมือนผู้บัญชาการตัวน้อย
เอ่อ…
คราวนี้เจียงเสี่ยวไป๋ลำบากใจแล้ว
“ชานชาน ลงมา”
ในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ หลินเจียอินเดินออกมาจากในบ้านและเรียกเจียงชานอย่างเข้มงวด จากนั้นเธอก็หันไปเอ็ดเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “คุณก็เหมือนกัน เล่นอะไรเป็นเด็ก ๆ เปลืองน้ำมัน”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบดับเครื่องยนต์และบอกลูกสาวด้วยท่าทางไร้เดียงสาว่า “หม่าม๊าไม่อนุญาตให้เราขี่รถแล้ว เราต้องฟังหม่าม๊า”
เจ้าตัวน้อยกำลังสนุกสนาน แต่อยู่ดี ๆ ก็ถูกสั่งให้หยุด เธอจึงมีสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก
เธอเหลือบมองหม่าม๊าและป่าป๊า และถามด้วยน้ำเสียงใสแจ๋วว่า “ทำไมหม่าม๊าไม่ฟังป่าป๊าบ้างล่ะคะ ? ”