ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 79 :ให้ของขวัญอย่าหวังผลประโยชน์
ตอนที่ 79 :ให้ของขวัญอย่าหวังผลประโยชน์
หลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ
“เมียจ๋า ผมจะไปบ้านลุงใหญ่หน่อยนะ”
หลังจากเคลียร์โต๊ะและล้างจานเสร็จแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋ก็พูดขึ้น
หลินเจียอินรู้สึกประหลาดใจ จึงเอ่ยถามเขา “ทำไมจู่ ๆ ถึงอยากไปเยี่ยมลุงใหญ่ มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า ? ”
“ไม่มีอะไรหรอก”
ขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋พูด เขาก็เข้าไปในบ้านและคว้าเนื้อหนัก 2 ชั่ง เหล้าเหมาไถ 2 ขวดและบุหรี่จงฮั๋ว 1 ซอง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลินเจียอินก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณบอกว่าไม่มีอะไร แต่คุณนำของมากมายเหล่านี้ไปด้วย คุณแน่ใจหรือว่าไม่มีอะไรแอบแฝง ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ “ญาติก็คือญาติ เราควรไปเยี่ยมพวกเขาเป็นครั้งคราว แม้ว่าจะไม่มีเรื่องอะไร แต่ก็เป็นการดีที่จะไปเยี่ยมเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น”
หลินเจียอินกลอกตามองเขา เห็นได้ชัดว่าเธอไม่เชื่อคำพูดของเขา
มีญาติมากมายในหมู่บ้านเจียงวาน ทำไมเขาถึงเลือกไปเยี่ยมลุงใหญ่ของเขาซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านแทนที่จะเป็นญาติคนอื่น ?
ทันใดนั้น ดวงตาของหลินเจียอินก็สว่างขึ้น เมื่อเธอนึกถึงเมื่อสองวันก่อนเมื่อฝนตก เจียงเสี่ยวไป๋ได้พูดถึงการสร้างบ้านหลังใหม่ เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะไปพบลุงใหญ่เพื่อพูดคุยเรื่องการสร้างบ้าน ?
การสร้างบ้านใหม่บนพื้นที่เกษตรกรรมจะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่บ้านก่อน
ด้วยความคิดนี้ เธอก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นในการคาดเดาของเธอเอง
แต่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นเธอจึงไม่ถามเซ้าซี้เขา
ไว้ค่อยถามเมื่อเขากลับมา
พวกผู้ชาย เมื่อคุณให้เวลาพวกเขาสักหน่อย พวกเขาจะเริ่มทำตัวมีความลับ และเก็บซ่อนสิ่งต่าง ๆ ไว้จากคุณ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องจับตาดูพวกเขาอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม เธอค่อนข้างตื่นเต้นกับความคิดเรื่องบ้านหลังใหม่
เธอยืนอยู่ในลานบ้าน จ้องมองบ้านเก่าสองห้องครึ่ง มองไปทางซ้ายและขวา แล้วกลับมาที่บ้านอีกครั้ง เธอสงสัยว่าบ้านหลังใหม่จะถูกสร้างขึ้นที่ไหน แล้วจะรื้อบ้านเก่าทิ้งหรือจะเก็บเอาไว้ดี ?
บ้านของเจียงไห่เทียนอยู่ห่างออกไปเพียงสามหลัง ห่างจากบ้านของพวกเขาไม่ถึง 200 เมตร
เจียงเสี่ยวไป๋ถือสิ่งของมาถึงบ้านของเจียงไห่เทียนอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวไป๋ อะไรพาหลานมาที่นี่ล่ะ ? ”
ครอบครัวของเจียงไห่เทียนเพิ่งกินมื้อเย็นเสร็จ เมื่อเห็นเจียงเสี่ยวไป๋มาถึงพร้อมกับสิ่งของมากมาย พวกเขาจึงถามด้วยความสงสัย
“ลุงใหญ่ ป้าใหญ่”
เจียงเสี่ยวไป๋ทักทายเจียงไห่เทียนและจ้าวเต๋อหรงก่อน
จากนั้น เขาก็พูดว่า “เมื่อก่อนผมสร้างปัญหาให้ลุงมากมาย วันนี้ผมเอาเหล้ามาเป็นของขวัญให้ลุง”
“เสี่ยวไป๋ หลานก็เกรงใจเราเกินไปแล้ว”
จ้าวเต๋อหรงยิ้มและกำลังจะรับของจากมือของเจียงเสี่ยวไป๋
ทว่าเจียงไห่เทียนรีบหยุดเธอเอาไว้ และพูดว่า “เสี่ยวไป๋ สิ่งเหล่านี้มีค่าเกินไป หลานนำของพวกนี้กลับไปเถอะ”
จ้าวเต๋อหรงชะงักและมองสามีของเธอด้วยความสับสน มันก็แค่บุหรี่ เหล้าและเนื้อสัตว์ สิ่งเหล่านี้จะถือว่ามีคุณค่าเกินไปได้อย่างไร ? เพราะคนอื่นก็เคยให้ของขวัญที่คล้ายกันนี้มาก่อน
แต่เขาไม่เคยปฏิเสธ
เพียงแต่คนเหล่านั้นไม่ได้ใจกว้างเท่าเจียงเสี่ยวไป๋ ปกติแล้วพวกเขาจะให้บุหรี่หนึ่งหรือสองมวน และไม่เคยมีใครให้บุหรี่หมดซองเลย
เจียงเสี่ยวไป๋ยืนยันที่นำของให้จ้าวเต๋อหรง และพูดว่า “ป้าใหญ่อย่าไปฟังลุงเลย สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีค่าอะไรมาก ผมเป็นหลานชาย นี่คือการแสดงความเคารพและความกตัญญูของผม”
จ้าวเต๋อหรงมองเจียงไห่เทียนอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอจึงรับมาด้วยรอยยิ้ม เธอเชิญเจียงเสี่ยวไป๋ให้นั่งและไปชงชาให้เขา ปฏิบัติต่อเขาเหมือนแขกคนหนึ่ง
เจียงไห่เทียนทำได้เพียงเม้มริมฝีปากและไม่ได้พูดอะไรอีก
เจียงเสี่ยวไป๋อยู่ไม่นานเ เขาคุยกับเจียงไห่เทียนและจ้าวเต๋อหรงประมาณสิบนาที ก่อนที่จะกล่าวลาและกลับบ้านไป
“ตอนนี้เสี่ยวไป๋โตพอและรู้จักคิดแล้ว”
หลังจากที่เจียงเสี่ยวไป่กลับไป จ้าวเต๋อหรงมองไปที่เนื้อสัตว์ บุหรี่และเหล้าบนโต๊ะแล้วถอนหายใจ
เจียงไห่เทียนทำหน้ามุ่ยแล้วพูดว่า “คุณไม่น่ารับของเหล่านี้มาเลย”
“ทำไมล่ะ เขาเป็นหลานชายของคุณ ในอดีตเขาสร้างปัญหาให้คุณมากมาย และตอนนี้เขาโตและรู้จักคิด เขาให้ของขวัญเหล่านี้เพื่อขอบคุณ เราควรรับมันไว้ไม่ใช่หรือไง ? ” จ้าวเต๋อหรงถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
“เฮ้อ ! ”
เจียงไห่เทียนถอนหายใจและชี้ไปที่บุหรี่จงฮั๋วบนโต๊ะ และพูดว่า “คุณจะไปรู้อะไร บุหรี่ซองนี้ราคา 20 หยวนเชียวนะ”
จากนั้น เขาก็ชี้ไปที่เหล้าเหมาไถสองขวด “และเหล้านี้ก็ราคาขวดละ 2 หยวน”
อะไรนะ !
จ้าวเต๋อหรงเบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ เธออุทานว่า “แพงขนาดนั้นเลยหรือ ? ”
เธอคิดว่าของที่แพงที่สุดบนโต๊ะคือเนื้อชิ้นใหญ่ แต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าบุหรี่ซองเดียวจะมีราคาสูงกว่า 20 หยวนแล้ว
สามีของเธอเป็นผู้ใหญ่บ้าน และเงินเดือนเขาเดือนละแค่ 3 หยวนเท่านั้น
ไม่น่าแปลกใจที่สามีของเธอบอกว่า มันมีค่าเกินไปก่อนหน้านี้
“แล้วเราควรทำอย่างไร ? ”
“เราควรคืนของเหล่านี้ให้เขาไหม ? ”
หลังจากทราบราคาแล้ว จ้าวเต๋อหรงก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจเและถามอย่างลังเล
เจียงไห่เทียนโบกมือ “ไม่เป็นไร เรารับของมาแล้ว คราวหน้าค่อยว่ากันเถอะ” ขณะที่เขาพูด เขาเปิดซองบุหรี่จงฮั๋ว และหยิบบุหรี่ออกมาหนึ่งมวนแล้วจุดไฟ
กลิ่นดีมาก !
เจียงไห่เทียนพ่นควันออกมา และพึมพำกับตัวเองว่า “ตอนนี้ฉันเป็นหนี้น้ำใจเขาก้อนใหญ่เลย ไม่รู้ว่าต่อไปนี้จะต้องตอบแทนเขาอย่างไรเมื่อใด”
เจียงเสี่ยวไป๋เดินกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม
“กลับมาแล้ว พูดคุยเสร็จแล้วหรือ ? ”
ทันทีที่เขาเดินเข้าประตูมา หลินเจียอินก็ถามขึ้นด้วยความคาดหวัง
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่หลินเจียอินด้วยความสับสนและถามว่า “ทำไมคุณถึงถามว่าคุยเสร็จแล้วหรือ ? ”
หลินเจียอินพูดว่า “คุณไปหาลุงใหญ่ไม่ใช่เพราะเรื่องที่ดินสร้างบ้านใหม่หรือไง ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมภรรยาของเขาถึงกระตือรือร้นมากขนาดนี้
ที่แท้เธอคิดว่าเขาจะไปคุยเรื่องบ้านหลังใหม่นี่เอง
“เมียจ๋า ผมยังไม่ได้คุยเรื่องนี้กับลุงใหญ่เลย”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบตามความเป็นจริง
หลินเจียอินมองไปที่เจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความสับสน และรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เธอพูดว่า “เห็นคุณนำของมามากมายออกไป ฉันคิดว่าจะพูดคุยเรื่องบ้านใหม่ของเรากับลุงใหญ่เสียอีก”
“เราไม่ควรให้ของแล้วหวังผลประโยชน์”
เจียงเสี่ยวไป๋โบกมือและพูดว่า “การให้ของโดยหวังประโยชน์จากการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี อาจกลายเป็นการสร้างความคุ่นเคืองใจในภายหลังได้”
“การให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน นั่นคือการให้โดยแท้จริง”
“การให้ของขวัญโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งเมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือ คุณก็จะได้ไม่ต้องให้ของขวัญเขาแล้ว”
“แต่เมื่อเขาช่วยคุณเสร็จ คุณจะให้ของขวัญเป็นการขอบคุณในภายหลังก็ได้”
ดวงตาของหลินเจียอินเบิกกว้าง ขณะที่เธอมองดูเจียงเสี่ยวไป๋พูดอย่างมั่นใจ เธอพบว่าคำพูดของเขามันช่างสมเหตุสมผลมาก
“ทำไมคุณถึงรู้อะไรมากมายขนาดนี้ ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม เขามีชีวิตมาสองชาติและเฝ้าสังเกตประสบการณ์ของมนุษย์มานับไม่ถ้วน เขาจะไม่เข้าใจหลักพื้นฐานเช่นนี้ได้อย่างไร ?
เจียงเสี่ยวไป๋ยังพูดต่ออีกว่า “นอกจากนี้ เมื่อก่อนผมเคยเป็นคนเสเพล สร้างความเดือดร้อนให้กับลุงใหญ่และคนอื่นอยู่เป็นประจำ ตอนนี้ผมกลับตัวแล้ว หากผมนำของไปให้ลุงใหญ่แล้วยังขอความช่วยเหลือจากเขาอีก พวกเขาอาจดูถูกผมได้”
หลังจากหยุดพูดไปครู่หนึ่ง เขาได้กล่าวเสริมว่า “ส่วนเรื่องที่ดินในการสร้างบ้านใหม่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน การสร้างบ้านใหม่ต้องรอถึงเดือนหน้า แต่ที่สำคัญคือเราจะจัดสรรเงินเท่าไรในการสร้าง”
ใช่ นั่นคือเรื่องสำคัญจริง ๆ
หลินเจียอินพยักหน้า เมื่อรู้ว่าสามีของเธอได้วางแผนสิ่งต่าง ๆ ไว้ในใจแล้ว เธอก็รู้สึกโล่งใจ
ในวันต่อมา ชีวิตของพวกเขาดำเนินไปอย่างไร้ซึ่งความวุ่นวายใด ๆ
ทุกวัน เจียงเสี่ยวไป๋จะขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างไปกับครอบครัวของเขาเข้าไปในเมืองแต่เช้าตรู่และกลับบ้านในตอนเย็น วิถีชีวิตแบบนี้ ทำให้คนในหมู่บ้านต่างพากันรู้สึกอิจฉาไม่น้อย
และในวันนี้ ร้านอร่อยสามมื้อได้ปรับปรุงเสร็จแล้ว
เมื่อพิจารณาถึงการขายเมนูพะโล้เพิ่ม เจียงเสี่ยวไป๋จึงได้จ้างลูกจ้างเพิ่มอีกสามคน
หนึ่งในนั้นคือหลัวเจาตี้ ภรรยาของน้องสามเขา เจียงเสี่ยวไป๋ฝึกอบรมเธอเป็นพิเศษและมอบหมายให้เธอคอยทำฟักเขียวตุ๋นน้ำแดงและฟักเขียวสไลด์ตุ๋นแบบหมูสามชั้น
ด้วยเครื่องปรุงสูตรพิเศษลับเฉพาะ ทำให้เมนูฟักเขียวทั้ง 2 อย่างไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ผู้ช่วยอีกสองคนคือ เจียงเสี่ยวเฟิ่ง เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจียงเสี่ยวไป๋ เธอเป็นลูกสาวของเจียงไห่โปและเจี่ยงชุ่ยหยู อีกคนหนึ่งคือเจียงเสี่ยวเฟิน อายุเพียง 18 ปี เป็นหลานสาวปู่รองของเจียงเสี่ยวไป๋
งานหลักของพวกเธอคือปอกมันฝรั่ง ปอกฟักเขียวและหั่นเป็นชิ้น
นอกจากนี้ ยังมีการปรับหน้าที่ของพนักงานที่มีประสบการณ์คนอื่น ๆ ด้วย
เขายกให้เจี่ยงชุ่ยหยูรับผิดชอบผัดมันฝรั่ง ในขณะที่เฝิงเยี่ยนหงรับผิดชอบการเสิร์ฟอาหารและจัดการเรื่องการชำระเงินโดยเฉพาะ แต่หากเป็นช่วงลูกค้าเยอะ เจี่ยงชุ่ยหยูก็สามารถช่วยเหลือได้เช่นกัน
ถานเสี่ยวฟางได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ขายเมนูพะโล้ตุ๋น เธอเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย มีทักษะในการสื่อสารและการบัญชีที่ดี ทั้งยังทำงานคล่อง อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของเธอก็ดูดี ทำให้เธอเหมาะที่จะเป็นพนักงานขาย
นอกจากนี้ ยังมีแนวทางการจัดการที่เป็นทางการมากขึ้นเล็กน้อย
เจียงเสี่ยวไป๋ให้หวังผิงเช่าบ้านในบริเวณใกล้เคียงเพื่อเป็นห้องพักพนักงาน ตอนนี้พนักงานทั้งหมดอาศัยอยู่ในเมือง และเวลาทำงานของพวกเธอคือตั้งแต่ 8.00 นาฬิกาถึง 22.00 นาฬิกา
แต่ละคนมีวันหยุดหมุนเวียนกันสี่วันในแต่ละเดือน และสามารถขอลาหยุดล่วงหน้าได้หากจำเป็น
ร้านอาหารทั้งหมดบริหารงานโดยหลินเจียอิน ในขณะที่เจียงเสี่ยวไป๋มุ่งเน้นไปที่การทำเมนูพะโล้และช่วยขาย