ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 8 :คิดจะไปปล้นหรือ
ตอนที่ 8 :คิดจะไปปล้นหรือ
ในแปลงนา
คนทั้งสี่คนแบ่งหน้าที่เป็นสองส่วน เจียงไห่หยางและเจียงเสี่ยวเฟิงใช้เสียม “ขุดหลุม” อยู่ด้านหน้า
“การขุดหลุม” ถือเป็นทักษะอย่างหนึ่งที่ต้องก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยพลางใช้เสียมเพื่อขุดหลุมที่มีขนาดและความลึกที่เหมาะสม “หลุม” ควรตรงและเว้นระยะห่างเท่า ๆ กันในแถวเดียว
หวังซิ่วจวี๋และหลัวเจาตี้ทำหน้าที่โยนเมล็ดข้าวโพดลงใน “หลุม” ที่เตรียมไว้ นี่ถือเป็นงานด้านเทคนิคเช่นกัน เพราะพวกเธอต้องใช้สายตาที่เฉียบคมและมือที่ว่องไว เพราะพวกเธอต้องรีบโยนเมล็ดข้าวโพดลงใน “หลุม” อย่างรวดเร็วเมื่อหลุมถูกขุดขึ้น
เพราะหากช้าเกินไปก็จะไม่ทันจังหวะของการ “ขุดหลุม” และอาจทำให้งานล่าช้าได้ และตอนโยนเมล็ดข้าวโพดก็ต้องโยนลงไปให้ตรงกลางหลุม เพราะจะทำให้ต้นข้าวโพดขึ้นเรียงเสมอกันเป็นระเบียบ ไม่สะเปะสะปะไปทั่ว
และคนที่ขุดหลุมก็จะต้องใช้เสียมพลิกดินกลบเมล็ดข้าวโพดอย่างรวดเร็ว
ทั้งสี่คนที่กำลังช่วยกันหยอดเมล็ดข้าวโพดอย่างขะมักเขม้นได้ยินเสียง “ตะโกนเรียก” อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบนี้ ทำให้พวกเขาถึงกับพักงานในมือของตน
และเมื่อเห็นว่าเป็นเจียงเสี่ยวไป๋ ทั้งสี่คนมองหน้ากัน ตอนแรกพวกเขานึกว่าตนเองเห็นผีเสียด้วยซ้ำ
ไอ้อันธพาลคนนี้มาที่แปลงนากับเขาด้วย ?
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์เชียวนะ
เจียงเสี่ยวไป๋ที่กลับมาเกิดใหม่ได้เห็นพ่อ แม่ น้องสามและน้องสะใภ้อีกครั้ง ขอบตาของเขารื้นไปด้วยน้ำตา
เมื่อชาติที่แล้ว เนื่องจากการตายของหลินเจียอินและชานชาน พ่อแม่ก็ไม่เคยให้อภัยเขาอีกเลย ต่อให้เขากลายเป็นเศรษฐีมีทรัพย์สินหลายหมื่นล้าน แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ยอมมาใช้ชีวิตอยู่กับเขา ยิ่งไม่ยอมใช้เงินของเขาเลยสักหยวนเดียว
ส่วนพี่น้องในครอบครัวก็ถูกพ่อแม่สั่งสอนไม่ให้ไปมาหาสู่กับเขา
โชคดีที่ตอนนี้เขากลับมาเกิดใหม่แล้ว อีกทั้งยังได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาโศกนาฏกรรมของหลินเจียอิน ชาตินี้เขาจะต้องผูกสัมพันธ์อันดีกับคนในครอบครัวทุกคนให้ได้
“พ่อ แม่ ผมมารับชานชาน”
เจียงเสี่ยวไป๋พยายามระงับความตื่นเต้นในใจขณะที่พูด
เจียงไห่หยางและหวังซิ่วจวี๋ต่างตกตะลึง พวกเขานึกว่าตัวเองได้ยินผิดไปด้วยซ้ำ
“แกคิดจะทำอะไร ? ”
ทันใดนั้นเอง เจียงไห่หยางราวกับคิดอะไรได้บางอย่าง เขายกเสียมขึ้นมาตั้งขวางไว้และถลึงตามองไปยังเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
ตอนอยู่บ้านไม่เห็นไอ้อันธพาลคนนี้จะอุ้มลูกสาวเลยสักครั้ง แต่จู่ ๆ วันนี้กลับวิ่งมาที่แปลงนาแล้วบอกจะมารับชานชาน คงไม่คิดที่จะเอาลูกสาวตัวเองไปขายใช่ไหม ?
“พ่อ ผมมาเป็นเพื่อนเจียอินรับชานชานกลับบ้าน”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มเจื่อน ภาพจำความเป็นคนเลวของเขาคงฝังลึกอยู่ในจิตใจผู้เป็นพ่อมากเกินไป พ่อของเขาถึงได้คิดแต่ด้านแย่ ๆ ไปเสียหมด
เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า: “เมื่อก่อนผมเลวเกินไป แต่ตอนนี้ผมตัดสินใจจะไม่ทำตัวเหมือนในอดีตอีกแล้ว ผมจะเป็นคนดี”
“เฮอะ ! ”
เจียงไห่หยางสบถอย่างไม่พอใจ เขาไม่เชื่อหรอก
หวังซิ่วจวี๋กลับเหลือบมองเจียงเสี่ยวไป๋ แววตาของเธอฉายแววความคาดหวังขึ้นมา
สุดท้ายต้องให้หลินเจียอินเอ่ยปาก พวกเขาถึงพาเจียงชานกลับบ้านได้
กว่าจะมาถึงบ้านก็เป็นช่วงเที่ยงวันแล้ว เจียงเสี่ยวไป๋จึงพูดขึ้นว่า “ที่รัก คุณดูชานชานไปนะ ผมจะไปทำอาหาร”
พอได้ยินว่าเขาจะไปทำอาหาร ท้องของเจียงชานน้อยก็ร้อง “โครก~” ขึ้นมาทันที หนูน้อยเงยหน้าบอกหลินเจียอิน “หม่าม๊า หนูหิวแล้ว”
หลินเจียอินหยิบเอาซาลาเปาที่เธอเก็บไว้ก่อนหน้านี้ออกมา แล้วแกว่งมันตรงหน้าลูกสาว “ชานชาน ลูกดูสิว่านี่คืออะไร ? ”
“ซาลาเปา ! ”
เจียงชานตะโกนตอบอย่างตื่นเต้นด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
แม้ว่าเธอจะไม่เคยกินซาลาเปามาก่อน แต่เธอเคยเห็นหูหย่งที่บ้านอยู่หลังถัดไปกินมัน ตอนนั้นเขาดูกินอย่างเอร็ดอร่อยมาก
หนูน้อยมองดูซาลาเปาในมือของผู้เป็นแม่จนน้ำลายเกือบไหลออกมา เธอยื่นมือน้อย ๆ ออกไปเพื่อรับซาลาเปา
“ชานชาน อีกเดี๋ยวค่อยกินนะ เดี๋ยวแม่จะไปอุ่นให้ก่อน”
ตอนนี้ซาลาเปาเย็นแล้ว เปลือกหุ้มด้านนอกเริ่มแข็ง ถ้ากินแบบนี้จะทั้งแข็งและไม่อร่อย
หลินเจียอินพูดแล้วก็เดินไปในครัว
แม้จะบอกว่ามันคือครัว แต่อันที่จริงมันไม่ได้เป็นห้องที่แยกตัวออกไปแต่อย่างใด มันเป็นเพียงเพิงมุงจากใต้ชายคาข้างตัวบ้าน ซึ่งสั้นและแคบ
ที่บ้านมีเตาสองเตา มีถังน้ำและตู้ไม้ แค่นี้ก็เหลือที่ว่างไม่มากแล้ว
หลินเจียอินตักน้ำหนึ่งกระบวยใส่หม้อ ใส่ตะแกรงไม้ไผ่ทรงกลมลงไป วางซาลาเปาลงบนตะแกรง แล้วปิดฝาหม้อด้วยไม้ จากนั้นถึงจุดไฟ
เจียงเสี่ยวไป๋ตามเข้าไปหาอยู่นานก็ไม่พบวัตถุดิบอะไรสักอย่าง
ส่วนเครื่องปรุงนั้นก็เหลือแค่เกลือเพียงเล็กน้อย น้ำมันพืชในหม้อเหลือแค่ก้นหม้อจนเริ่มมีกากสีดำแล้ว
“ที่บ้านไม่มีวัตถุดิบทำอาหาร ถ้าคุณหิว ฉันจะไปเด็ดแตงที่แปลงผักมาทำอาหารให้คุณกิน”
หลินเจียอินพูดเสียงเศร้า
ตอนนี้ที่บ้านของพวกเขาไม่มีอะไรเหลือแล้วจริง ๆ หากไม่ใช่เป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอปลูกแตงเอาไว้ และคอยหาเด็ดผักจับปลากิน ป่านนี้เธอกับลูกคงหิวตายไปแล้ว
“ผมขอโทษ……”
เจียงเสี่ยวไป๋ตาแดง พูดอย่างสะอื้น
ปกติเขาจะออกไปกินดื่มกับเพื่อนอันธพาลพวกนั้นทุกวัน เขาแทบไม่ได้กินข้าวที่บ้านเลยสักมื้อ เขาไม่เคยคิดว่าหลินเจียอินและชานชานจะต้องอดทนต่อความลำบากใช้ชีวิตแบบนี้
หลังจากสูดลมหายใจเข้า เจียงเสี่ยวไป๋ก็เดินไปข้าง ๆ หลินเจียอิน
“คุณจะทำอะไร ? ”
หลินเจียอินที่นั่งยองอยู่ตรงหน้าเตาเพื่อเติมฟืนหดตัวลงและถามอย่างประหม่า
เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจียงเสี่ยวไป๋จะมาช่วยเธอจุดไฟ
“เอามีดพร้ามาให้ผม” เจียงเสี่ยวไป๋บอก
คนในชนบททำอาหารด้วยการจุดฟืน เตาฟืนมีขนาดไม่ใหญ่นัก ดังนั้นฟืนจึงเป็นไม้ขนาดเล็กที่มีความยาวไม่เกิน 1 ฟุต พวกเขาจึงวางมีดพร้าไว้ข้างเตาฟืนอยู่ตลอดเวลา
“อ้อ ๆ ”
หลินเจียอินรีบเอามีดพร้ายื่นให้เจียงเสี่ยวไป๋
“ตอนกลางวันคุณกับชานชานกินข้าวก่อนได้เลยนะ ไม่ต้องห่วงผม เดี๋ยวเย็นนี้พวกเรามากินเนื้อกัน” เจียงเสี่ยวไป๋หยิบมีดพร้าเดินออกไปทางประตูหลังขณะพูด
กินเนื้อ ?
ข้าวสารยังไม่มีกรอกหม้อ แล้วจะเอาเนื้อที่ไหนมากิน ?
หลินเจียอินไม่เชื่อคำพูดของเขา
แต่เมื่อเธอมองมีดพร้าในมือของเจียงเสี่ยวไป๋ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกกังวล จึงตะโกนถามเขาเสียงสั่น “เจียงเสี่ยวไป๋ คุณคิดจะไปปล้นหรือ ? ”
ผู้ชายคนนี้ไม่มีความสามารถอื่นใด นอกจากเรื่องชกต่อยที่เขาถนัดที่สุด มันไม่แปลกเลยหากเขาจะออกไปขโมยของคนอื่นเพราะไม่มีอะไรกิน
“ที่รัก เมื่อก่อนผมอาจจะเลวมาก แต่ตอนนี้ผมกลับตัวกลับใจได้แล้ว ผมจะไม่มีวันไปขโมยของใครอีก คุณวางใจได้”
เจียงเสี่ยวไป๋รับปากแล้วรีบเดินออกไป
วางใจงั้นหรือ ?
หลินเจียอินยิ้มอย่างขมขื่น หากเธอวางใจเขาได้ ชีวิตก็คงไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้
เพียงแต่ว่าวันนี้เจียงเสี่ยวไป๋แตกต่างจากที่ผ่านมาเล็กน้อย กล่าวได้ว่าเขาทำให้หลิวเจียอินอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
ปกติหลังบ้านในชนบทจะมี “ร่องน้ำ” แทบทุกหลัง
มีสวนไผ่ขนาดใหญ่ข้างร่องน้ำด้านหลังบ้านครอบครัว แนวไผ่ในนั้นมีความหนาและสูง มีสวนไผ่ขนาดใหญ่คอยปกคลุมให้ความร่มรื่นแบบนี้ ทำให้บรรยากาศบ้านครอบครัวเจียงดูเงียบสงบมาก
“ยอมไม่มีเนื้อกิน ดีกว่าอยู่โดยไม่มีไม้ไผ่”
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงนึกถึงคตินี้ขึ้นมา เขายิ้ม เพราะนี่มันคือคำสอนใจปลอม ๆ ของคนมีความรู้ เพราะอย่างน้อยสำหรับหลินเจียอินและชานชานแล้ว พวกเธอต้องใช้คติ “ยอมอยู่โดยไม่มีไม้ไผ่ ดีกว่าอยู่โดยไม่มีเนื้อกิน”
“ถ้าอยากกินเนื้อ คงต้องพึ่งแกแล้ว”
เจียงเสี่ยวไป๋เลือกไผ่แก่ในสวน เขายกมีดพร้าขึ้นฟัน “ฉวับ ฉวับ” อย่างแรง
ฟันเพียงไม่กี่จังหวะ ต้นไผ่ก็ถูกโค่นลง
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ฟันต่อ เขาเลาะกิ่งไผ่ออก แล้วเหลาปลาย จากนั้นก็ลากลำไผ่ออกจากสวน
ลำไผ่ยาวประมาณ 10 เมตร หากลากจากบ้านไปลานใกล้ร่องน้ำคงไม่สะดวก เจียงเสี่ยวไป๋จึงแบกลำไผ่เดินอ้อมไปยังถนนเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงลานบ้านเพื่อไปยังลานใกล้ร่องน้ำตนเอง
ในเวลา นี้หลินเจียอินนึ่งซาลาเปาเสร็จแล้ว เจียงชานกำลังกินซาลาเปาอยู่ริมร่องน้ำ
อื้ม ถึงแม้จะไม่ใช่ซาลาเปาไส้หมู แต่ซาลาเปาไส้หวานก็อร่อยมากเหมือนกัน
หนูน้อยชอบซาลาเปาไส้หวานมาก หนูน้อยกัดซาลาเปาไปหนึ่งคำ ก็ยื่นให้หม่าม๊ากินหนึ่งคำเช่นกัน
นี่เป็นซาลาเปาที่เธอตั้งใจเก็บไว้ให้ลูกกินโดยเฉพาะ หลินเจียอินจะทำใจกินลงได้อย่างไร
“แม่กินตอนอยู่ในเมืองไปแล้ว อันนี้เอาไว้ให้ลูกกิน”
หลินเจียอินยิ้มแล้วพยักหน้าให้ชานชานกิน ระหว่างที่คุยอยู่นั้น เธอก็เห็นเจียงเสี่ยวไป๋กลับมาพร้อมไม้ไผ่บนหลัง หญิงสาวอดแปลกใจไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร