ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 81 :ลูกค้าวีไอพี
ตอนที่ 81 :ลูกค้าวีไอพี
ชายอ้วนวัยกลางคนมองดูสถานการณ์ในร้านที่มีคนรอซื้อพะโล้อย่างน้อยสิบกว่าคน ในขณะที่มีคนขายเพียงสองคนเท่านั้น หากว่าขาดคนใดไปคนหนึ่ง มันก็คงจะวุ่นวายน่าดู
“ผมชื่อโจวฉางซง ทำงานที่โรงงานเครื่องจักรกลการเกษตรของเทศบาล”
ชายอ้วนวัยกลางคนเปิดเผยตัวตนของเขาก่อน จากนั้นจึงพูดตามตรง “พะโล้ร้านคุณอร่อยมาก ผมอยากจะถามว่าถ้าจะสั่งจำนวนมาก จะได้ส่วนลดไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่โจวฉางซง ชายคนนี้ไม่ได้แต่งตัวเหมือนคนทั่วไป เขาจึงถามออกมาว่า “แล้วคุณจะเอาเท่าไหร่ล่ะครับ ? ”
โจวฉางซงดูเหมือนจะคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว เขาจึงพูดว่า “ผมว่าจะสั่งพะโล้ของคุณทุกวัน เอาทั้งพะโล้หมู และพะโล้ผักอย่างละ 20 ชั่ง”
พะโล้หมู มีราคาชั่งละ 2 หยวน ส่วนพะโล้ผักมีราคาชั่งละ 6 เหมา
หากคิดตามคำพูดของโจวฉางซง เขาจะได้ยอดขายจากโจวฉางซงอย่างน้อย 50-60 หยวนต่อวัน
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมาก แต่เขาก็ยังไม่ตอบตกลงในทันที และยังคงสอบถามต่ออีกว่า “หากว่าคุณจะสั่งพะโล้ของเราแบบนี้ทุกวัน คุณก็ถือว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ ไม่จำเป็นต้องกังวลอยู่แล้วครับ แต่ผมแค่สงสัยว่าคุณจะซื้อพะโล้มากมายแบบนี้ไปทำอะไรทุกวัน…”
โจวฉางซงไม่ได้ปิดบังอะไร เขาพูดออกมาตามตรงว่า “โรงงานเครื่องจักรกลการเกษตรของเรามีพนักงานหลายคน และมีการเลี้ยงข้าวพนักงานทุกวัน พะโล้ร้านคุณทั้งอร่อยทั้งไม่แพง ดังนั้นหัวหน้าของเราจึงอยากให้ผมสั่งพะโล้ร้านคุณไปเป็นหนึ่งในเมนูอาหารกลางวันที่โรงอาหาร”
แบบนี้นี่เอง
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ฟังก็เข้าใจสถานการณ์ทันที เขาจึงพูดขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไร ผมจะสั่งพนักงานให้เตรียมพะโล้ให้คุณทุกวัน ตามที่คุณต้องการ”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาแสดงสีหน้าลำบากใจและกล่าวว่า “แต่พะโล้ไม่เหมือนกับผัดมันฝรั่ง เมื่อนำมาตุ๋นพะโล้แล้วมักจะเสียน้ำหนักประมาณครึ่งหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า “ตุ๋นครึ่งชั่ง” และราคาที่ผมตั้งไว้ไม่สูงนัก มันจึงเป็นเรื่องลำบากใจสำหรับผมที่จะให้ส่วนลดกับคุณเพิ่มไปอีก”
น้ำเสียงของเขาดังขึ้นมา และพูดด้วยความมั่นใจว่า “แต่ผมรับรองให้คุณได้อย่างแน่นอนว่าร้านของเราจะชั่งน้ำหนักเต็มให้คุณ”
โจวฉางซงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร
ถ้าต่อรองราคาได้ก็ดี แต่หากว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ต้องได้จ่ายอยู่ดี
“ไม่เป็นไร งั้นวันนี้ฉันเอาหัวหมูพะโล้ 20 ชั่ง เอาเต้าหู้แผ่น 20 ชั่ง และหน่อไม้พะโล้อีก 20 ชั่ง”
ใบหน้าของเจียงเสี่ยวไป๋ขมขื่นขึ้นมาทันที เขาพูดด้วยความเขินอายว่า “เอ่อ ลูกค้าครับ ผมต้องขอโทษจริงๆ วันนี้เป็นวันแรกที่เราเปิดร้านอร่อยสามมื้อ ดังนั้นจึงทำพะโล้ผักมาน้อย และตอนนี้ก็ขายออกไปเยอะแล้ว มันมีไม่พอจริงๆ”
ท้ายที่สุดแล้ว วันนี้ก็เป็นวันแรกที่เขาเปิดร้าน เจียงเสี่ยวไป๋ไม่รู้ว่าวันแรกจะขายพะโล้ได้เท่าไหร่ เขาจึงทำพะโล้ผักมาแค่ 20 ชั่งเท่านั้น
อีกทั้งตอนนี้ลูกค้าก็ซื้อไปกันหลายคนแล้ว ทั้งพะโล้หมูและพะโล้ผักน่าจะเหลือไม่ถึง 20 ชั่ง
โจวฉางซงไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนี้ เขามองผ่านกระจกไปที่หม้อพะโล้ข้างใน แล้วพูดว่า “งั้นเอาพะโล้หมูและพะโล้ผักอย่างละ 10 ชั่งก็แล้วกัน”
“ขอบคุณครับคุณลูกค้า ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบรับและรีบหั่นหัวหมูพะโล้อย่างรวดเร็ว
แต่ในตอนที่เขากำลังชั่งและกำลังจะแพ็ค เขาก็ตระหนักได้ว่าถ้าเขาใส่มันในชามใช้แล้วทิ้ง พะโล้ที่ลูกค้าวีไอพีคนนั้นต้องการตกวันละ 60 ชั่ง และเขาจะต้องบรรจุในชามหลายสิบใบ ซึ่งไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองเท่านั้น แต่ยังยากสำหรับลูกค้าในการนำกลับไปที่โรงงานด้วย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดกับโจวฉางซงว่า “คุณลูกค้าครับ ถ้าผมจะใส่มันลงไปในกะละมังสแตนเลสใบใหญ่แล้วให้คนไปส่งที่โรงงานของคุณได้ไหม ? ”
โจวฉางซงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในตอนแรก เขาก็เป็นกังวลอยู่ว่าจะเอามันกลับไปอย่างไร
“ขอบคุณมาก”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณคือลูกค้าวีไอพีของร้านเรา การให้บริการคุณด้วยใจจริงคือสิ่งที่เราควรทำ”
“วีไอพี ? ”
โจวฉางซงตกตะลึง เขายังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋เห็นท่าทีของโจวฉางซง เขาก็ตระหนักได้ว่าในปี 1983 ประเทศจีนไม่มีใครรู้จักว่า VIP คืออะไร เขาจึงอธิบายให้อีกฝ่ายฟังว่า “วีไอพีแปลว่าคนสำคัญครับ”
โจวฉางซงหัวเราะเสียงดัง “อืม วีไอพี ฮ่าฮ่า ดีมาก ! ”
เขาพอใจกับคำเรียกนี้มาก
แม้มันจะดูอินเตอร์ไปหน่อยก็ตาม !
ดูมีหน้ามีตาขึ้นมาทันที !
เจียงเสี่ยวไป๋ใส่พะโล้ทั้งหมดลงในกะละมังเคลือบจำนวน 5 ใบ ห่อหม้อแต่ละใบด้วยถุง แล้วขนขึ้นมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง
“โอ้ เถ้าแก่ คุณมีมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างด้วยหรือ”
โจวฉางซงพูดด้วยความประหลาดใจ สายตาเต็มไปด้วยความอิจฉา
ในยุคนี้ ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง เพราะพวกเขาคิดว่าถ้าได้ขี่แล้วจะดูเท่ห์ดูมีอำนาจ
“อ้อ มันเป็นรถเก่าที่สำนักความมั่นคงสาธารณะจะโละทิ้งน่ะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้ม เขาพูดอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะชวนโจวฉางซงขึ้นรถ เพื่อไปส่งเขาที่โรงงานเครื่องจักรกลการเกษตร
หัวหมูพะโล้ทั้งหมด 20 ชั่ง ราคาชั่งละ 2.2 หยวน รวมเป็นเงิน 44 หยวน
ส่วนพะโล้ผักทั้ง 4 ชนิด ทั้งหมด 40 ชั่ง มีราคาชั่งละ 6 เหมา รวมทั้งหมดเป็นเงิน 24 หยวน
แค่ลูกค้ารายใหญ่เพียงรายเดียว ทำให้เขาได้เงินมาทั้งหมด 68 หยวนแล้ว
แม้ว่าจะเป็นเงินที่ไม่ได้มากอะไร แต่นี่ก็เป็นลูกค้าประจำ เมื่อลองคำนวณดูแล้ว เงินที่จะได้จากเขาก็ประมาณ 2,000 หยวนต่อเดือน
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมากที่มีลูกค้ารายใหญ่แบบนี้ตั้งแต่วันแรก ดังนั้นเขาจึงแถมหูหมูตุ๋นให้กับโจวฉางซงอีกหนึ่งถุง เพื่อที่เขาจะได้เอากินเป็นกับแกล้มในตอนบ่าย
โจวฉางซงพอใจกับการให้บริการของเจียงเสี่ยวไป๋มาก จนรู้สึกเหมือนเป็นลูกค้าคนพิเศษจริง ๆ !
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋กลับมาที่ร้าน เขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยนั่งกินพะโล้อยู่ที่โต๊ะทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไป
“ช่างจวง ไม่คิดเลยว่าคุณจะมาที่นี่”
เจียงเสี่ยวไป๋เดินเข้าไปทักทาย
จวงปี้เฉิงกำลังกินอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย เมื่อเขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เขาก็เงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็กลืนไก่ในปากลงไปทันที เขายืนขึ้นและพูดว่า “เถ้าแก่เจียง ขอแสดงความยินดีด้วย ขอให้เฮง ๆ ขายดิบขายดี”
ร้านนี้เขาเป็นคนปรับปรุงมันขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงรู้เป็นธรรมดาว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ร้านเปิด
ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบสหายของเขากับหวังผิง หรือมิตรภาพระหว่างเขากับเจียงเสี่ยวไป๋ วันนี้เขาก็ตั้งใจมาที่นี่เพื่อให้กำลังใจเจียงเสี่ยวไป๋โดยตรง
“ต้องขอบคุณช่างจวงที่ช่วยปรับปรุงร้านให้ผมอย่างรวดเร็ว”
เจียงเสี่ยวไป๋ขอบคุณอย่างสุภาพ
ทั้งสองพูดคุยกันครู่หนึ่ง จวงปี้เฉิงเห็นว่ามีลูกค้าเข้ามาในร้านเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงไม่อยากถ่วงเวลาเจียงเสี่ยวไป๋ และปล่อยให้เจียงเสี่ยวไป๋ไปทำงาน
เจียงเสี่ยวไป๋ก็บอกว่าไว้เจอกันใหม่วันหลัง ก่อนจะเข้าไปหั่นหมูต่อ
อย่างไรก็ตาม จวงปี้เฉิงดูจะมีความสุขมาก เหตุผลหลักที่เขามาที่นี่ก็เพื่อทำความรู้จักกับเจียงเสี่ยวไป๋มากขึ้น ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างพอใจกับประโยคดังกล่าว
แต่สิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋ไม่คาดคิดคือ ไม่นานหลังจากที่จวงปี้เฉิงกลับไป ก็มีคนรู้จักอีกคนเข้ามาในร้านเช่นกัน
“น้องชาย เปิดร้านวันแรกแต่กลับไม่บอกฉันสักคำแบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร ? ”
หลี่กวงหรงเอามือจับหน้าต่างเล็ก ๆ บนเคาน์เตอร์กระจก และพูดด้วยรอยยิ้ม
ด้วยความที่ว่าทั้งสองสนิมสนมกันดี เจียงเสี่ยวไป๋จึงไม่คิดที่จะสุภาพด้วย เขาพูดด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นกันเองว่า “แล้วพี่หลี่ไปรู้มาจากไหนล่ะ ? ”
หลี่กวงหรงพยักหน้าเป็นเชิงและพูดว่า “ฉันรู้ก็แล้วกันน่า”
“ดีเลย ลมอะไรพัดพี่หลี่มาถูกเวลาพอดี” เจียงเสี่ยวไป๋พูดติดตลก
หลี่กวงหรงหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาดูมีความสุขมาก
“ฉันเอาหัวหมูพะโล้ 2 ชั่ง เป็ดพะโล้ 1 ชั่ง แล้วก็พะโล้ผักรวมอีก 2 ชั่ง”
นอกจากมาพูดคุยและหัวเราะกับเจียงเสี่ยวไป๋แล้ว เขาก็มาอุดหนุนพะโล้ของเจียงเสี่ยวไป๋ด้วย
“ขอบคุณ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋รู้ว่าทำไมหลี่กวงหรงถึงมา หลังจากชั่งน้ำหนักพะโล้ที่หลี่กวงหรงสั่งและบรรจุให้แล้ว เขาก็ให้คูปองฟรีอีก 2 ใบและพูดว่า “ฉันรู้ว่าพี่หลี่ชอบกินฟักเขียวตุ๋นน้ำแดง ทางร้านเรามีแถมให้ฟรี ไปรับเอาได้เลย”
หลี่กวงหรงมีความสุขมาก เขารับคูปองฟรี 2ใบ แล้วเดินออกไปอย่างมีความสุข
เมื่อมองตามหลังของหลี่กวงหรงที่เดินจากไป เจียงเสี่ยวไป๋ก็ส่ายหน้า ตามที่คาดไว้ มนุษย์ทุกคนนั้นเจ้าเล่ห์
ไม่ว่าจะเป็นจวงปี้เฉิงหรือหลี่กวงหรง พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพียงแค่มายินดีด้วยเท่านั้น ทุกคนล้วนมีผลประโยชน์แอบแฝง และความเจ้าเล่ห์นี้มันอาจจะซึมลึกอยู่ในกระดูก
ทว่าเจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่ได้รังเกียจสิ่งนี้
ท้ายที่สุดแล้ว ประเทศจีนก็เป็นสังคมที่มีมนุษยธรรม และสัมผัสที่แข็งแกร่งของมนุษย์นั้นก็ค่อนข้างดี