ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 82 :ป่าป๊าไม่ใช่พ่อที่แย่
ตอนที่ 82 :ป่าป๊าไม่ใช่พ่อที่แย่
ตอนห้าโมงเย็น เจียงเสี่ยวไป๋และหลินเจียอินได้พาเจียงชานออกมาจากร้าน
ก่อนออกจากร้าน หลินเจียอินได้กล่าวขอโทษพนักงานในร้านเป็นรอบที่สาม “วันนี้ร้านของเราเพิ่งเปิดและขายพะโล้เป็นวันแรก เหนื่อยหน่อยนะทุกคน”
ทุกคนในร้านยังคงทำงานอยู่ แต่เธอกับเจียงเสี่ยวไป๋กลับออกมาก่อน
จึงทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“เป็นอะไรหรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋พูดด้วยรอยยิ้ม “คุณเป็นเจ้าของธุรกิจ ควรต้องปล่อยให้ลูกน้องได้ทำงานกันเองบ้าง ไม่อย่างนั้น ในอนาคตพวกเขาจะทำงานเป็นได้อย่างไร คุณจะเอาพลังมากมายที่ไหนมาทำมันเองทั้งหมด ? ”
“พูดเหมือนคุณเคยเป็นเจ้านายคนอย่างนั้นแหละ”
หลินเจียอินตอบกลับ สิ่งที่เจียงเสี่ยวไป๋พูดคือ เธอเป็นเจ้าของร้าน ไม่ใช่ภรรยาของเจ้าของร้าน
ความแตกต่างของคำเดียวนี้ ทำให้เธอมีความสุขมาก
“แต่ก็นั่นแหละ ฉันเองก็อดห่วงไม่ได้” หลินเจียอินกล่าว
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “เถ้าแก่หลิน ไม่ต้องกังวลไป ที่ร้านยังมีหวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงอยู่ พวกเขาเป็นผู้ถือหุ้นของร้านด้วย พวกเขาไม่ปล่อยให้ร้านเรามีปัญหาหรอก เชื่อผมสิ”
หลินเจียอินคิดสักพัก มันก็ใช่จริง ๆ
“ไม่แปลกใจเลยที่คุณยืนกรานที่จะให้พวกเขาร่วมหุ้นด้วย 40% ในตอนนั้น ก็เพราะแบบนี้ใช่ไหม”
หลินเจียอินดูเหมือนจะรู้ทันทีและพูดว่า “คุณนี่มันนิสัยไม่ดีเลย”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะเบา ๆ “ผมแย่งั้นหรือ เปล่าสักหน่อย ไม่งั้นเรากลับไปแล้วให้ผมพิสูจน์ให้คุณดูดีไหมว่าผมนิสัยไม่ดีได้ขนาดไหน ? ”
“อ่า…”
ใบหน้าที่สวยงามของหลินเจียอินแดงก่ำขึ้นมาทันที
“ป่าป๊าไม่ได้แย่นะคะ ! ”
”ป่าป๊าเป็นคนดี ! ”
หนูน้อยที่นั่งบนตักของหลินเจียอินหันกลับมาพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาแบบเด็ก ๆ
พรวด……
เจียงเสี่ยวไป๋แทบจะสำลักน้ำลายออกมาเต็มปาก
“โอ๊ย ! ”
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกเจ็บที่เอวของเขา ปรากฏว่าหลินเจียอินแอบยื่นมือเข้ามาบิดเนื้อที่เอวของเขาอย่างแรง “เห็นไหม เพราะคุณพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าชานชาน”
เสียงกระซิบของเธอนั้นเบาหวิวเหมือนเสียงยุงเสียงแมลงวัน
แต่เจียงเสี่ยวไป๋ยังคงได้ยินมันอย่างชัดเจน
“ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ได้พูดไร้สาระ แต่แค่อยากจะหยอกคุณเล่นเท่านั้นเอง”
“คืนนี้ชานชานอยากกินอะไรไหม ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบเปลี่ยนเรื่องโดยหันไปถามลูกสาวแทน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ และป้องกันไม่ให้เธอเข้าใจว่าพ่อของเธอจะเป็นพ่อที่ไม่ดี
ตอนนี้ภรรยาไม่ได้ต่อต้านเขาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว งั้นคืนนี้เราลองชวนเธอเล่นบทรักดีไหมนะ ?
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว ร่างกายของเขาก็เริ่มร้อนรุ่มไปหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามองไปที่ผมยาวสลวยของหลินเจียอินที่ปลิวไสวไปตามสายลม สันจมูกโด่งของเธอ และริมฝีปากอวบอิ่มนั้น ทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ฮู่ว……”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ บิดคันเร่งออกไปจนมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่เขาขี่อยู่แล่นออกไปเร็วขึ้น
เมื่อโดนลมปะทะเข้ากับใบหน้า ก็ทำให้เขาได้สติมากขึ้น
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ทำอาหารให้ภรรยาและลูกสาวกินก่อน
วันนี้ เขาได้ตักพะโล้มาจากร้าน 1 ถุง จากนั้นก็ไปที่ลานบ้านเพื่อเด็ดพริกใหญ่มาหนึ่งกำมือและผักสีเขียวบางส่วน เอามาผัดก็น่าจะได้แล้ว
“ป่าป๊าคะ หนูกินหมูทุกวันจนหน้าหนูจะเป็นหมูอยู่แล้ว”
ที่ผ่านมา เจ้าตัวน้อยกินแต่เนื้อหมูทุกวันจริง ๆ จนเขาสังเกตเห็นว่าเธอไม่ได้ตื่นเต้นกับการได้กินหมูอีกต่อไปแล้ว
เจียงเสี่ยวไป๋มองไปที่ลูกสาวของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะตัวใหญ่ขึ้นเล็กน้อย และผมของเธอก็ยาวสลวยขึ้น ตอนนี้ลูกสาวของเขาไม่ผอมแห้งเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
“งั้นหนูก็กินน่องไก่พะโล้สิ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตักน่องไก่พะโล้ลงในชามของเธอ
“ได้ค่ะ น่องไก่พะโล้อร่อยมาก”
หนูน้อยคว้าน่องไก่ขึ้นมาแทะอย่างไม่กลัวเผ็ด
เมื่อเห็นว่าลูกสาวของเขากำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย เจียงเสี่ยวไป๋ก็แอบมองไปที่หลินเจียอิน ในใจได้แต่คิดกับตัวเองว่า: เมื่อไหร่เราจะได้ลิ้มลองเนื้อขาว ๆ นั้นบ้างหนอ ?
หลินเจียอินสังเกตเห็นสายตากรุ้มกริ่มของเจียงเสี่ยวไป๋ เธอรีบเบี่ยงตัวอย่างระแวงและพูดข้าง ๆ คู ๆ ว่า “มีสมาธิกับการกินสิ คุณมองมาที่ฉันทำไม”
“อ่า เปล่า ๆ ”
เจียงเสี่ยวไป๋รีบปฏิเสธออกมา “พอดีผมเห็นว่าคุณไม่ตักอะไรกินเลยน่ะ”
พอพูดจบ เขาก็รู้สึกตื่นตระหนก รีบเอาตะเกียบคีบเห็ดเข็มทองใส่ลงในชามของเธอ
“ฉันไม่ชอบเห็ดเข็มทอง”
หลินเจียอินกล่าวว่า “มันดูเป็นเส้น ๆ แปลก ๆ ”
“อ๋อ งั้นก็กินขา…ไก่สิ”
หลินเจียอินเริ่มหน้าแดงขึ้น เธอรู้สึกตัวมาสักพักแล้วว่าเจียงเสี่ยวไป๋เริ่มพูดจาสองแง่สองง่ามกับเธอ
“หม่าม๊า น่องไก่อร่อยมากเลยค่ะ”
หนูน้อยแทะน่องไก่คำหนึ่ง และพูดอย่างมีความสุข ขณะที่ยังถือกระดูกอยู่ในมือ
หลินเจียอินได้ยินลูกสาวบอกเธอ เธอก็ตอบรับ “จ้ะ” และคีบน่องไก่มากิน
น่องไก่อร่อยจริง ๆ ด้วย เนื้อของมันนุ่มจนล่อนออกจากกระดูก ส่วนน้ำพะโล้ก็มีรสชาติกลมกล่อม มีการปรุงรสชาติเผ็ดนิด ๆ
ขณะที่กิน หลินเจียอินก็คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในร้านอีกครั้ง และพูดว่า “ทำไมเราไม่เช่าบ้านอยู่ในเมืองสักหลัง จะได้ไม่ต้องขี่รถไปมาทุกเช้าและเย็น และยังอยู่ที่ร้านได้นานขึ้นด้วย”
เจียงเสี่ยวไป๋อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ภรรยาของเขาเป็นห่วงกิจการจริง ๆ
เขาไม่อยากให้ภรรยาของเขาเป็นกังวลกับเรื่องธุรกิจของครอบครัวมากเกินไป
เพราะถ้าหากเป็นแบบนั้น เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก
นอกจากนี้ บ้านเช่าในเมืองมีราคาค่อนข้างแพง และไม่ค่อยดีนัก สู้สร้างบ้านเป็นของตัวเองยังจะดีกว่า
“เมียจ๋า อย่าเช่าบ้านเลย เรามาเริ่มสร้างบ้านใหม่ของตัวเองในเดือนหน้าดีกว่า ส่วนเรื่องของร้าน ปล่อยให้มันเป็นไปตามแผน อย่าไปกังวลกับมันมากนัก”
ตั้งแต่ที่เจียงเสี่ยวไป๋กลับมาเกิดใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของหลินเจียอิน
“ที่จริงเดินทางไปมาแบบนี้มันก็ไม่ได้แย่อะไรเลยนะคะ”
เจียงชานเอียงคอมองป่าป๊ากับหม่าม๊า ดวงตากลมโตของเธอกลอกไปมาและพูดด้วยน้ำเสียงเด็ก ๆ
“ฮ่าฮ่า……”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะ ลูกสาวของเขาเป็นเหมือนปุยนุ่นติดตัวเขา เธอยืนเคียงข้างเขาในช่วงเวลาสำคัญเสมอ ดังนั้นเขาจึงถามเธอไปว่า “ชานชาน ทำไมลูกถึงคิดว่าการเดินทางไปกลับแบบนี้ดีกว่าล่ะ ? ”
เจียงชานคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับออกมาว่า “เพราะมันเหมือนกับการที่หนูได้นั่งรถเล่น ได้เห็นทั้งความตื่นเต้นในเมือง และยังได้กลับมาเจอหน้าปู่ ย่า อาสาม อาสะใภ้และน้องถิงถิง”
“ถ้าไม่กลับบ้าน หนูก็จะไม่เจอพวกเขา และหากเป็นแบบนั้น หนูคงคิดถึงน้องถิงถิงน่าดู”
เจียงเสี่ยวไป๋เห็นด้วยกับความคิดของลูกสาว “ชานชานให้เหตุผลดีมาก”
หลังจากให้กำลังใจลูกสาวแล้ว เขาก็หันไปพูดกับหลินเจียอินว่า “เมียจ๋า อันที่จริงเราไปกลับแบบนี้ทุกวันก็ไม่เป็นไร”
“ครอบครัวคนรอบข้างของเราอยู่ที่นี่ การอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกับครอบครัวย่อมดีกว่าสิ่งอื่นใด”
หลินเจียอินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งสามีและลูกสาวไม่อยากอยู่ในเมือง แล้วแบบนี้เธอจะทำอะไรได้ ?
“ฉันไม่มีปัญหาหรอก แค่กลัวว่าคุณจะเหนื่อยก็เท่านั้น” หลินเจียอินยังคงบ่นอุบอิบ
ภรรยาของเขาเริ่มเป็นห่วงเขาแล้วใช่ไหม ?
เจียงเสี่ยวไป๋ดูจะมีความสุขมากจึงรีบพูดออกมาว่า “ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลย และตอนนี้เราก็มีมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างแล้ว ซึ่งมันแทบไม่ต้องใช้แรงในการขับขี่ สบายกว่าเมื่อก่อนตอนที่ขี่จักรยานมาก”
“ป่าป๊าคะ หนูก็ชอบนั่งรถที่ป่าป๊าขี่”
“รถคันนี้นั่งสบายมาก”
เจียงชานพูดออกมากด้วยความตื่นเต้น
“ชานชานชอบนั่งรถใช่ไหม ในอนาคตพ่อจะซื้อรถใหม่ให้นั่งนะ ลูกจะได้สบายกว่านี้”
เจียงเสี่ยวไป๋กล่าวออกมา มีรอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าของเขา
หลินเจียอินมองดูเจียงเสี่ยวไป๋ด้วยความโมโห เธอได้แต่ทำหน้าบึ้งและพูดขึ้นมาว่า “คุณตามใจเธอมากไป คุณกำลังทำร้ายลูกทางอ้อมนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดนี้ของหลินเจียอิน เขาได้แต่ยิ้มและพูดว่า “ผมไม่เพียงแค่ต้องการทำให้ลูกสบายเท่านั้น แต่ผมยังอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับคุณด้วย”
“คุณ……”
หลินเจียอินพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดีต่อใจของเธอไม่น้อย
เธอแสร้งทำเป็นโกรธ แต่ใบหน้าของเธอกลับแดงก่ำจนไม่สามารถซ่อนมันไว้ได้ “คุณหยุดพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ไปเลยนะ ชานชานยังอยู่ที่นี่”
เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะออกมาเสียงดัง เขาเอามือไปลูบหัวเล็ก ๆ ของลูกสาวและถามว่า “ชานชาน หนูคิดว่าพ่อควรตามใจแม่ด้วยไหม ? ”
“ใช่ค่ะ ! ”
“ป่าป๊าต้องรักหม่าม๊าให้มาก ๆ ! ”
“และป่าป๊าก็ต้องตามใจชานชานด้วยเหมือนกัน ! ”
หนูน้อยพูดอย่างจริงจัง