ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 83 :ไม่แน่นอน
ตอนที่ 83 :ไม่แน่นอน
วันต่อมา เมื่อพวกเขาไปที่ร้าน
“เมื่อวานเราขายผัดมันฝรั่งได้ 846.7 หยวน ขายฟักเขียวตุ๋นน้ำแดงได้ 315.3 หยวน ขายฟักเขียวสไลด์ตุ๋นแบบหมูสามชั้นได้อีก 261 หยวน และขายน้ำชาได้ 139.2 หยวน”
หวังผิงรายงานรายได้เมื่อวานให้หลินเจียอินฟังด้วยความตื่นเต้น หลังจากพูดเรื่องนี้จบ เขาก็พูดว่า “พี่สะใภ้ ให้ทายว่าเมื่อวานพะโล้ของเราขายได้เท่าไหร่?”
“ถึง 500 หยวนไหม ? ”
หลินเจียอินพยายามคาดเดาออกมา แต่ที่จริงแล้วเธอเองก็รู้สึกประหม่าเป็นอย่างมาก และรอฟังคำตอบจากเขาอย่างใจจดใจจ่อ
ท้ายที่สุดแล้ว เมนูพะโล้ของทางร้านนั้นมีหลายเมนู ทั้งเนื้อหมู เป็ด ไก่และผัก เมื่อวานนี้เจียงเสี่ยวไป๋ได้ทำออกไปขายทุกเมนู
หวังผิงพยักหน้าอย่างหนักและหยิบบัญชีรายรับออกมา
เมื่อเปิดดูก็ทำให้รู้ว่าเมนูพะโล้ แต่ละเมนูขายไปได้เท่าไหร่ หัวหมูพะโล้ขายได้ 51 ชั่ง ตีนเป็ดพะโล้ขายได้ 24 ชั่ง หูหมูพะโล้ 8 ชั่ง น่องไก่พะโล้ 32 ชั่ง ตีนไก่พะโล้ 22 ชั่ง คอเป็ดพะโล้ 28 ชิ้น ไส้เป็ดพะโล้ 5 ชั่ง เนื้อเป็ดพะโล้ 4 ชั่ง และเนื้อพะโล้ 13 ชั่ง
เห็ดเข็มทองพะโล้ขายได้ 18 ชั่ง สาหร่ายทะเลขายได้ 26 ชั่ง ผักกาดพะโล้ขายได้ 23 ชั่ง เต้าหู้แผ่นพะโล้ 21 ชั่งและมันฝรั่งพะโล้ 18 ชั่ง
พอเอาทั้งหมดมาคิดรวมกันแล้ว เมื่อวานนี้พวกเขาขายพะโล้ไปได้ทั้งหมด 607.6 หยวน
“เยอะมาก ! ”
หลินเจียอินดูมีความสุขมาก พะโล้ขายดีมากทั้งที่เพิ่งเปิดขายวันแรก รายได้นี้มันมากกว่าที่เธอคาดการณ์เอาไว้ถึง 100 กว่าหยวน
เมื่อรวมรายได้กับอีกสามเมนูด้านบน ทำให้เมื่อวานพวกเขามีรายได้มากถึง 2,169.8 หยวน
ยอดขายรายวันทะลุ 2,000 หยวน
ต้องรู้ก่อนว่านี่คือปี 1983 เงินเดือนเฉลี่ยของลูกจ้างทั่วไปในเมืองอยู่ที่ 20 หยวนต่อเดือน แต่ทว่าร้านอาหารของพวกเขากลับมีรายได้มากถึง 2,000 หยวนต่อวัน
เทียบเท่ากับรายได้ต่อเดือนของคนงาน 100 คน
และร้านนี้ก็มีพนักงานแค่กี่คนกัน ?
เมื่อนับพนักงานทั้งสี่คนที่พวกเขาจ้างมา รวมถึงเธอ เจียงเสี่ยวไป๋ หวังผิงและภรรยาของเขา รวมแล้วยังมีไม่ถึง 9 คนด้วยซ้ำ
หลินเจียอินได้เห็นรายรับก็รู้สึกมีความสุขมาก เธอควักเงินออกมาทันที 90 หยวนและแจกเงินพิเศษให้ทุกคนคนละ 10 หยวน
เมื่อเจี่ยงชุ่ยหยู ถานเสี่ยวฟางและคนอื่นได้รับเงินพิเศษจากหลินเจียอิน พวกเขาก็ยิ้มออกมาเหมือนดอกโบตั๋นผลิบาน
แม้ว่าจะยังไม่ได้รับเงินเดือน แต่อย่างน้อยก็ได้รับเงินพิเศษตั้ง 10 หยวน
ดีกว่านอนอยู่ที่บ้านเป็นเดือน ๆ
ต่อให้ทำนาที่บ้านก็ได้เงินแค่เดือนละ 4-5 หยวนเท่านั้น
นอกจากนี้ นี่ยังเป็นเพียงเงินพิเศษเท่านั้น
หลินเจียอินยังกล่าวอีกว่าหากใครทำงานดี ขยัน เธอก็จะให้เงินพิเศษเพิ่มอีกในอนาคต
ถานเสี่ยวฟางและอีกสามคนได้ยินเช่นนี้ก็แอบคิดในใจว่าพวกเธอจะต้องพยายามขยันให้มากกว่านี้ เพื่อในอนาคตจะได้เงินพิเศษมากขึ้น
หวังผิงและเฝิงเยี่ยนหงก็ดูจะมีความสุขมากที่ได้เงินพิเศษกับเขาด้วย
แม้ทั้งสองสามีภรรยาจะถือหุ้นในร้านนี้ด้วย แต่ถ้าไม่ถึงสิ้นเดือนก็ยังไม่ได้แบ่งเงินกันอยู่ดี
แต่เงินพิเศษ 10 หยวนนั้นอยู่ในมือของพวกเขาแล้วตอนนี้
ครั้งนี้ แม้แต่เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้เงินพิเศษด้วย
เจียงเสี่ยวไป๋หยิบซองสีแดงขึ้นมาและยิ้ม “ผมจะเก็บเงินที่คุณให้ไว้อย่างดีเลย”
เขาขยิบตาขณะพูด แถมเขายังกระซิบถามเธอเสียงเบาว่า “เมียจ๋า นี่ถือเป็นเงินส่วนตัวของผมไหม ? ”
หลินเจียอินได้ยินแบบนั้นก็ตกตะลึง
เงินส่วนตัว ผู้ชายจะมีเงินส่วนตัวได้อย่างไร ?
เธอเหยียดมือเรียวออกมาและพูดว่า “คุณบอกว่าเงินทั้งหมดของคุณก็คือเงินของฉัน ฉะนั้นควรจะมอบให้ฉันเก็บไว้เพื่อความปลอดภัยจะดีกว่า”
ห๊ะ ?
ไม่น่าถามขึ้นมาเลย
เจียงเสี่ยวไป๋มอบเงิน 10 หยวนที่เพิ่งได้มาอุ่น ๆ ให้เธอไปอย่างเชื่อฟัง เขายังไม่ได้เปิดซองออกมาดูด้วยซ้ำ
“เมียจ๋า แบบนี้ก็เท่ากับว่าคุณคนเดียวได้เงินพิเศษไปตั้ง 20 หยวนไม่ใช่หรือ ? ”
แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่พอใจของหลินเจียอิน เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไม่กล้าพูดอะไรขึ้นมาอีก
หลินเจียอินไม่สนใจเขา เธอทำเสียงฮึดฮัดใส่เขาว่า “ไปฝากเงินที่ธนาคารกับฉัน”
“ครับผม”
เจียงเสี่ยวไป๋ตอบกลับอย่างว่าง่าย และแอบชื่นชมภรรยาของเขาในใจ
เขาไม่คาดคิดว่าภรรยาของเขาจะสามารถควบคุมคนอื่นได้ด้วย
เมื่อมองดูใบหน้าที่มีความสุขของเจี่ยงชุ่ยหยู ถานเสี่ยวฟางและอีกสองคนที่ได้รับเงินพิเศษ เขาก็รู้ว่าพนักงานพวกนี้จะทำงานหนักขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต นั่นก็เพื่อเงินพิเศษที่จะได้
แต่เมื่อมองไปที่หลินเจียอิน เขาก็ตะโกนออกมาด้วยความรีบร้อนว่า “เมียจ๋า ทำไมคุณไม่รอผมก่อนล่ะ ! ”
“แล้วมัวมองอะไรอยู่”
เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะผู้หญิงเกิดมาพร้อมกับสัมผัสที่หกอันเฉียบแหลมหรือเป็นเพราะหลินเจียอินให้ความสนใจกับเขาเป็นพิเศษกันแน่ เธอถึงรู้ว่าเขามองพนักงานอยู่
เธอรู้แม้กระทั้งการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจียงเสี่ยวไป๋ เมื่อพูดจบเธอก็เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาคู่สวยงามนั้นและถลึงตาใส่เขา
“ผมก็มองทุกคนไม่ใช่หรือไง ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋เล่นลิ้น และพูดอย่างรวดเร็วว่า “ผมเห็นว่าภรรยาของผมทั้งฉลาดและมีความสามารถในการเป็นผู้นำ การให้เงินพิเศษพวกนี้แก่ถานเสี่ยวฟางและคนอื่นจะยิ่งทำให้พวกเธอเชื่อฟังและขยันมากขึ้น”
หลินเจียอินทำเสียงฟึดฟัดอีกครั้ง
เธอรู้ดีว่าเจียงเสี่ยวไป๋กำลังพูดแก้ตัว
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ฟังดูสบายใจ
เมื่อทั้งสองออกมาจากธนาคาร ยอดคงเหลือในสมุดบัญชีเงินฝากของหลินเจียอินก็กลายเป็น 14,077.70 หยวน
นี่คือยอดเงินคงเหลือหลังจากซื้อตู้แช่แข็ง 2 ตู้ราคา 2,800 หยวน และปรับปรุงหน้าร้าน รวมถึงทำเคาน์เตอร์อีก 5,000 หยวน
ไม่อย่างนั้น ตอนนี้เงินในบัญชีน่าจะมีมากกว่า 20,000 หยวนไปแล้ว
หลินเจียอินมองดูยอดเงินในสมุดบัญชีก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตา
นี่พวกเขาเพิ่งใช้เวลาไปเท่าไหร่กัน ?
นับตั้งแต่วันแรกที่เธอเข้าเมืองมาทำธุรกิจกับเจียงเสี่ยวไป๋ นี่ยังไม่ถึง 20 วันด้วยซ้ำ
ความสุขนี้มาแบบกะทันหันเกินไป
จนทำให้หลินเจียอินรู้สึกว่าเธออาจจะเป็นลมล้มลงเมื่อไหร่ก็ได้
“เมียจ๋า ผมสัญญาว่าจะทำให้เรามีเงินมากขึ้นในอนาคต”
เจียงเสี่ยวไป๋จับมือของหลินเจียอินและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อืม”
หลินเจียอินพยักหน้าให้เขา เธอไม่สนใจการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ของเจียงเสี่ยวไป๋ ปล่อยให้เขาโอบแขนของเธอเดินเข้าร้านไป
เจียงเสี่ยวไป๋มีความสุขมาก การที่เธอยอมให้เขาใกล้ชิดแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกดี
ในตอนที่พวกเขามาถึงร้าน พวกเขาก็เริ่มทำงานหนักอีกครั้ง
หลัง 9 โมง เมนูพะโล้ทุกเมนูในวันนี้ก็เสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว เขาทำเพิ่มขึ้นมาอีก 1 ใน 3 ส่วนของเมื่อวาน
นี่ยังไม่รวมกับอีก 60 ชั่งที่ต้องเอาไปส่งให้โรงงานเครื่องจักรกลการเกษตร
เมื่อเห็นว่าในตอนเช้ายังมีลูกค้าไม่มากนัก เจียงเสี่ยวไป๋จึงรีบไปส่งพะโล้ก่อน
แต่เมื่อเขามาถึงโรงอาหาร เขาก็ไม่เห็นโจวฉางซงอยู่ที่นั่น
เจียงเสี่ยวไป๋กำลังจะถามหาเขา แต่เมื่อชายชรารูปร่างผอมบางเข้ามาเห็นพะโล้ของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็ยิ้มทันทีและพูดว่า “เถ้าแก่เจียงใช่ไหม ผมคือหวังเหล่ย เป็นหัวหน้าฝ่ายสำนักงานของโรงงานเครื่องจักรกลการเกษตร หัวหน้าโจวบอกผมไว้แล้ว ต่อไปนี้ผมจะเป็นคนติดต่อกับคุณเอง”
“สวัสดีครับหัวหน้าหวัง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ถือหม้อพะโล้อยู่ ดังนั้นเขาจึงได้แต่พยักหน้าเป็นการทักทาย
“เถ้าแก่เจียง พะโล้ที่คุณทำอร่อยมาก พนักงานของเราทุกคนต่างก็ชมว่ามันอร่อยหลังจากที่ได้กินมัน”
หวังเหลยเป็นคนที่ไม่ถือเนื้อถือตัว เขาพูดด้วยรอยยิ้ม และในขณะเดียวกันก็ช่วยยกหม้อพะโล้ผักลงมาจากมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง และยกเข้ามาในโรงอาหาร
ไม่นาน หม้อพะโล้ทั้งสามอย่างก็ถูกยกมาไว้ในโรงอาหารและชั่งน้ำหนัก
หูหมูพะโล้ 20 ชั่ง ราคาชั่งละ 3.5 หยวน
พะโล้รวมผัก 20 ชั่ง เต้าหู้แผ่นพะโล้ 20 ชั่ง ราคาชั่งละ 6 เหมา
รวมทั้งหมดเป็น 94 หยวน
หวังเหล่ยจ่ายเงินทันทีและพูดว่า “เถ้าแก่เจียง พรุ่งนี้ฉันเอาน่องไก่พะโล้ เห็ดเข็มทองและสาหร่ายอย่างละ 20 ชั่งเหมือนเดิมนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าตอบรับ
หวังเหล่ยมองไปรอบ ๆ พอแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น เขาก็กระซิบเบาๆ ว่า “เถ้าแก่เจียง พรุ่งนี้คุณช่วยเพิ่มเมนูประเภทเนื้อให้อีกสัก 2 อย่างได้ไหม อย่างละประมาณ 2 ชั่งก็ได้”
หัวใจของเจียงเสี่ยวไป๋เต้นไม่เป็นจังหวะ เขามองไปที่หวังเหล่ยโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา เพราะไม่แน่ใจว่าเขาหมายถึงอะไร
นี่เป็นคำขอส่วนตัวของหวังเหล่ยงั้นหรือ ?
หรือว่าเป็นความตั้งใจของโจวฉางซงกันแน่ ?
ทำไมไม่เหมือนที่คุยกันตอนแรก