ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 84 :ผลของการให้ความหวัง
ตอนที่ 84 :ผลของการให้ความหวัง
เจียงเสี่ยวไป๋คิดได้แบบนั้นจึงตอบออกไปว่า “งั้นผมจะเอาเนื้อพะโล้กับตีนหมูพะโล้มาให้อีกอย่างละ 2 ชั่ง”
หวังเหล่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยังคงกระซิบว่า “ตีนหมูพะโล้น่ะได้ แต่ไม่เอาเนื้อพะโล้”
เจียงเสี่ยวไป๋ได้ยินแบบนั้นก็อดที่จะสงสัยไม่ได้
ตีนหมูพะโล้ราคาชั่งละ 2.6 หยวน แต่เนื้อพะโล้ราคาตั้งชั่งละ 6 หยวน ต่อให้หัวหน้าหวังไม่รู้ราคาของเมนูพะโล้ แต่ก็น่าจะรู้ว่าเนื้อวัวแพงกว่าเนื้อหมูมาก
หวังเหล่ยกล่าวต่อว่า “เถ้าแก่เจียง พอดีว่าพรุ่งนี้รองนายกเทศมนตรีจางจะมาตรวจสอบที่โรงงานของเรา และเท่าที่ฉันรู้มา เขาไม่กินเนื้อวัว ดังนั้น……”
ในตอนนั้นเอง เจียงเสี่ยวไป๋ก็ตระหนักได้ว่าเขาเข้าใจหวังเหล่ยผิด
ในอดีตยุคข้าวยากหมากแพง ผู้คนส่วนใหญ่ยังยากลำบากเรื่องอาหารการกิน เวลาที่ผู้นำลงมาตรวจสอบพวกหน่วยงานระดับล่าง พวกเขาก็จะนำอาหารมาเองหรือไม่ก็กินอาหารเดียวกันกับที่พนักงานทั่วไปของหน่วยงานกิน
แต่หลังจากปี 1978 สถานการณ์นี้ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
บางทีด้วยการพัฒนาผลผลิตและการเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงทำให้สภาพเศรษฐกิจของหน่วยงานต่าง ๆ ดีขึ้นและไม่ยากจนเหมือนที่ผ่านมา จึงมีคนเสนอว่าในเมื่อผู้นำลงมาชี้แนะงานให้แล้ว จะให้พวกผู้นำควักเงินจ่ายค่าอาหารเองได้อย่างไร ?
ดังนั้น เวลาผู้นำลงมาตรวจสอบ หน่วยงานก็จะขอเลี้ยงอาหารเพื่อเป็นการต้อนรับผู้นำ
ต่อมา หัวหน้าของแต่ละหน่วยงานก็เริ่มที่จะหน้าใหญ่ใจโตมากขึ้น และรู้สึกว่าการเลี้ยงอาหารนั้นยังไม่เพียงพอที่จะแสดงความเคารพต่อผู้นำ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มต้อนรับผู้นำโดยการนำอาหารดี ๆ มาเลี้ยงต้อนรับ เพื่อเป็นหน้าเป็นตาแก่หน่วยงานของตนด้วย
สิ่งสำคัญคือต้องมีเนื้อในเมนูเหล่านั้น เพื่อให้ผู้นำจะได้เห็นถึงความกระตือรือร้นของหน่วยงาน
ในตอนแรก มาตรฐานของแต่ละหน่วยงานจะต่ำพอ ๆ กัน แต่เมื่อบางหน่วยงานเริ่มมีการต้อนรับผู้นำโดยมีเมนูเนื้อสัตว์ในอาหาร ก็เริ่มมีการเปรียบเทียบกันเกิดขึ้น
ถ้าที่หน่วยคุณต้อนรับด้วยเมนูเนื้อ ฉันก็จะต้อนรับด้วยเมนูเนื้อหนึ่งอย่างกับเมนูผักสองอย่างและซุปอีกหนึ่งอย่าง
แต่ถ้าคุณต้อนรับด้วยอาหารสามอย่างกับซุปหนึ่งอย่าง ฉันก็จะต้อนรับด้วยอาหารสี่อย่างกับซุปหนึ่งอย่าง
แต่ถ้ามีอาหารเท่ากัน ก็ขึ้นอยู่กับว่าอาหารจานไหนจะพิเศษกว่ากัน
สถานการณ์นี้พัฒนามาจนถึงปี 1983 กล่าวได้ว่าทุกหน่วยงานพยายามอย่างมากในการต้อนรับผู้นำ
ดังนั้นคนสองชาติอย่างเจียงเสี่ยวไป๋จึงคุ้นเคยกับเรื่องอะไรเทือกนี้ดี
แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยประทับใจกับเรื่องพวกนี้ แต่เขาก็ไม่ได้ต่อต้าน
เพราะท้ายที่สุดแล้ว แต่ละยุคสมัยก็เป็นแบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่คนตัวเล็กอย่างเขาจะหยุดหรือเปลี่ยนแปลงได้
“หัวหน้าหวัง งั้นเอาแบบนี้ดีไหม พรุ่งนี้ผมจะทำทำพะโล้ไก่ทั้งตัวกับพะโล้ปลาให้หนึ่งตัว แบบนี้คงไม่เสียหน้าหรอกใช่ไหม ? ”
หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจียงเสี่ยวไป๋ก็กล่าวขึ้นมา
“เยี่ยมมาก ! ”
หวังเหล่ยดีใจมากและพูดว่า “งั้นฉันขอน้ำพะโล้เพิ่มด้วย จะให้พ่อครัวอุ่นก่อนเสิร์ฟเอง”
“ได้ครับ ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ตกลงอย่างง่ายดายและกล่าวลากับหวังเหล่ย
เมื่อเขากลับมาถึงร้านก็เห็นว่ามีลูกค้าอยู่เต็มร้าน แต่มีแค่ถานเสี่ยวฟางเพียงคนเดียวที่ทำงาน เจียงเสี่ยวไป๋จึงรีบเข้าไปช่วย
“เถ้าแก่ หลานสาวของฉันชอบกินน่องไก่พะโล้ที่ฉันซื้อกลับไปเมื่อวานมาก ฉันเลยคิดว่าวันนี้จะซื้อกลับไป 2 ชั่งเลย”
ชายวัยกลางคนในวัยห้าสิบปีเศษยื่นธนบัตร 10 หยวนให้และกล่าวออกมา
น่องไก่พะโล้ราคาชั่งละ 4 หยวน หากซื้อ 2 ชั่งก็ต้องจ่าย 8 หยวน
ในยุคนี้ อาจกล่าวได้ว่าใครก็ตามที่ยอมซื้อน่องไก่ในราคา 8 หยวนได้ คนนั้นคือเศรษฐี
เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกทึ่ง ในเมืองจิงโจวแห่งนี้มีคนรวยอยู่ไม่น้อยเลย
เขารับเงินด้วยรอยยิ้มและชั่งน่องไก่พะโล้ให้ เมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนชื้อเยอะ เขาจึงหยิบชามเปล่าอีกใบขึ้นมาแล้วคีบผักพะโล้ เช่น สาหร่ายทะเล เห็ดเข็มทอง ฯลฯ ลงไป
“ลูกค้า อันนี้ผมแถมให้ ลองเอาไปชิมดู ถ้าชอบก็กลับมาอุดหนุนเราอีกนะครับ”
“เถ้าแก่ใจกว้างจริง ๆ ถึงว่าทำไมธุรกิจถึงรุ่งเรือง ขอบคุณมากนะ”
ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างมีความสุข เขารับชามกระดาษสองใบและเงินทอนกลับไป
ลูกค้าที่อยู่ข้างหลังเห็นแบบนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เถ้าแก่ แถมให้ฉันแบบนี้ชามหนึ่งสิ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มตอบรับทันที เขารีบตักและยื่นให้กับลูกค้าคนนั้น
ถานเสี่ยวฟางที่เห็นเหตุการณ์อยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และถามออกมาเบา ๆ ว่า “พี่เจียง พี่ตักให้ลูกค้าฟรีแบบนี้ทุกคน แม้ว่าจะตักไม่เยอะ แต่รวมกันแล้วก็ไม่น้อย ถ้าขายคงได้เงินเป็นจำนวนมากเลยนะ”
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “พะโล้ผักเหล่านี้เพิ่งมีที่นี่เป็นที่แรก หลายคนยังไม่เคยลองชิม พวกเขาไม่รู้ว่าพะโล้แบบนี้อร่อยแค่ไหน การให้พวกเขาได้ชิมถือเป็นการส่งเสริมการตลาดเผื่อในอนาคต ยอดขายของเราจะได้เพิ่มขึ้น”
ถานเสี่ยวฟางดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ เธอได้แต่อุทานคำว่า “อ้อ” ออกมา แต่ก็ยังทำหน้าสับสนอยู่ดี
เจียงเสี่ยวไป๋อดทนสอนให้เธอเป็นคนใจกว้างในการทำธุรกิจ ไม่เพียงต้องซื่อสัตย์ต่อลูกค้าเท่านั้น แต่ยังต้องตอบแทนลูกค้าเป็นครั้งคราวด้วย เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าเรากำลังให้ส่วนลดแก่พวกเขา ในระยะนี้ เราต้องพยายามอย่างดีที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า
เพราะการทำธุรกิจนั้น มีหลักการมากมายที่ต้องเรียนรู้ !
ถานเสี่ยวฟางรู้สึกอัศจรรย์ใจหลังจากได้ยินสิ่งนี้
“พี่เจียง ฉันต้องเรียนรู้การทำธุรกิจจากพี่ให้ได้”
“อืม”
เจียงเสี่ยวไป๋พยักหน้าและพูดว่า “ในอนาคต หากว่าเธอเข้าใจหลักการพวกนี้ดีแล้ว ฉันจะเปิดร้านแล้วให้เธอมาผู้จัดการ”
ก่อนที่เขาจะรู้ตัว เจียงเสี่ยวไป๋ก็ได้ให้ความหวังกับพนักงานของเขาแล้ว
อืม แต่จะบอกว่ามันคือการให้ความหวังก็คงจะไม่ถูกเสียทีเดียว ชาติที่แล้วเขามีทรัพย์สินหลายหมื่นล้าน ดังนั้นชาตินี้ที่เขามีความทรงจำ วิสัยทัศน์ และประสบการณ์ของชาติที่แล้วอยู่ เขาเชื่อว่าตนเองจะเปิดร้านอีกกี่ร้านก็ได้
ถานเสี่ยวฟางรู้สึกตื่นเต้นมาก
“การเป็นผู้จัดการร้านก็คล้ายกับที่พี่เจียอินเป็นใช่ไหมคะ ? ”
“ถ้าเป็นเหมือนพี่เจียอิน งั้นฉันก็จะได้เป็นเจ้านายคนน่ะสิ ! ”
“เอาล่ะ ต่อไปนี้ฉันจะตั้งใจทำงานอย่างหนักและเรียนรู้ในสิ่งที่พี่เจียงสอน จะทำให้ทุกคนรู้ว่าฉันมีความสามารถมากแค่ไหน”
ต้องบอกว่าเมื่อความคิดของคน ๆ หนึ่งเปลี่ยนไป ทัศนคติที่มีต่องานของเขาก็จะเปลี่ยนไปด้วย และประสิทธิภาพในการทำงานก็จะดีขึ้นอย่างมากด้วยเช่นกัน
เมื่อลูกค้าคนถัดไปซื้อหัวหมูพะโล้ 1 ชั่ง ถานเสี่ยวฟางก็เลียนแบบวิธีการของเจียงเสี่ยวไป๋ เธอลองให้ลูกค้าชิมพะโล้ผักและพูดว่า “คุณลูกค้าคะ หากสนใจ ลองชื้อพะโล้ผักไปทานดูได้ มันเหมาะมากที่จะเอาแกล้มเหล้า”
ลูกค้าลังเลเล็กน้อย แต่ก็ตกลงที่จะซื้อไป
เมื่อลูกค้าคนต่อไปเข้ามา ถานเสี่ยวฟางก็ให้เธอลองชิมพะโล้ผักดูและพูดว่า “พี่สาว พะโล้ที่พี่ซื้อไปส่วนมากแล้วผู้ใหญ่จะชอบทาน ทำไมไม่ลองซื้อน่องไก่พะโล้สักสองชิ้นกลับไปให้ลูก ๆ ของคุณชิม เผื่อพวกเขาจะชอบ”
เมื่อลูกค้าสาวได้ยินดังนั้น เธอก็ไม่ปฏิเสธและซื้อน่องไก่กลับไปหนึ่งชั่ง
หลังจากประสบความสำเร็จสองครั้งติดต่อกัน ถานเสี่ยวฟางดูเหมือนจะมีประสบการณ์มากขึ้น เธอมักจะทำการวิเคราะห์โดยพิจารณาจากอายุและการแต่งตัวของลูกค้า ก่อนจะแนะนำเมนูอื่น ๆ ตามความเหมาะสม
เธอหน้าตาน่ารัก พูดจาไพเราะ บริการดี ลูกค้าน้อยคนนักที่จะกล้าปฏิเสธเธอ
เมื่อเจียงเสี่ยวไป๋ที่อยู่ข้าง ๆ เห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า
คนยุคนี้ไม่ค่อยมีความสามารถในการปฏิเสธคนเพราะกลัวเสียหน้า แค่คนขายแนะนำนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ซื้อตามแล้ว
เพียงแต่ว่าพนักงานขายบางคนยังไม่มีประสบการณ์มากพอที่จะชักจูงลูกค้า
แต่หากว่ามีเทคนิคในการขายที่ฉลาด การขายก็จะง่ายขึ้น
ดังนั้นคนรุ่นหลังจึงมักมีคำพูดว่ากลุ่มคนที่รวยสุดเป็นกลุ่มแรก ๆ ก็คือคนหน้าด้านหน้าทนดี ๆ นี่เอง
หลังจากนั้น ลูกค้าก็ทยอยเข้ามาไม่หยุด จนเวลาประมาณบ่าย 3 โมง หัวหมูพะโล้และหูหมูพะโล้ก็ขายหมด ยกเว้นเนื้อตุ๋นและคอเป็ดที่เหลือเยอะหน่อย ส่วนเมนูอื่นเหลือไม่มากแล้ว
เมื่อเห็นแบบนั้น เจียงเสี่ยวไป๋ก็ไปที่ครัวหลังร้าน เพื่อทำเมนูที่ใกล้จะหมดเสริมเข้าไปอีก
เพราะเขากลัวว่าจะไม่มีขายในช่วงเย็นและค่ำ