ผมย้อนอดีตมาเปลี่ยนชะตายุค 80 (นิยายแปล) - ตอนที่ 86 :ขี่ม้า
ตอนที่ 86 :ขี่ม้า
ในตอนที่สองพ่อลูกคุยกันอยู่นั้น หลินเจียอินก็เดินขึ้นมาถึงข้างบนพอดี
ระหว่างทาง เธอก็ได้ยินชาวบ้านพูดคุยกันและเข้าใจอย่างคร่าว ๆ ว่าเพราะอะไรจูเยี่ยนผิงและเลี่ยวจวี๋จือถึงทะเลาะกัน
เพียงแต่ว่าเธอยังไม่รู้เรื่องที่จะมีการฆ่าควาย
เพราะในยุคนี้ การฆ่าควายนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อเดินมาได้ยินเจียงไห่หยางพูดแบบนั้นพอดี หลินเจียอินจึงถามไปว่า “พ่อ พ่อบอกว่าวันนี้ลุงจางคนขายเนื้อจะฆ่าควายใช่ไหม ? ”
เจียงไห่หยางพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าเขาให้ราคาที่เหมาะสม พวกเขาก็อาจจะยอมให้เชือดควาย”
หลินเจียอินอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เพราะเธอผูกพันธ์กับควายเขาหักตัวนี้มาก มันทั้งอ่อนโยน เธอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่เมื่อรู้ว่ามันจะถูกฆ่า
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว เพราะเขาไม่อยากจะสนใจเรื่องของคนอื่น
เพราะสุดท้าย ควายเขาหักตัวนี้ก็จะถูกฆ่าตายอยู่ดี
เจียงชานได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกตื่นเต้น เธออยากดูควายถูกฆ่า แต่เจียงเสี่ยวไป๋รู้สึกว่าฉากการฆ่าควายนั้นนองเลือดเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ปล่อยให้เธอดู
ในตอนนั้น เจียงเสี่ยวเหลยที่ไปดูเหตุการณ์ก็วิ่งเข้ามา
“เห็นแล้วก็น่าสงสาร ควายเขาหักน้ำตาไหลด้วยตอนที่มันถูกมัดไว้ใต้ต้นไม้”
“มันนั่งคุกเข่าทั้งสองลง ผมทนฟังเสียงคร่ำครวญของมันไม่ได้เลย”
“แต่ลุงจาง คนขายเนื้อนั้นโหดเหี้ยมและรวดเร็วมาก เขาเอามีดออกมาฟันเข้าที่หน้าผากของควายตัวใหญ่ จนควายล้มลงกับพื้น”
“……”
เมื่อเจียงชานได้ยินเจียงเสี่ยวเหลยพูดถึงขั้นตอนการฆ่าควาย เธอก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
“ฮือๆ พ่อคะ ทำไมผู้ใหญ่ถึงโหดเหี้ยม กล้าฆ่าแม้กระทั่งควายตัวโตล่ะ ? ”
“น่าสงสารจัง ! ”
เจียงเสี่ยวไป๋ไม่สามารถตอบคำถามนี้ของลูกสาวได้
ไม่ต้องพูดถึงหนูน้อยเจียงชาน แม้แต่เขาก็รู้สึกอึดอัดเมื่อได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของควายก่อนที่มันจะตาย
แต่สังคมมันเป็นแบบนี้ มนุษย์อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร วัวควายไม่มีสิทธิ์เลือก
ชาวนาที่เลี้ยงควาย แม้จะรักและเอ็นดูมันมากเพียงใด แต่ก็เลี้ยงเพื่อให้มันไถนาให้ เมื่อมันหมดประโยชน์ มันก็กลายเป็นเพียงอาหารในจานของผู้คน
“พ่อ แล้วพ่อจะไปซื้อเนื้อควายหลังจากที่เขาฆ่ามันเสร็จไหม”
เจียงเสี่ยวเหลยถามด้วยความตื่นเต้น
ในปี 1983 เว้นแต่วัวควายจะแก่ชราหรือได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถไถนาได้อีกต่อไป พวกมันถึงจะถูกฆ่า
อีกทั้งคนในชนบทโดยทั่วไปก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้กินเนื้อมากนัก
เจียงไห่หยางรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ทุกคนในครอบครัวทำงานในไร่เสร็จ ตอนเย็นก็จะมาเหลาไม้ไผ่ขาย จึงทำให้ทุกคนมีเงินเก็บคนละ 20-30 หยวน รวม ๆ กันแล้วสมาชิกทั้งสี่ในครอบครัวจึงมีเงินเก็บมากกว่าร้อยหยวน
นี่ยังไม่นับรวมลูกสองคนของเขาอย่างเจียงเสี่ยวเหลยและเจียงเสี่ยวอวี่
ราคาเนื้อส่วนต่าง ๆ มีตั้งแต่ 2 หยวนไปจนถึง 3 หยวนต่อชั่ง
หากซื้อไม่กี่ชั่งก็ยังพอไหว
“ปู่คะ เราไม่กินควายตัวนั้นได้ไหม ? ”
ไม่มีใครคาดคิดว่าเจียงชานที่ยังไม่ฟื้นจากความเศร้าโศกที่ควายตัวใหญ่ถูกฆ่าได้ขอร้องออกมาอย่างน่าสงสาร
“มีการฆ่าควายทั้งที จะไม่ให้กินเนื้อได้ยังไงล่ะ”
เจียงเสี่ยวเหลยตบหน้าอกของเขา และพูดว่า “รอเขาฆ่าเสร็จก่อน เดี๋ยวผมจะเลี้ยงทุกคนเอง”
เจียงเสี่ยวไป๋ให้ค่าจ้างในการเหลาไม้ไผ่กับเขาในราคาที่สูง จึงทำให้เขามีเงินเก็บเกือบ 100 หยวน
“งั้นเราจะรอ ลูกไปซื้อมาให้สัก 2-3 ชั่งแล้วกัน”
หวังซิ่วจวี๋คิดมาเสมอว่าการมีเงินเยอะไม่ดีสำหรับเด็กสักเท่าไหร่ เพราะความสามารถในการตัดสินใจยังไม่ค่อยมี เธอเคยขอให้เจียงเสี่ยวเหลยเอาเงินมาให้เธอเก็บอยู่หลายครั้ง แต่เจียงเสี่ยวเหลยก็ไม่ยอม
แต่ในตอนที่ได้ยินว่าเจียงเสี่ยวเหลยจะเป็นคนซื้อเนื้อให้ หวังซิ่วจวี๋ก็ตอบตกลงทันที
“ดีเลย ฉันจะได้มีเนื้อควายกินเป็นอาหารเย็นนี้”
หวังซิ่วจวี๋อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
“อานิสัยไม่ดีกินเนื้อควาย ! ” เจียงชานหันหน้าหนี เธอวิ่งไปหาเจียงเสี่ยวไป๋แล้วทิ้งตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา พลางพูดอย่างไม่พอใจ
เจียงเสี่ยวเหลยกลับพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ชานชาน เย็นนี้ลองกินดูก็ได้ หนูจะได้รู้ว่าเนื้อควายมันอร่อยขนาดไหน”
ขณะที่เขาพูด เขาก็กลืนน้ำลายลงคอ
เขาเคยได้ยินว่าเนื้อควายนั้นอร่อยมาก แต่ก็ไม่เคยกินมันสักครั้ง
เจียงเสี่ยวไป๋ส่ายหัว พลางปลอบลูกสาวของเขาไปด้วยและถามเจียงไห่หยางว่า “พ่อ พี่เสี่ยวโจวยังตกปลาอยู่หรือเปล่า ? ”
เจียงไห่หยางกล่าวว่า “ทุกคนกำลังรอกินเนื้อควายกันอยู่ แม่ของแกอยากทำหม้อไฟ ทำไมยังถามซื้อปลาอยู่ล่ะ ? ”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็เปลี่ยนคำพูดใหม่ “ช่างเถอะ ถึงอย่างไรแกก็ทำกินเองนี่”
ตั้งแต่เขากินอาหารฝีมือของเจียงเสี่ยวไป๋ เขาก็รู้สึกว่าฝีมือของภรรยาไม่อร่อยอีกต่อไป
“เบื่อหรือ ? คุณไม่อยากกินอาหารที่ฉันทำหรือ ? ”
หวังซิ่วจวี๋พูดอย่างไม่พอใจอยู่ข้าง ๆ “ลูกรองทำธุระในเมืองทั้งวัน เขาเหนื่อยมาก ตั้งใจจะกลับมาพักผ่อน คุณยังจะใช้ให้เขาทำอาหารให้คุณกินอีกหรือ ? ”
จากนั้น เธอก็หันไปพูดกับเจียงเสี่ยวไป๋ว่า “ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินของเราหรอก”
พ่อแม่ของเขากำลังทะเลาะกัน แต่เจียงเสี่ยวไป๋กลับไม่ตอบอะไรออกมา
แต่ฉากดังกล่าวทำให้เขารู้สึกอบอุ่นมากกว่า
มีเสียงทะเลาะ เสียงหัวเราะของคนในครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวกันบ้างก็ดีเหมือนกัน
นี่คือถึงจะเรียกว่าครอบครัว มันคือรสชาติของความเป็นครอบครัวนั่นเอง
เจียงเสี่ยวไป๋ยิ้มและพูดว่า “แม่ ไม่เป็นไร คืนนี้ผมจะทำอาหารให้ทุกคนกินเอง”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันไปคุยกับเจียงไห่หยางว่า “พ่อ ที่ผมถามซื้อปลาเพราะมีลูกค้าสั่ง พี่เสี่ยวโจวยังตกปลาอยู่หรือเปล่า ?”
เจียงไห่หยางกล่าวว่า “เขาก็ไปตกเป็นครั้งคราว สองวันมานี้ฉันไม่รู้ว่าเขาไปหาปลาหรือเปล่า ? ”
เจียงเสี่ยวไป๋จึงตอบไปว่า “งั้นเดี๋ยวผมไปดูเอง”
หลังจากพูดจบ เขาก็เขย่าเจียงชานที่อยู่ในอ้อมแขนและพูดว่า “ชานชาน ไปซื้อปลาที่บ้านของลุงรองกันเถอะ โอเคไหม ? ”
เจียงเสี่ยวโจวเป็นลูกชายคนที่สองของเจียงไห่เทียน ดังนั้นเจียงชานจึงต้องเรียกเขาว่าลุงรอง
ที่จริงในชนบทนั้น คน ๆ หนึ่งอาจมีลุงรองของตัวเองได้หลายคน
นั่นเป็นเพราะในครอบครัวหนึ่งมีพี่น้องหลายคน แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครเรียกทั้งเครือญาติตามระดับ แต่จะจัดระดับความอาวุโสภายในครอบครัวเล็ก ๆ
“ตกลงค่ะ ! ”
เจ้าตัวเล็กตกลงอย่างว่าง่าย
“งั้นไปกันเถอะ…”
เจียงเสี่ยวไป๋ยกเจียงชานขึ้นเหนือหัว จากนั้นก็ให้เธอนั่งขี่คอเขา
นอกจากนี้ ในชนบทยังเรียกชื่อนี้ว่า “ท่าขี่ม้า ! ”
เด็กหลายคนชอบให้ผู้ใหญ่อุ้มแบบนี้ เพราะมันเหมือนกำลังขี่ม้า
เจียงชานเองก็ชอบให้ป่าป๊าของเธออุ้มท่านี้เหมือนกัน ขาของเธอห้อยลง และเธอตะโกนอย่างมีความสุขว่า “โอ้ มาขี่ม้ากันเถอะ”
เสียงหัวเราะของลูกสาวได้ทำให้เจียงเสี่ยวไป๋หัวเราะไปด้วย เขาจับข้อเท้าทั้งสองข้างของเธอ เอียงตัว และเริ่มวิ่งโฉบออกไปซ้ายทีขวาที ทำให้คนตัวเล็กหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
“ผู้ใหญ่อะไรทำตัวเหมือนเด็ก”
เจียงไห่หยางมองไปที่สองพ่อลูกแล้วส่ายหัวพึมพำ
ในตอนนี้ หวังซิ่วจูดูเหมือนจะยังโกรธอยู่ จึงพูดว่า “ลูกเรากำลังล้อเล่นกับชานชาน ยังไปว่าลูกทำตัวเหมือนเด็กอีก”
หลินเจียอินเฝ้าดูเจียงเสี่ยวไป๋เล่นกับเจียงชาน ใบหน้าสวยแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
เจียงเสี่ยวไป๋ช่างดีจริง ๆ
เธอชอบบรรยากาศแบบนี้ และชอบเจียงเสี่ยวไป๋ตัวตนแบบนี้
เจียงถิงที่อยู่ตรงนั้นก็เห็นสถานการณ์นี้เหมือนกัน เธอเองก็รู้สึกอิจฉา จึงหันไปพูดกับเจียงเสี่ยวเฟิงด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ป่าป๊า หนูอยากขี่ม้าเหมือนพี่ชานชาน”
เมื่อเจียงเสี่ยวเหลยได้ยิน เขาก็พูดทันทีว่า “ถิงถิง เดี๋ยวอาจะเอาหนูขี่ม้าเอง”
“ไม่เอา ! หนูอยากเล่นกับป่าป๊า ! ”
เจียงถิงปฏิเสธออกมา “ขนาดพี่สาวยังเล่นกับป่าป๊าของเธอ หนูก็อยากเล่นกับป่าป๊าของหนูเหมือนกัน”
เจียงเสี่ยวเหลยรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขาถูกเด็กปฏิเสธจริง ๆ ใช่ไหม
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของพี่รองที่จากไป เขาก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ และอยากตามไปเล่นกับพี่รองที่ริมแม่น้ำ
เมื่อคิดได้อย่างนั้น เขาก็คุกเข่าลงและพูดกับเจียงถิงว่า “ถิงถิง แต่อาวิ่งได้เร็วกว่าพ่อของเธอนะ ลองมาแข่งวิ่งกับพวกเขากันไหม ขี่หลังอา แล้วอาจะพาหนูวิ่งตามชานชานไป”
“ไม่ หนูอยากขี่ม้ากับป่าป๊า”
เจียงถิงอายุยังน้อย แต่ก็ดื้อรั้น เธอไม่แม้แต่จะคล้อยตามเจียงเสี่ยวเหลย แถมยังวิ่งตรงไปหาเจียงเสี่ยวเฟิงอีกด้วย
“เอาล่ะ งั้นเรามาขี่ม้าด้วยกันเถอะ”
เจียงเสี่ยวเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยิ้มและยกลูกสาวของเขาขึ้นขี่คอ
เจียงเสี่ยวเหลยพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง เขาโบกมือแล้วพูดว่า “งั้นผมจะไปดูว่าเขาฆ่าควายเสร็จแล้วหรือยัง”
พูดแล้ว เขาก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว